สืบสู้ผี ภาค 1-3-38 กุสุมากับกุญแจปริศนา

โดย  Jintanakorn (จินตนากร)

สืบสู้ผี ภาค 1-3

38 กุสุมากับกุญแจปริศนา

“ได้ยินเจ้ารับปากเจิ้นหนักแน่นเช่นนี้เจิ้นก็เบาใจ”โอรสสวรรค์ถอนใจเบาๆแสดงออกถึงความโล่งอกเพื่อให้ใครบางคนเห็น แต่ใครบางคนกลับเลือกที่จะมองข้าม

“นางเป็นว่าที่คู่หมั้นกระหม่อม เป็นว่าที่ฮูหยินพรรคมังกรเหมันต์ ไหนเลยจะยังมีเวลาออกไปตระเวนช่วยเหลือชาวบ้านกัน”

“เพียงว่าที่คู่หมั้น ยังมิได้หมั้นหมายอย่างเป็นทางการ เพลานี้การตัดสินใจย่อมยังเป็นของนาง”น้ำเสียงตอนท้ายแฝงความเย้ยหยันและหงุดหงิด‘เจ้าลูกเต่าโง่! ทุกสิ่งอย่างล้วนทำเพื่อเจ้าทั้งสิ้น ไยจึงปล่อยให้ความหึงหวงครอบงำจนมองข้ามความจริงข้อนี้ไปได้ มันน่านัก!’ “และนางเองยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ให้บิดามารดา ไม่สมควรจัดงานมงคลใดๆ เจิ้นกล่าวถูกรึไม่หมอหญิงลู่”

“เป็นเช่นนั้นเพคะฝ่าบาท”คนถูกดึงเข้าร่วมสะดุ้งกายเล็กน้อย ปรายหางตามองบุรุษนั่งทางขวามือและกำลังมองมาแวบหนึ่ง เห็นนิ่วหน้าก็รีบหลุบตามองพื้นหลบสายตากดดันคู่นั้น อึดใจจึงค่อยตอบคำถามโอรสสวรรค์ แน่นอนว่าคำตอบของนางสร้างความพอใจและไม่พอใจแก่สองบุรุษ

หนึ่งพอใจย่อมเป็นโอรสสวรรค์ที่มีรอยยิ้มปรากฏมุมปาก อีกหนึ่งไม่พอใจใบหน้าจึงมืดครึ้มจ้องผู้ที่นั่งสูงกว่าด้วยสายตาขุ่นขึ้ง ส่วนคนถูกดึงเข้าร่วมสงครามพยายามสงบปากสงบคำก้มหน้าต่ำไม่เหลือบแลผู้ใดอีก เพราะเพียงคำตอบเดียวเมื่อครู่ก็ทำให้นางปวดหัวจะแย่ ไม่รู้จะง้องอนสามีอย่างไรดีให้หายขุ่นเคืองใจ

“แล้วยังเหลือเวลามากน้อยเท่าใดรึ?”โอรสสวรรค์เลิกสนใจเจ้าคนหัวแข็งหันไปถามหญิงสาว ก่อนจะส่งสายตาสั่งขันทีเฒ่าเตรียมที่นั่งให้นาง“นั่งลงเถิด มิต้องมากพิธีไป”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”หญิงสาวลุกขึ้นถวายความเคารพแล้วถอยเท้าไปยังด้านหลังโต๊ะเตี้ยตัวข้างๆหลี่ซูมี่ถวายความเคารพอีกครั้งแล้วนั่งลงเมื่อได้รับอนุญาต ก้มศีรษะต่ำตอบ“หากมินับวันนี้ ปีครึ่งจึงครบกำหนดไว้ทุกข์เพคะ”

โอรสสวรรค์ตอบรับในลำคอเบาๆ เหลือบมองเจ้าคนหัวแข็งแวบหนึ่งพลางครุ่นคิด ปีครึ่งน่าจะเพียงพอให้นางสร้างผลงานสั่งสมชื่อเสียงจนประจักษ์ต่อสายตาผู้คนกระมัง? หาไม่ในฐานะบิดาคงรับบุตรีพ่อค้าเล็กๆไร้อำนาจบารมีที่จะเกื้อหนุนบุตรตนให้ยิ่งใหญ่ มาเป็นสะใภ้เอกมิได้ อย่างมากนางคงเป็นได้เพียงอนุภรรยาเท่านั้น

“หลังครบกำหนดคงจัดงานหมั้นหมายเลยใช่รึไม่?”

“ย่อมเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”เสียงทุ้มหนักแน่นและจริงจังทำให้ผู้ถามต้องเสสายตาไปมองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ รวมถึงหลี่ฮองเฮาพระนางออกอาการแปลกใจกับความใจร้อนและไร้มารยาทของประมุขหนุ่มจนต้องหันไปมองตามบ้าง ส่วนหลี่ซูมี่มิต้องพูดถึงนางยังคงจมจ่ออยู่ในห้วงความหวาดกลัวหาทางออกไม่เจอ ก้มหน้าต่ำสองมือขยุ้มอาภรณ์ตนจนยับย่น จะมีก็ลู่จิวเมี่ยวผู้มีเอี่ยวในเหตุการณ์ลอบกลอกตา คลึงขมับในใจ ปวดหัวกับสองพ่อลูกคู่นี้

‘สาบาน..พวกท่านเป็นพ่อลูกกันจริงๆ? ไยเจอกันทีไรเป็นได้แยกเขี้ยวใส่กันทุกที!’

“แล้วญาติอาวุโสฝ่ายหญิงเป็นผู้ใด? มิใช่สิ้นหมดแล้ว?”

