“มาที่นี่ทำไม...”
“...” ไม่มีคำตอบ อรุโณรีย์เบือนหน้าหนีจากภาพตรงหน้า เธอกำของบางอย่างในมือไว้แน่น คำถามนั้นย้อนกลับมาถามตัวเองซ้ำๆ นั่นสินะ...เธอมาที่นี่ทำไม
“ฉันคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะเอพริล...แล้วเธอก็ดีใจมากไม่ใช่เหรอกับข้อตกลงที่ฉันเองก็รับปากไปแล้ว” ชายหนุ่มพูดต่อ เขาถอนหายใจไม่ได้อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลยสักนิด เขารู้...อรุโณรีย์กำลังเสียใจ โศกเศร้าในหลายๆ เรื่อง
“ฉันเสียใจด้วยเรื่องพ่อเธอนะ...ฉันเพิ่งรู้ตอนวันที่กลับมานี่เองขอโทษจริงๆ ที่มาไม่ทันงานศพ...”
อรุโณรีย์จ้องเขาเขม็ง แล้วน้ำตาที่พยายามกักเก็บมาตลอดก็เอ่อไหลออกมาอย่างไม่อาจกลั้นไหว ดวงตาเธอฉายแววชิงชังขึ้นมาทันทีก่อนจะเดินตรงไปยังคนทั้งคู่ หล่อนง้างฝ่ามือตบหน้าเขาเท่าที่แรงจะมี
“คุณมันเลว! เลวไม่มีที่ติ คุณทำให้พ่อฉันตาย ทำให้ชีวิตฉันต้องพบกับความวิบัติ แล้วมาบอกสั้นๆ ลบล้างเรื่องทั้งหมดเพียงแค่คำว่าขอโทษที่ไม่ได้ไปงานศพ!! คุณยังเป็นคนอยู่รึเปล่า...ในตัวคุณ! ยังมีจิตสำนึกความเป็นคนอยู่บ้างไหม!!”
“นี่!! เธอเป็นใครจะบ้ารึไงมาตบหน้าเขาทำไม!” ในขณะที่ทอเลเมียสยังยืนอึ้งพูดไม่ออกอยู่นั้นรวิภัณดาก็เป็นฝ่ายทนต่อเหตุการณ์ที่เห็นไม่ไหว รีบเข้าไปผลักตัวของหญิงสาวให้ออกห่างจนเธอเซถลาไปหลายก้าว
“กลับไปซะเถอะ...อีกสองวันข้างหน้าจะมีงานหมั้นของฉันกับเพลงและฉัน...ไม่อยากให้เพลงเขาไม่สบายใจเพราะเรื่องเก่าๆ ไร้สาระ ฟังนะเอพริลทุกอย่างมันจบลงแล้วไม่มีประโยชน์จะมารื้อฟื้นกันหรอก เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่ข้องแวะกันอีก หวังว่าเธอคงจำได้นะ” ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอที่ฝืดแห้งและกัดฟันพูดแต่ละคำออกมาอย่างยากลำบาก เขาผันหน้าไปทางอื่นด้วยไม่สามารถทนมองภาพความสะเทือนใจของอรุโณรีย์ได้ ราวกับรังสีความเจ็บปวดจากเธอมันกำลังมุ่งเจาะจงมาปาดเฉือนหัวใจเขา
“ไปสิ!...ถูกเขาไล่แล้วยังจะมายืนร้องไห้เรียกร้องความสนใจอีก” รวิภัณดาเสริมทัพ เธออาจจะไม่รู้รายละเอียดระหว่างสองหนุ่มสาวว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็พอดูออกว่าทั้งคู่คงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากันมาก่อน สัญชาติญาณมันบอกเช่นนั้น
“...” ไม่มีน้ำเสียงตอบโต้จากผู้แพ้โดยสิโรราบอีก สายตาที่เจ็บปวดเคืองแค้นจ้องมองผู้หยิบยื่นหนทางสู่นรกอเวจีทั้งน้ำตาก่อนจะรีบหันหลังกลับและวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต
ชั่วอึดใจ...ทอเลเมียสอยากจะตามร่างนั้นไปเหลือเกิน เขามองด้านหลังของหญิงสาวด้วยหัวใจสั่นไหว ดวงตาเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์บันทึกทุกวินาทีเอาไว้ราวกับมันคือภาพสุดท้ายแห่งความทรงจำระหว่างกัน
“เข้าไปในร้านกันเถอะค่ะ...เพลงมีเรื่องจะต้องคุยกับพี่นาซีอีกยาว!...”