ประมุขหนุ่มชะงักหลงลืมไปว่าผู้อื่นยังไม่ทราบความจริงเบื้องลึกเกี่ยวกับนาง จึงส่งสายตาให้ร่างบางเป็นผู้ตอบคำถามนี้

“ทูลฝ่าบาท หลายเดือนที่ผ่านมาหม่อมฉันมุ่งมั่นทุ่มเทรักษาอาการป่วยของท่านหญิงหลี่ จนไม่มีเวลาครุ่นคิดเรื่องอื่นเลยเพคะ ดังนั้น..”ลู่จิวเมี่ยวจงใจไม่กล่าวต่อ สายตามองไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างมีนัยยะ

“ฝ่าบาท แม้หม่อมฉันมิได้เห็นด้วยตาตนเอง แต่เชื่อมั่นว่าหมอหญิงลู่กล่าวจริงทุกคำ ซึ่งหลานสาวของหม่อมฉันก็คือข้อพิสูจน์คำพูดของนางเพคะ”หลี่ซูเจียวยิ้มแย้มกล่าวขึ้นบ้าง

“อา..นั่นสินะ..เช่นนั้นให้นางอยู่ดูแลเจ้าต่อสักสองสามวันดีรึไม่?”

“เป็นพระกรุณายิ่งแล้ว ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใยหม่อมฉันเพคะ”หลี่ซูเจียวน้อมรับอย่างยินดีค้อมศีรษะขอบคุณแทนการลุกขึ้นยอบกายเพราะถูกพระหัตถ์หนาดึงรั้งไว้

“เจิ้นต้องไปแล้ว วันหลังจะมาเยี่ยมใหม่”โอรสสวรรค์ตบหลังมือเล็กนุ่มเบาๆ จากนั้นประคองร่างฮองเฮาคู่บัลลังก์เข้าไปด้านใน ไม่นานก็กลับออกมาหยุดเบื้องหน้าลู่จิวเมี่ยว“จงดูแลฮองเฮาให้ดี”น้ำเสียงราบเรียบแฝงการกดดันจนร่างบอบบางต้องลอบกลืนน้ำลาย

“หม่อมฉันจะทำสุดความสามารถเพคะ”

โอรสสวรรค์พยักหน้าพอใจ สองมือไพล่หลังหันไปทางประมุขหนุ่ม “เจ้าตามเจิ้นไปตำหนักใหญ่ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”กล่าวจบสาวเท้ามุ่งหน้ากลับตำหนักฟ้าทรงธรรมไม่รอฟังคำตอบ

“ท่านควรไปได้แล้ว”ลู่จิวเมี่ยวมองไปทิศทางที่โอรสสวรรค์จากไปแวบหนึ่งเห็นว่าเริ่มห่างออกไปทุกทีจึงเอ่ยเตือน

“อืม..แล้วจะมารับกลับตำหนักของเรา”รับคำแล้วเดินออกไป

“พี่หญิงหลี่? เป็นอันใดเจ้าคะหน้าซีดเชียว?”หมุนกายกลับมาเห็นคนงามสีหน้าไม่สู้ดีเลยถามด้วยความเป็นห่วง

“แทนที่จะมาห่วงใยข้า ข้าว่าเจ้ารีบเข้าไปข้างในเถิด ฮองเฮาทรงรออยู่ใช่รึไม่..ซุนมามา”หลี่ซูมี่ยิ้มตอบหญิงสาวก่อนเอ่ยถามนางกำนัลคนสนิทหลี่ฮองเฮา

“เจ้าค่ะ”ซุนลู่เหลียนค้อมศีรษะใบหน้าระบายยิ้มบางเบา

“ไปเถิด ชักช้าฮองเฮาทรงกริ้ว ข้าไม่รู้ด้วยนะ”หลี่ซูมี่แสร้งขู่นางเบี่ยงเบนความสนใจเท้าก้าวเร็วๆเข้าไปด้านใน ปล่อยร่างบางยืนงงงวยกะพริบตาปริบๆ จนซุนมามากระตุ้นเตือนถึงได้รีบตามเข้าไปยังห้องบรรทมของเจ้าของตำหนัก

ทางด้านฉีเฉินเทียนหลงฮ่องเต้ออกจากตำหนักหงส์เหิน มิได้ตรงกลับตำหนักใหญ่แต่ตรงไปอุทยานหลวงแทนเมื่อถึงศาลาแปดเหลี่ยมก็โบกมือไล่ขันทีนางกำนัลให้ถอยไปยืนไกลๆ

“จะเข้าวังเมื่อใดรึ?”เอ่ยถามคนข้างหลัง สายตามองดอกเหลียนฮวาในสระปทุม สองมือไพล่หลังอย่างเคยชิน ด้วยอุปนิสัยวู่วามเอาแต่ใจตนเป็นใหญ่คาดว่าอีกฝ่ายจะต้องเร่งรีบนำพาบุตรเข้าวังวันนี้เป็นแน่

“กระหม่อมต้องการป้ายผ่านทาง”

‘เพ่ย! เจ้าเด็กนี่ ไม่เพียงไม่ตอบคำถาม ยังมีหน้ามาขอของจากข้า’ คนฟังคิ้วกระตุกหันมาเผชิญหน้า“แลกกับสิ่งใด?”หากไม่สมน้ำสมเนื้ออย่าหมายจะได้สิ่งที่ต้องการ

“เปลี่ยนจากสามเดือนครั้งเป็นสองเดือนครั้ง”

“เดือนละครั้งเป็นอันตกลง”

“…”

“อา..รีบตัดสินใจเสีย เจิ้นยังมีราชกิจอีกมาก ต้องรีบกลับไปเขียนราชโองการแต่งตั้งนางเป็นหมอหลวงประจำราชสำนัก อืม..และให้พักในวังหลวง..”

“ทุกสิบห้าวันและเลิกยุ่งกับนาง!”

“ตกลง!”รอยยิ้มปรากฏมุมปากโอรสสวรรค์เมื่อความปรารถนาเป็นไปตามที่คาดหมายไว้ “ป้ายผ่านทาง รอเจ้าพาหลงเอ๋อร์มาพบปู่ผู้นี้ แล้วข้าจะมอบให้”

‘เจ้าเล่ห์นักนะ ตาแก่’ประมุขหนุ่มเขม่นจ้องบุรุษผู้อยู่เหนือทุกคนไม่มีหลบสายตาครู่หนึ่งหมุนกายเตรียมจากไปแต่นึกอะไรขึ้นมาได้ก็หันกลับมาอีกครั้งแล้วว่า“ช่วงที่นางอยู่ที่นี่ ท่านจะได้พบหลงเอ๋อร์ทุกวันกลางยามซื่อ”

“โอ้..คราวนี้แลกกับสิ่งใดรึ?”โอรสสวรรค์ถามน้ำเสียงกระตือรือร้นยิ่ง

“ข้าต้องได้พบนาง”ประมุขหนุ่มหาใช่เพียงต้องการพบปะพูดคุยกับนางเท่านั้น แต่ยังต้องการให้นางพำนักอยู่ตำหนักหลงเสวี่ยกับตนและบุตรดังเช่นในอดีต ‘หากมิเกรงจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง ข้าพานางกลับตำหนักหลงเสวี่ยไปแล้ว! ไหนเลยจะยินยอมจากไปง่ายดายเยี่ยงนี้’

“ข้าอนุญาตให้เจ้าพบนางได้ แต่ไม่อนุญาตให้นางพักตำหนักหลงเสวี่ย และหวังว่าเจ้าจะทำตามกฎระเบียบของวังหลวง เข้าตามตรอกออกตามประตู มิใช่ลักลอบเข้าออกตามอำเภอใจ”

“…”ประมุขหนุ่มเพียงเลิกคิ้วมองมิได้ใส่ใจกับคำสั่งของบุรุษตรงหน้า สะกิดปลายเท้าเหินกายขึ้นสู่เบื้องบนหายวับไปในท้องฟ้าราวกับล่องหนได้ ทำเอาเหล่าข้ารับใช้อ้าปากค้างตัวแข็งทื่อสายตาจับอยู่บนท้องฟ้าที่บัดนี้ว่างเปล่าอย่างตื่นตะลึง องครักษ์เงาวังหลวงทั้งสิบนายที่เคยเห็นผ่านตามาบ้างแล้วยังอดทึ่งไม่ได้

“เฮ้อ..เจ้าลูกคนนี้นี่..อายุก็ล่วงสามสิบแล้วยังทำอะไรวู่วามใจร้อนเป็นเด็กๆไปได้” ร่างสูงศักดิ์ทอดถอนใจหนักใจเหม่อมองท้องฟ้านิ่งนานก่อนจะหมุนกายกลับตำหนัก

เวลาเดียวกันภายในตำหนักหงส์เหิน

“เปิ่นกงต้องขอบใจเจ้าอีกครั้งที่ช่วยเปิ่นกงไว้”หวังซูเจียวกล่าว ดวงเนตรงามมองหญิงสาวเบื้องหน้าแท่นบรรทมอย่างชื่นชมและเป็นมิตรจนลู่จิวเมี่ยวสัมผัสได้

“มิได้เพคะ ได้ถวายงานรับใช้ฮองเฮานับเป็นเกียรติของหม่อมฉันและสกุลลู่มากกว่า และอาจเป็นเพราะหม่อมฉันโชคดีที่มีสหายผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่แวะหยางหลิวก็มักมีของฝากติดไม้ติดมือมาฝากอยู่เสมอโดยเฉพาะตำราสมุนไพรต่างๆรวมไปถึงตำราแพทย์ซึ่งหม่อมฉันให้การสนใจเป็นพิเศษ จะกล่าวว่าเทพแห่งโชคลาภชื่นชอบในตัวหม่อมฉันก็คงไม่ผิดนัก”

คำกล่าวของลู่จิวเมี่ยวทำเอาสองบุรุษต่างวัย ต่างสถานะชะงัก และเป็นบุรุษหนุ่มในชุดขาวปักลายมังกรสี่เล็บเหยียบเมฆา ยกมือส่งสัญญาณห้ามเหยียนฮุ่ยเต๋อไว้ และยืนฟังอย่างสงบตรงทางเข้าห้องบรรทม ต่างจากบุรุษวัยกลางคนอีกคนที่ยืนก้มหน้าเหงื่อแตกพลั่ก เพราะรับสั่งฮองเฮาแม้แต่เด็กสามขวบยังฟังออกว่ากำลังตำหนิในความอ่อนด้อยไร้ฝีมือของหมอหลวงอยู่

“เจ้ากำลังจะบอกว่าที่ผ่านมามิใช่หมอหลวงไร้สามารถ และมิใช่เจ้าฝีมือดีกว่าใช่รึไม่?”หลี่ซูเจียวรับชาจากหลานสาวขึ้นจิบเบาๆก่อนส่งคืนกลับไปและเป็นซุนลู่เหลียนรับมาวางบนโต๊ะ

“นางเป็นสตรีที่นอกจากรูปโฉมงดงามปานล่มเมืองแล้ว ยังมีจิตใจงดงามเปี่ยมล้นด้วยเมตตาซึ่งหาได้ยากยิ่ง เสด็จอาทรงเห็นด้วยกับหม่อมฉันรึไม่เพคะ?”หลี่ซูมี่เอ่ยขึ้นบ้างหลังยืนฟังอยู่นาน เหตุยอมเสียมารยาทเพียงอยากให้น้องสาวร่วมสาบานอุ่นใจว่ายังมีนางอยู่ตรงนี้คอยช่วยเหลืออยู่