ร่างใหญ่เดินเซไปตามแรงดึงของรวิภัณดาซึ่งทำหน้าหงิกหน้างอจะเอาเรื่องให้ได้ ชายหนุ่มไม่ได้กลัวหรอกว่าจะมีปัญหาอะไรมากมายกับเธอ
รวิภัณดาแม้จะอายุไม่ใช่น้อยๆ แล้วแต่นิสัยก็เหมือนเด็กๆ ไม่ชอบใจก็โวยวาย แต่เดี๋ยวเดียวเธอก็ลืม แต่เขาก็ยอมตามใจเจ้าหล่อนอยู่ด้วยด้วยเห็นว่าไร้ประโยชน์จะรื้อฟื้นอะไรอีกแล้ว อนาคตของเขาอยู่ข้างหน้าในเส้นทางที่เขาเลือกแล้วว่าจะก้าวเดินไปไม่หันกลับหลังอีก
โครม!! “ว้าย!! ช่วยด้วยๆ ค่ะ มีคนถูกรถชน!!” เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจจากผู้คนที่อยู่บนฟุตบาทริมถนนเรียกให้เท้าของชายหนุ่มหยุดชะงักหัวใจหล่นวูบไปอยู่แทบพื้น เขาหันกลับไปยังด้านหน้าของร้านเวดดิ้งก็เห็นคนจำนวนสี่ห้าคนกำลังมุงดูบางอย่างบนถนน พร้อมเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
เท่านั้น...ไม่ต้องมีใครอธิบาย ไม่จำเป็นอีกแล้วต้องหาเหตุผลไดมาประกอบการตัดสินใจทอเลเมียสรีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุโดยไม่ได้สนใจรวิภัณดาที่อยู่ในอาการตกใจเช่นกัน เธอยืนอึ้งมึนอยู่ชั่วครู่ก่อนจะรีบตามว่าที่คู่หมั้นไปติดๆ
“เอาคนเจ็บขึ้นรถผมก่อนเร็วเข้า...ผมจะพาไปโรงพยาบาลเอง!” พลเมืองดีคนหนึ่งเรียกให้รีบนำร่างของหญิงสาวซึ่งนอนหมดสติอยู่ขึ้นรถของเขาเพื่อนำส่งโรงพยาบาลด้วยเห็นว่าเธอไม่ได้มีบาดแผลฉกรรจ์ หรือบาดเจ็บมากมายไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์จากเจ้าหน้าที่ หญิงสาวในชุดดำซึ่งสลบไปตั้งแต่ตอนเกิดเหตุถูกอุ้มขึ้นรถคันดังกล่าวก่อนจะมีพลเมืองดีเป็นผู้หญิงอีกคนตามไปคอยดูแลด้วยขณะที่รถก็ออกตัวไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด
“หยุดก่อน...เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป! หลีกทางให้ผมหน่อยครับ!!” ทอเลเมียสฝ่าวงล้อมผู้คนที่ห้อมล้อมจุดเกิดเหตุซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นวิ่งตามรถคันที่พาตัวหญิงสาวไปแต่เขาก็ตามไม่ทัน ร่างใหญ่ยืนหอบอยู่กลางถนนก่อนจะนึกออกว่าตัวเองควรทำอย่างไรต่อไป
“พ่อหนุ่มๆ รู้จักกับแม่หนูคนนั้นเหรอ” เสียงของหญิงวัยสูงอายุคนหนึ่งเรียกทักเขาขณะที่กำลังจะเดินกึ่งวิ่งกลับไปเอารถซึ่งจอดอยู่ที่ร้านเวดดิ้ง
“คุณป้า...คุณป้าเห็นคนที่บาดเจ็บไหมครับเขามีลักษณะยังไงบ้างคุณป้าบอกผมได้ไหม” เขาถามกลับเพื่อความแน่ใจว่าตัวเองคิดไม่ผิด เพราะเมื่อสักครู่ตอนที่เข้ามาก็ไม่เห็นผู้บาดเจ็บเสียแล้วว่าเป็นใครรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร
“ค่ะๆ เอ่อ...ผู้หญิงขาวๆ ตัวเล็กๆ เธอใส่ชุดสีดำค่ะ ป้ายืนรอรถเมย์อยู่ตรงนี้จู่ก็เห็นเดินลงถนนตัดหน้ารถไปเฉยเลย เหมือนคนสติไม่ดีนะคะ เหมือนจะเดินออกมาจากร้านที่คุณมานั่นแหละคุณรู้จักเธอไหมล่ะ”
“...” คำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์ทำเอาคนฟังปวดแปลบไปทั้งทรวง อรุโณรีย์กำลังแบกรับความทุกข์ตรมขนาดไหนกันถึงได้กลายเป็นคนที่ครองสติไว้ไม่อยู่เช่นนั้น...
“ผม...ผมรู้จักเธอครับ”
“พี่นาซีๆ ทำอะไรอยู่คะเกิดอะไรขึ้น” รวิภัณดาซึ่งวิ่งตามมาทีหลังตรงมายังคนทั้งคู่ที่กำลังยืนสนทนากันอยู่ ส่วนผู้คนอื่นๆ ก็ทยอยกันเดินออกไปหมดแล้ว
“นี่คะ...เมื่อกี้เธอทำนี่หล่นไว้ป้าจะเอาไปให้ที่รถก็ตามไม่ทัน ถ้าคุณรู้จักเธอก็ฝากให้ด้วยนะคะดูจะสำคัญมากเพราะตอนที่เดินอยู่เห็นกำไว้แนบหน้าอกตลอด”
แผ่นฟิมล์อัลตร้าซาวด์ดูยับย่นไปหน่อยเพราะถูกกำไว้นานพอสมควรถูกส่งให้ชายหนุ่มทันที ก่อนที่ป้าคนนั้นจะรีบบอกลาไปทำธุระของตัวเอง เพียงแค่ได้เห็นรูปบนแผ่นฟิมล์เท่านั้น
ร่างกายของทอเลเมียสก็แข็งทื่อราวถูกสาปให้เป็นหิน ถึงจะไม่เคยมีประสบการณ์แต่เขาก็ไม่ได้โง่ขนาดรู้ว่ามันคืออะไร
ถาพอัลตร้าซาวด์ที่เขาเห็นเป็นรูปของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ซึ่งกำลังจะถือกำเนิดม้วนขดตัวอยู่ แต่ยังมองเห็นสัดส่วนทุกอย่างไม่ชัดนัก...ลูก
“เอพริล...”