เนตรคู่งามและอ่อนโยนมองคนพูดแวบหนึ่ง“ก่อนล้มป่วย เปิ่นกงเคยได้ยินเรื่องราวของเจ้ามาบ้าง โดยเฉพาะเรื่องของมี่เอ๋อร์”หยุดส่งยิ้มให้หลานสาว“แต่มีเรื่องหนึ่งที่เปิ่นกงไม่เข้าใจ ไยต้องเปิดโรงทานและให้นางตักโจ๊กแจกจ่ายผู้คนด้วยตนเอง?”ทั้งที่เรี่ยวแรงจะยืนนางยังแทบไม่มีเดินเพียงก้าวก็เหนื่อยหอบตัวโยน สตรีตรงหน้ากลับกล้ายื่นเงื่อนไขแสนโหดร้ายกับหลานสาวตน ยามได้ทราบคราแรกยอมรับว่าตนไม่เห็นด้วยเกรงหลานสาวจะทนความเหน็ดเหนื่อยไม่ไหวจนป่วยหนักกว่าเดิม คิดส่งคนไปยับยั้งให้ล้มเลิกความคิดเหลวไหลนี้เสีย แต่มีอันต้องยกเลิกไปเมื่อหนึ่งชั่วยามต่อมาพระนางก็ได้ทราบว่าหลานสาวมีอาการดีขึ้นมากแล้ว

“เสด็จอา หม่อมฉันขอตอบคำถามนี้ได้รึไม่เพคะ?”หลี่ซูมี่เสนอตัวด้วยทราบถึงเหตุผลแท้จริงจากปากหญิงสาวแล้ว และคิดว่านางไม่สะดวกใจที่จะตอบ “นางทำเพื่อหม่อมฉันเพคะ”

“ทำเพื่อเจ้า? อย่างไร?”จะตรงกับความคิดตนรึไม่ ในเรื่องนี้นางครุ่นคิดมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่อย่างไรฟังจากปากอีกฝ่ายก็น่าจะได้ความกระจ่างที่ชัดเจนกว่า

“เสด็จอาก็ทรงทราบ ในอดีตหม่อมฉันกระทำแต่เรื่องเลวร้าย มิเคยเห็นอกเห็นใจผู้ใด ใช้อำนาจที่มีข่มเหงรังแกบ่าวไพร่จนบางครั้งเลยเถิดถึงขั้น..เสียชีวิต..”ปลายเสียงเบาหวิวและสั่นเครือจนหลี่ซูเจียวต้องเอื้อมมือออกไปตบหลังมือเรียวผอมเบาๆให้กำลังใจ เจ้าของมือเรียวผอมเงยหน้าขึ้นสบดวงพักตร์งามเปี่ยมเมตตาพลันน้ำตาคลอ ภายในใจอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกผิด เสียใจ เจ็บปวดและสะเทือนใจ ทุกคราวยามระลึกถึง

“ความทุกข์ทรมานที่หม่อมฉันได้รับ จวบจนย่างเข้าปีที่ห้าจึงเริ่มสำนึกและคิดได้ถึงความผิดบาปทั้งหลาย ปรารถนาจะกระทำความดีชดเชย ทว่า..ร่างกายที่อ่อนแอเรี่ยวแรงจะยืนยังไม่มี ทำให้หม่อมฉันได้แต่คิดเท่านั้น กระทั่งได้พบน้องหญิงลู่”หลี่ซูมี่หันมาทางลู่จิวเมี่ยว เป็นเวลาเดียวกับอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นและสบตากันเข้าพอดี ทั้งคู่จึงส่งยิ้มให้กัน ก่อนหลี่ซูมี่จะผินหน้ากลับมายังสตรีสูงศักดิ์ที่ประทับบนแท่นบรรทม ส่วนลู่จิวเมี่ยวก้มหน้าลงตามเดิม

“นางเป็นหมอที่เข้มงวดยิ่งนัก วาจารึก็ร้ายกาจทำเอาหม่อมฉันนึกขุ่นเคืองอยู่หลายครา และอยากเอาชนะนางสักหน ดังนั้นพอนางตั้งเงื่อนไขนั้นขึ้นมา ด้วยทิฐิหม่อมฉันจึงตกปากรับคำทันทีเพคะ”

‘เพ่ย! เข้มงวดข้อนี้ข้ายอมรับแต่วาจาร้ายกาจนี่มันคือท่านมิใช่ข้าเสียหน่อย’คนถูกวิจารณ์ซึ่งหน้าลอบถลึงตาใส่

“แรกๆหม่อมฉันให้สงสัยเฉกเช่นเสด็จอา แต่พอทำตามคำนางว่าแท้จริงแล้วเงื่อนไขแสนโหดร้ายนี้ มิใช่เพื่อตัวหม่อมฉันผู้เดียว แต่เพื่อตระกูลหลี่ด้วยเพคะ”หลี่ซูมี่กล่าวอธิบายยืดยาว ดวงตาเป็นประกายสดใสน่ามอง

“การเปิดโรงทานและออกไปแจกจ่ายอาหารด้วยตนเองทั้งที่ป่วยหนัก ผู้คนย่อมชื่นชมสรรเสริญมากกว่ายามปกติและไม่คิดกล่าวถึงเรื่องเลวร้ายในอดีตให้เจ้าต้องรู้สึกผิด สายตาที่มองเจ้าและตระกูลหลี่ย่อมเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น นับเป็นอุบายที่แยบยลยิ่งนัก อี้เจี้ยนซวงเตียว อี้เจี้ยนซวงเตียว”หลี่ซูเจียวย้ำประโยคท้ายอย่างอารมณ์ดี

‘อี้เจี้ยนซวงเตียว? ยิงเกาทัณฑ์เดียว ได้เหยี่ยวสองตัว? อา..ตรงกับสำนวนสุภาษติไทยที่ว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพียงเปลี่ยนจากเกาทัณฑ์เป็นปืน จากนกเป็นเหยี่ยว แต่ความหมายเหมือนกันคือทำทีเดียวได้ผลสองอย่าง ว่าแต่ใครคิดได้ก่อนกันนะ ไทยหรือจีน?’เห็นหลี่ฮองเฮาทรงแย้มสรวลลู่จิวเมี่ยวจึงหยิบยกสำนวนนั้นมาคิดตามไม่ได้

“มิใช่เพียงเท่านั้นเพคะ ท่านพ่อคิดมอบรางวัลให้มากกว่าที่ตั้งไว้ในประกาศ แต่นางปฏิเสธไม่รับสักอีแปะเดียว ทั้งยังมอบมันให้หม่อมฉันทั้งหมด นำไปสมทบกับเบี้ยอัฐของหม่อมฉัน จัดซื้อวัตถุดิบในการปรุงอาหารเพื่อแจกจ่ายผู้คนต่อไป ความใจดี มีเมตตาเปี่ยมล้นคุณธรรมของนาง ทำให้หม่อมฉันชื่นชมตัดสินใจจับนางมาคุกเข่าสาบานเป็นพี่น้องหลังได้พูดคุยกันได้ไม่นานเพคะ”

‘อา..พอเถิดท่านหญิงไก่ ขืนท่านชมข้ามากกว่านี้ ข้าคงตัวลอยทะลุหลังคาตำหนักหงส์เหินเป็นแน่!’ลู่จิวเมี่ยวร้องห้ามอยู่ในใจ ‘ที่สำคัญ..’

จ๊อกกกก

หญิงสาวยังบ่นไม่ทันจบ เสียงท้องพลันร้องประท้วงขึ้นขัดเสียก่อน และเป็นจังหวะที่เงียบพอดีทุกคนจึงได้ยินมันอย่างชัดเจน รวมถึงสามบุรุษที่ยืนฟังอยู่ตรงทางเข้า

“ทูลฮองเฮา รัชทายาทกับหมอหลวงใหญ่ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”เหยียนฮุ่ยเอรีบรายงานเมื่อได้รับสัญญาณจากรัชทายาท

“ให้เข้ามา”

สิ้นเสียงอนุญาตฉีเฉินหยางหลงจึงเดินนำลู่จิ้งเหวินและหัวหน้าขันทีตำหนักหงส์เหินตรงเข้าถวายความเคารพเจ้าของตำหนักทันที

“เสด็จแม่ทรงเป็นเยี่ยงไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”รัชทายาทหนุ่มเอ่ยถามมารดาที่เปลี่ยนมาประทับหลังโต๊ะทรงงานภายในห้องแล้ว

“หายดีแล้ว ว่าแต่รัชทายาทเถิด ไยจึงมาเยี่ยมแม่เร็วกว่าทุกวัน?”หลี่ซูเจียวรู้ทันจึงเย้าบุตรด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ที่ผ่านมาบุตรนางคนนี้มักจะแวะมาเยี่ยมเยียนนางหลังยามอิ๋วแทบทุกครั้ง พอเอ่ยถาม คำตอบที่ได้คือ ‘ภารกิจเร่งด่วนต้องรีบสะสางให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ขอเสด็จแม่ทรงอภัยด้วย’

“สามวันจากนี้เสด็จพ่อทรงอนุญาตให้ลูกไม่ต้องเข้าเฝ้า ลูกจึงมาเยี่ยมเสด็จแม่และขออยู่ร่วมมื้ออาหารสักมื้อพ่ะย่ะค่ะ”ตอบมารดาแต่สายตาเหล่มองร่างบอบบางในชุดขันทีหน้าหวานที่ยืนสงบเสงี่ยมข้างญาติผู้น้องตน ซึ่งมิอาจรอดพ้นจากดวงเนตรงามของมารดา

“..หายากนะที่เจ้าจะเอ่ยปากขอร่วมโต๊ะอาหารกับแม่ แต่ก็เอาเถิด แม่จะให้ครัวหลวงทำเผื่อก็แล้วกัน”กล่าวจบหันไปทางเหยียนฮุ่ยเต๋อ หัวหน้าขันทีโค้งกายแล้วรีบออกไปสั่งการขันทีน้อยหน้าตำหนักก่อนจะกลับเข้ามายืนตรงจุดเดิม

“ขอบพระทัยเสด็จแม่..มี่เอ๋อร์เจ้ามาอยู่ดูแลเสด็จแม่หรือ?”ประโยคหลังถามหลี่ซูมี่

“เพคะ จนกว่าเสด็จอาฮองเฮาจะทรงหายดี”

“แล้วเรื่องโรงทานเล่า? หยุดพักชั่วคราวหรือ?”

คำถามนี้ของรัชทายาทหนุ่ม ทำเอาร่างผอมบางชะงักเอี้ยวคอมองน้องสาวร่วมสาบานอย่างขอความเห็น

“เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันเถิด เชิญหมอหลวงลู่”หลี่ซูเจียวยกมือห้ามและผินหน้าไปทางลู่จิ้งเหวิน ซึ่งคนที่ยืนรออยู่นานแล้วก็รีบทำตามหน้าที่ของตน ตรวจจับชีพจรตรงข้อมือร่วมกับซักถามประกอบ ราวครึ่งเค่อจึงถอยเท้าออกมายืนที่เดิม

“อาการเสด็จแม่เป็นเยี่ยงไรบ้าง?”ประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมาซ้ำอีกครั้งโดยรัชทายาท แต่เป็นการถามหมอหลวงประจำพระองค์แทน

“ทูลรัชทายาท ฮองเฮาทรงดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทั้งพลานามัยยังดูจะสมบูรณ์แข็งแรงกว่าแต่ก่อนมาก”ลู่จิ้งเหวินรายงานตามจริง นับเป็นหนที่สองแล้วภายหลังหลี่ฮองเฮาทรงฟื้นจากการประชวรด้วยโอสถเพียงเม็ดเดียวที่รัชทายาททรงนำมา โอสถซึ่งปรุงขึ้นโดยหมอหญิงชาวบ้าน นางผู้ใช้แซ่ลู่เช่นเดียวกับตน ลู่จิวเมี่ยว ผู้รักษาบุตรีจวนราชครูจนหายดี ฝีมือทางการแพทย์อันโดดเด่นเหนือหมอคนอื่นๆรวมถึงหมอหลวงในวัง ทำเอาตนอยากสนทนาและขอคำชี้แนะสักครั้ง

“หมอหญิงลู่..ได้ลองตรวจดูแล้วรึไม่?”

คำถามของรัชทายาททำเอาดวงตาเรียวรีที่ลอบมองนางอยู่ก่อนสว่างวาบเป็นประกายยินดี ไม่คาดจะได้พบเจ้าของโอสถสวรรค์กะทันหันเช่นนี้ ‘ข้าต้องหาโอกาสขอคำชี้แนะจากนางให้ได้!’หมอหลวงวัยห้าสิบคิดอย่างหมายมาด สายตาจับจ้องร่างบางทุกฝีก้าว

“เพคะและผลเป็นดังที่หมอหลวงลู่วินิจฉัยทุกประการ”ลู่จิวเมี่ยวตอบ

“ลำบากพวกท่านแล้ว โดยเฉพาะหมอหลวงลู่ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยเลย เชิญท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”รัชทายาทยิ้มกล่าวกับลู่จิ้งเหวิน

“เอ่อ..แล้วเรื่องโอสถบำรุง..”หมอหลวงยังมิวายกังวล ด้วยแม้ฮองเฮาจะทรงหายประวรแล้วแต่พระวรกายยังไม่ค่อยแข็งแรงดีนัก

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่หมอหญิงลู่เถิด อย่างไรนางก็เป็นผู้ปรุงโอสถสวรรค์”หลี่ซูเจียวพยักหน้าก็เห็นด้วยกับความคิดรัชทายาท

“ขอบใจท่านมาก..เพื่อตอบแทนที่ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยเพราะเปิ่นกงมาหลายวัน เปิ่นกงอนุญาตให้ท่านหยุดพักผ่อนมิต้องเข้าวังถวายงานเป็นเวลาสามวัน พร้อมทองคำสิบแท่งผ้าไหมแพรพรรณสิบพับ ให้เหยียนกงกงจัดการตามนี้”

“ขอบพระทัยฮองเฮา เช่นนั้นกระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”ลู่จิ้งเหวินลอบตระหนกก่อนจะรีบทิ้งเข่าดังตึงพร้อมโขกศีรษะสามครั้ง ซาบซึ้งใจและตื้นตันใจยิ่ง เพราะไม่เพียงจะไม่ทรงลงโทษตนยังมอบของกำนัลมากมายเป็นรางวัลอีก ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว รางวัลนี้ควรเป็นของหมอหญิงทั้งตนก็มิได้อยากได้แต่ประการใด แต่ไหนเลยจะกล้าปฏิเสธ

จ๊อกกกก

“…”

คล้อยหลังหมอหลวงชราเสียงท้องร้องประท้วงจากคนเดิมก็ดังขึ้นอีกครา ทำเอาทุกสายตาหันขวับไปมองแทบจะพร้อมกัน ลู่จิวเมี่ยวหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย ก้มหน้างุดหลบสายตาที่มองมาอย่างขบขันของทุกคน

“เสด็จอา รับสั่งให้ตั้งสำรับเถิดเพคะ หาไม่ใครบางคนอาจเป็นลมล้มพับเพราะอดอาหารเป็นแน่”หลี่ซูมี่ยกมือขึ้นปิดปากกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ

“อา..ป่านนี้แล้วหรือนี่ ซุนมามาจัดสำรับสำหรับสี่ที่..อืม..ที่ศาลาหลังตำหนักก็แล้วกัน อากาศเย็นสบายกำลังดี”หลี่ซูเจียวหันไปสั่งนางกำนัลคนสนิท

‘หือ?..สี่ที่?..อย่าบอกนะว่า..ข้าจะต้องร่วมโต๊ะเสวยด้วย?’ลู่จิวเมี่ยวให้รู้สึกประหม่าขึ้นมา ด้วยเป็นหนแรกที่จะได้ร่วมโต๊ะเสวยกับฮองเฮาคู่บัลลังก์ ถอนหายใจเบาๆเดินตามการจับจูงของหลี่ซูมี่ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กลางยามซวี ในศาลาหลังตำหนักหงส์เหิน

“อะไรนะเจ้าว่า เจ้าเคยนำต้นอ่อนถั่วเขียวมาปรุงอาหารหรือ?”หลี่ซูเจียวเอ่ยถามน้ำเสียงแฝงความประหลาดใจและไม่เชื่อถือ เคยได้ยินแต่นำเมล็ดของมันมาทำของคาวหวานและใข้ผสมตัวยาเท่านั้น ไม่เพียงพระนางที่แปลกใจ รัชทายาท หลี่ซูมี่รวมทั้งขันทีนางกำนัลรับใช้ก็ด้วย ต่างมองและเงี่ยหูฟังนางอย่างตั้งใจ

“เพคะฮองเฮา ชนเผ่าทางใต้เรียกมันว่าถั่วงอกหรือโต่วเจี่ยว เป็นผักที่สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายอย่าง หม่อมฉันเคยลองนำมาผัดใส่ไข่ ผัดใส่ผักรวม แกงจืดใส่หมูสับ รสชาติดีไม่แพ้ผักชนิดอื่นเลยเพคะ”เรื่องเหล่านี้นางเคยเรียนรู้จากบ้านเด็กกำพร้าในโลกก่อน อาจเป็นเพราะถั่วงอกราคาถูกและประโยชน์มากมาย จึงถูกทำให้เด็กๆกินอยู่บ่อยครั้ง จนภายหลังไม่ต้องหาซื้ออีก ด้วยมีผู้ใหญ่ใจดีจัดสรรเมล็ดพันธุ์มาให้ นางและเด็กทุกคนจึงช่วยกันปลูกและนำมาประกอบอาหาร เหลือมากก็นำไปชายนำเงินมาเป็นทุนไว้ใช้จ่าย เก็บออมไว้บางส่วน พอนางเรียนจบมัธยมปลายจึงพอมีเงินเก็บอยู่บ้างจากการออมครั้งนี้

“หรือจะนำมารับประทานดิบก็ได้เพคะ หวานกรอบอร่อยดีไม่แพ้กัน และหากรับประทานเป็นประจำจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณชุ่มชื่น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลคงความอ่อนเยาว์ได้นานขึ้น ที่สำคัญช่วยดับร้อนปรับสมดุลของร่างกายได้เป็นอย่างดี”

หลี่ซูเจียวฟังหญิงสาวคราวลูกอธิบายด้วยสายตาชื่นชม รอยยิ้มประดับวงพักตร์ตลอดเวลา ทำเอาฉีเฉินหยางหลงนึกแปลกใจที่มารดาดูจะไว้วางใจและให้ความสนิทสนมกับสตรีแรกพบอย่างที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงเนตรเหยี่ยวหลี่มองหญิงสาวเป็นประกาย

“ฟังเจ้าพูด ข้าชักอยากจะลองชิมดูสักครั้งเสียแล้ว”

ลู่จิวเมี่ยวลอบตระหนกกับคำเรียกแทนตัวที่สนิทสนมขึ้นของหลี่ฮองเฮา จนเผลอเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรงามและรีบก้มหน้าต่ำเมื่อรู้สึกตัวว่าได้เสียกิริยาต่อหน้าพระพักตร์เข้าเสียแล้ว

“นั่นสิ หม่อมฉันเองก็อยากลองชิมดูสักครั้งเหมือนกันเพคะ”หลี่ซูมี่กล่าวเสริม

“ขอถามหมอหญิงลู่ เจ้าต้นอ่อนถั่วเขียวนี้ หาซื้อได้จากที่ใดหรือ?”รัชทายาทเอ่ยถามถึงแหล่งที่มาจะได้ให้คนออกไปซื้อหาแล้วนำมาให้นางปรุงให้เสด็จแม่ลองเสวยดู

“เท่าที่หม่อมฉันทราบ ไม่มีวางขายที่ใดเลยเพคะ”และข้าจะเป็นผู้บุกเบิกรายแรกของที่นี่!

“โอ้..นี่มิใช่เจ้ากำลังจะบอกว่า เจ้าลงมือเพาะปลูกต้นอ่อนถั่วเขียวด้วยตนเอง?”รัชทายาทถามน้ำเสียงทึ่งๆ

“เพคะ โต่วเจี่ยวปลูกง่าย อากาศเย็นสบายเช่นนี้ รดน้ำเพียงสี่ถึงห้าวันก็เก็บมาปรุงอาหารได้แล้วเพคะ”หากอากาศร้อนอย่างเมืองไทยเช้าวันที่สี่ก็เก็บเกี่ยวได้

“ง่ายดายเพียงนั้นเลยหรือ? หากข้าลองปลูกเล่นๆคงแก้เบื่อได้ดี..”หลี่ซูเจียวเอ่ยขึ้นลอยๆคล้ายรำพึงรำพันกับตนเองเสียมากกว่า

“เช่นนั้นวันพรุ่งให้นางแนะนำขั้นตอนการปลูกโต่วเจี่ยวดีรึไม่เพคะน่าจะช่วยคลายเครียดได้ดี”หลี่ซูมี่ตาเป็นประกาย นางเคยลองปลูกดอกไม้มาบ้างแต่ไม่เคยปลูกผักเลยพอฟังว่ามันปลูกง่ายใช้เวลาน้อย มีประโยชน์ต่อร่างกายโดยเฉพาะผิวพรรณเลยสนใจเป็นพิเศษ

“เสด็จแม่ ขอลูกลองดูด้วยได้รึไม่พ่ะย่ะค่ะ?”รัชทายาทหนุ่มไม่ยอมน้อยหน้าทำเสียงออดอ้อนจนคนฟังพากันอมยิ้ม ไม่เว้นกระทั่งลู่จิวเมี่ยว

“มิใช่รัชทายาทมีงานมากมายต้องสะสางหรอกหรือ? จะมีเวลามาเล่นไร้สาระกับแม่ได้อย่างไร”หลี่ซูเจียวว่าแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มน้อยๆ

“เหตุนั้นลูกจึงเร่งสะสางงานจนแล้วเสร็จและรีบมาเฝ้าเสด็จแม่อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

“เถอะ จะทำอันใดก็ทำ”หลี่ซูเจียวคร้านจะต่อคำ ผินหน้าไปทางหญิงสาวแล้วว่า“เจ้าช่วยหลานสาวข้าออกจากขุมนรกแห่งความเจ็บปวดทรมาน ช่วยกอบกู้ชื่อเสียงของนางและตระกูลหลี่กลับคืนมาโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ และยังช่วยรักษาอาการป่วยข้าจนหาย นับว่าเจ้าคือผู้มีพระคุณของข้าและตระกูลหลี่”

หลี่ซูมี่พยักหน้ารัวๆเห็นด้วย ขอบตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวยามระลึกถึงอดีต

“เจ้ามีความประสงค์สิ่งใดจงบอกข้ามา หากมิเหนือกำลังข้า ข้ายินดีจะหาและมอบมันให้เจ้า”ถ้อยคำอันหนักแน่นจริงจังสตรีสูงศักดิ์ ผู้อยู่เหนือสตรีทั้งหลายในวังหลังและเป็นมารดาแผ่นดินที่ประชาชนต่างให้ความเคารพ ทำเอาลู่จิวเมี่ยวตะลึงทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วกล่าว

“ทูลฮองเฮา ความจริงหม่อมฉันมีความปรารถนาเล็กๆอยู่ประการหนึ่ง ไม่ทราบจะทูลออกไปได้รึไม่?”

“ลองว่ามาสิ”หลี่ซูเจียวผายมืออนุญาต

“หม่อมฉันทราบมาว่า นับแต่ไป๋ฮูหยินเสียชีวิต ศาลาเปี่ยมปรัชญาก็เงียบเหงาลงไปมากและมิได้ใช้ประโยชน์อันใดเลย”

“ถูกต้อง เพราะเสด็จพ่อทรงรับสั่งว่า ศาลาเปี่ยมปรัชญาจะเปิดขึ้นอีกครั้งก็ต่อเมื่อมีผู้รู้และเชี่ยวชาญภาษาอิงเหวินเทียบเคียงไป๋ฮูหยินเท่านั้น จนบัดนี้ก็ยังไร้วี่แววทำให้จะกลายเป็นศาลาร้างเข้าไปทุกที”รัชทายาทหนุ่มกล่าวติดตลก ความจริงศาลาแห่งนั้นยังคงสะอาดสะอ้านอยู่เสมอ เพราะศิษย์ของไป๋ฮูหยินสลับสับเปลี่ยนกันไปปัดกวาดเช็ดถูมิได้ขาด

“เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมรึ?”หลี่ซูมี่มีสีหน้าไม่เข้าใจ

ลู่จิวเมี่ยวยิ้มกล่าวกับหลี่ฮองเฮา“อย่างที่หม่อมฉันเคยทูลไปแล้ว ไป๋ฮูหยินคือศิษย์พี่ของหม่อมฉัน..”

“แค่กๆ เสด็จแม่ทรงอภัยที่ลูกเสียมารยาท”รัชทายาทหนุ่มสำลักน้ำชา ไอค่อกแค่กจนใบหน้าแดงก่ำ เมื่อได้ยินสิ่งที่นางกล่าว ‘เป็นศิษย์พี่ตนเอง? ช่างคิดได้นะพี่สะใภ้!’

“หม่อมฉันเองพอมีความรู้ในภาษานี้อยู่บ้าง จึงอยากจะลองดูเพคะ”มันคือปณิธานที่อยากสานต่อ ไม่อยากให้ยุติกลางคัน เพราะการเรียนรู้แบบครึ่งๆกลางๆยากนักที่จะประสบผลสำเร็จ

“ความหมายของเจ้าคือ..อยากให้ข้าทูลเสนอเรื่องนี้กับฝ่าบาทใช่รึไม่?”หลี่ซูเจียวถาม

“หม่อมฉันมิกล้าฮอง เพียงแต่ก่อนหน้าไป๋ฮูหยินเสียชีวิต นางได้ส่งตำราภาษาอิงเหวินมาให้หม่อมฉันได้ศึกษา และหม่อมฉันมีสหายที่เชี่ยวชาญหลายภาษาผู้นั้นคอยให้การช่วยเหลืออยู่เนืองๆ อีกทั้งท่านพ่อยังส่งชาวอิงกั๋วมาสอนหม่อมฉันที่บ้าน จึงค่อนข้างพูดฟังอ่านเขียนได้ดีพอควรเพคะ”

“…”รัชทายาทหนุ่มได้ฟังถึงกับคิ้วกระตุก ในคำพูดที่หาความจริงแทบไม่ได้ของพี่สะใภ้ในร่างขันทีหน้าหวาน

“ได้ ข้ารับปากเจ้าจะช่วยทูลเสนอเรื่องนี้ให้ ได้ความอย่างไรจะส่งคนไปแจ้งผลดีรึไม่?”

“ขอบพระทัยเพคะ”ลู่จิวเมี่ยวโขกศีรษะ ใบหน้าแย้มยิ้มยินดี

“หม่อมฉันทูลเสด็จอาแล้ว ว่านางจิตใจดีมีเมตตาและชอบช่วยเหลือผู้อื่น”

“อืม..รูปโฉมงดงาม กิริยามารยาทเรียบร้อยอ่อนหวาน สมเป็นกุลสตรี จิตใจรึก็งดงาม อีกทั้งเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์ หาได้ยากยิ่งร้อยปีไม่รู้จะได้พบอีกรึไม่..ลู่จิวเมี่ยว..”

“เพคะฮองเฮา”ลู่จิวเมี่ยวขานรับด้วยกิริยานอบน้อม

“เจ้า..มาเป็นลูกสาวเปิ่นกงเถิด”







มาแล้วจ้าาาาาาา ช้าหน่อยแต่ก็ดีกว่าไม่มาเนอะ รีดท่านใดที่ติดอ่านก่อนกินมื้อเช้า เปลี่ยนไปอ่านตอนตอนพักเที่ยงแทนละกันน้า^_^

ไรท์จะพยายามอัพทุกวันอย่างน้อย 1 ตอน ไม่เกินเที่ยงวัน ถ้าวันไหนสมองแล่นไอเดียกระฉูดก็อาจได้สองสามตอน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจจากรีดด้วย^_^

ปล.จัดการเรื่องในวังจบก็จะมีงานมงคลของท่านหญิงไก่คนงามกับพยัคฆ์ปากเสีย จะสนุก ฟินแค่ไหนรอลุ้นๆ


รีวิวจากผู้อ่าน 1 รีวิว
  • MintsriPHMU
    เมื่อ 5 ปี 8 เดือนที่แล้ว
    ติดตามต่อค่าา
    • อ่านถึง : 38 กุสุมากับกุญแจปริศนา

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว