สืบสู้ผี ภาค 1-3-29 ศพเป็นศพตาย ?

โดย  Jintanakorn (จินตนากร)

สืบสู้ผี ภาค 1-3

29 ศพเป็นศพตาย ?

หลังตำราปกน้ำเงินทั้งเก้าเล่มถูกขโมยไป ผู้ครอบครองเป็นเจ้าของต่างเดือดดาลและร้อนใจยิ่งนัก แต่ไม่กล้ากระโตกกระตากเกรงผู้คนภายนอกจะล่วงรู้ ทำได้เพียงออกคำสั่งคนของตนให้ออกตามหาโดดยด่วนเท่านั้น

ทว่ายิ่งพยายามปกปิดเท่าไหร่ ยิ่งกระตุ้นความสนใจของผู้ที่ชื่นชอบสอดรู้เรื่องของชาวบ้านมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายความลับก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไป และกลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักในวงน้ำชาทั่วทั้งสามแคว้น ถึงขั้นแคว้นเป่ย ต้องออกมาติดประกาศว่า ผู้ใดพบเห็นหรือมีตำราปกน้ำเงินของเซียนดอกท้อไว้ในครอบครอง จะมีความผิดฐานยักยอกของหลวง ให้รีบส่งมอบคืนแก่ทางการโดยด่วน

เมืองหลวงแคว้นเป่ย

“โจรผู้นี้ต้องเป็นยอดฝีมือจริงแท้ถึงได้บุกเข้าวังหลวงขโมยของจากตำหนักฮองเฮาออกมาได้โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้”บุรุษหนึ่งในสี่กล่าวขึ้นในวงน้ำชา

“ข้าได้ยินมาว่าเป็นตำราเล่มนึงเท่านั้น ไยต้องถึงขั้นติดประกาศตามหาทั้งให้รีบนำมาคืน หาไม่จะมีโทษฐานยักยอกของหลวง?”บุรุษที่นั่งฝั่งตรงข้ามออกความเห็น

“ชู่วววว เบาเสียงหน่อย ญาติข้าที่ทำงานในวังบอกว่า มันเป็นตำราต้องห้ามอันเลื่องชื่อของเซียนดอกท้อ มีเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้นและราคาสูงลิบลิ่วถึงขั้นซื้อจวนได้ทั้งหลังเชียวนะ!”บุรุษคนที่สามที่นั่งข้างคนที่สองกระซิบกล่าวด้วยน้ำเสียงอวดรู้

“ตำราต้องห้าม? หมายถึงตำราซุนกงรึ?”บุรุษคนที่สี่ก้มศีรษะลงถามด้วยน้ำเสียงที่ดังเสมอกัน

“ถูกต้อง”บุรุษก่อนหน้าพยักหน้า

“เหตุใดฝ่าบาททรงใส่พระทัยฮองเฮานัก? ฮองเฮาคือสตรีที่ไม่ทรงโปรดนี่?”บุรุษคนที่หนึ่งตั้งข้อสังเกต เรื่องโอรสสวรรค์ไม่ทรงโปรดฮองเฮานัก สืบเนื่องจากพระสิริโฉมดงามเทียบชั้นสนมนางในคนอื่นๆไม่ได้ เป็นข่าวซุบซิบในวงน้ำชามาช้านานแล้ว “ที่สำคํญก็แค่ตำราเล่มหนึ่งหายไป มิเห็นจำเป็นต้องปิดประกาศทั่วเมืองหลวงราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้เลย”กล่าวต่ออย่างมีอารมณ์เพราะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ

“อา..มันก็จริงของเจ้า”สามบุรุษพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนา

ภายในตำหนักหงส์ฟ้า

“จางกงกยังสืบไม่ได้อีกหรือว่าตำรานั่นอยู่ที่ใด?”เสียงอ่อนล้าทว่ายังทรงอำนาจของซูหนิงเซียนเอ่ยถามขันทีใหญ่

“ทูลฮองเฮา ยังไร้เบาะแสชี้นำพ่ะย่ะค่ะ”จางหยวนโค้งตัวประสานมือรายงาน

“ไม่ว่าอย่างไรต้องตามหามาให้จงได้ เปิ่นกงไม่ปรารถนาให้ตำราเล่มนั้นตกอยู่ในมือผู้ใด”นางไม่ปรารถนาให้สตรีทุกผู้ทุกนามได้ครอบครองมัน โดยเฉพาะสนมนางในทั้งหลายในวังหลังแห่งนี้ ซึ่งแต่ละนางสวยสดงามปานล่มเมืองและอยู่ในวัยแรกแย้ม ต่างกับนางที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนล่วงเข้าสามสิบห้า ความสดใสงดงามลดน้อยถอยลงทุกวัน แม้พระสวามีจะดีกับพระนางเพียงใด แต่มิได้มีจิตพิศวาสต่อนางเช่นกาลก่อน ในแต่ละวันเสด็จมาหานางหนึ่งถึงสองชั่วยามเท่านั้นเพื่อเสวยพระกระยาหารและอยู่สนทนาด้วยอีกเล็กน้อยแล้วเสด็จกลับตำหนัก เป็นเช่นนี้มากว่าสิบปีแล้ว

แรกเริ่มนางเจ็บปวดเสียใจร่ำไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายเสียให้ได้ พอนานวันความรู้สึกเหล่านั้นแปรเปลี่ยนเป็นความชินชา เมื่อปลงตกคิดได้ดังนั้น นางจึงหยุดการกระทำทุกอย่างอันแสดงถึงการเหนี่ยวรั้งพระสวามีที่นางปักใจรักและอยู่เงียบๆทำหน้าที่ของตนไป ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด ทว่าส่วนลึกในจิตใจยังคงโหยหาอ้อมกอดอบอุ่นนั้นเสมอไม่เสื่อมคลาย หวังว่าสักวันจะได้ปรนนิบัติบุรุษที่รักยามค่ำคืนเฉกเช่นสามีภรรยาคู่อื่นบ้าง

ระหว่างที่เฝ้ารอด้วยจิตใจอันห่อเหี่ยวสิ้นหวัง จางกงกงได้นำตำราเล่มหนึ่งมามอบให้ ยามนั้นนางรับมาอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่พอลองอ่านดู ในใจบังเกิดความหวังคล้ายพบทางสว่างที่จะทำให้นางเป็นที่โปรดปรานอีกครั้ง แม้ยามอ่านจะต้องข่มกลั้นอารมณ์ปรารถนาความขัดเขินและต้องอยู่ในห้องส่วนตัวก็ตาม

เนื้อหาในตำรามิใช่มีแค่ภาพประกอบเช่นตำราซุนกงทั่วไป แต่ลงรายละเอียดวิธีการไว้ละเอียดยิบ ยกตัวอย่างจะใช้มารยาหญิงเยี่ยงไรให้ดูเป็นธรรมชาติแนบเนียนโดยที่อีกฝ่ายไม่ทราบ? หนทางยั่วยวนบุรุษให้หลงใหลจดจำไม่รู้ลืม เป็นต้น พออ่านแล้วนางก็พร่ำบอกตัวเองว่า ทำไม่ได้ อย่างไรก็ทำไม่ได้ มันน่าอายเกินไป แต่เพราะถ้อยคำที่ย้ำในทุกหน้า

แม้จะเขินอายเพียงใด ห้ามหยุดกลางคันเด็ดขาด! ทำให้นางฮึดสู้และลองทำตามดู ไม่คิดเลยเพียงใช้ครั้งแรกนางก็ได้ปรนนิบัติพระสวามีจนเกือบรุ่งสาง! และจากวันนั้นนางก็กลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกครั้ง พระสวามีมักประทับที่ตำหนักของนางและเสด็จกลับยามเหม่าเป็นเช่นนี้มาหลายเดือนแล้ว คิดแล้วหัวใจพลันเต้นแรง ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะกระแอมแก้ความขัดเขินเมื่อถูกจางกงกงมองมา

“ฮองเฮาทรงวางพระทัย กระหม่อมจะรีบออกตามหาและนำกลับมาถวายโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ”

“ดี”

จางหยวนมองส่งซูฮองเฮาที่เสด็จเข้าไปด้านในจนลับสายตาแล้วหมุนกายออกไปทำตามรับสั่งทันที ด้วยใบหน้าแย้มยิ้มยินดี ปลาบปลื้มใจที่ฮองเฮากลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกครั้งและดูฝ่าบาทจะทรงโปรดปรานมากกว่าครั้งในอดีตหลายเท่า!

แน่นอนว่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น สายลับที่แฝงตัวในแคว้นเป่ยได้รายงานต่อไป๋เสวี่ยหลง อย่างละเอียดไม่มีตกหล่นผ่านอินทรีย์สื่อสาร ซึ่งประมุขหนุ่มเพียงตอบกลับไปสั้นๆว่า

“จับตาดูต่อไป” เท่านั้นมิได้กำชับอะไรเป็นพิเศษด้วยไม่เห็นถึงอันตรายใดๆจากเรื่องนี้ เพราะตำราเจ้าปัญหาทั้งเก้าเล่มถูกกำจัดไปแล้ว เหลือเพียงเล่มเดียวซึ่งเขาเก็บรักษาไว้อย่างดี คิดพลางดีดกายกลับบ้านสกุลเหอของภรรยา

ประมุขหนุ่มลอบออกมาจัดการบางอย่างตอนนางหลับสนิท นั่นคือลอบเข้าตำหนักองค์ชายสี่ เตือนอีกฝ่ายปิดปากให้สนิทห้ามแพร่งพรายที่มาของตำราปกน้ำเงินกับผู้ใดเด็ดขาด และอีกฝ่ายก็รับปากแลกกับ การขอเข้าพบเพื่อขอคำชี้แนะจากภรรยาเขา นอกเหนือเวลาเรียนได้ ประมุขหนุ่มตกลง โดยตั้งเงื่อนไขว่า ให้เข้าพบได้ไม่เกินครึ่งชั่วยามในทุกสิบวัน ซึ่งการเจรจาเป็นไปด้วยดี

พอกลับถึงเรือนกระจ่างฟ้า เจิ้งที่รั้งอยู่หน้าเรือนรีบรายงาน

“ฮูหยินอยู่ที่หอเก๋งกลางสวนขอรับ”

“อืม”ไป๋เสวี่ยหลงส่งเสียงในลำคอ หมุนกายตรงไปหอเก๋ง

“เอ่อ..หลิวฮูหยินพร้อมบุตรีหลิวเยว่ซินนำของเยี่ยมมามอบให้ฮูหยินขอรับ”เจิ้งรายงานต่อ

“น่ารำคาญ!”สบถออกมาอย่างหงุดหงิดไม่สบอารมณ์

‘นางกลับมาได้เพียงคืนเดียวก็เสนอหน้ามารบกวนเวลาพักผ่อนของนางแต่เช้า มันน่าจับแช่แข็งนัก!’ คิดพลางเดินดุ่มๆตรงไปยังหอเก๋ง ด้วยใบหน้าเครียดขึงเล่นเอาสามองครักษ์ฟง เฟิ่งและเจิ้ง สะท้านเยือก หนาวจับขั้วหัวใจจนต้องกอดแขนตัวเองเพราะระหว่างเดินไปหอเก๋ง ท่านประมุขปล่อยปราณเยือกแข็งอ่อนๆออกมาด้วย แม้จะเพียงหนึ่งในร้อยแต่ก็ทำให้น้ำค้างที่เกาะอยู่ตามดอกไม้ใบหญ้าจับตัวกันเป็นก้อนน้ำแข็งทันทีที่ท่านประมุขเดินผ่านไป

จวบจนมาถึงหอเก๋ง ปราณเยือกแข็งถึงได้สลายไป สร้างความโล่งใจแก่ทั้งสามจนเผลอถอนใจออกมาพร้อมกัน

“ท่านพี่? กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ?”

เสียงทักทายกังวานใสพร้อมรอยยิ้มหวานของภรรยา ทำเอาความขุ่นขึ้งไม่สบอารมณ์เบาบางลงหลายส่วน เข้าไปยืนเคียงข้างภรรยามองสตรีทั้งสองด้วยสายตาว่างเปล่า

“คารวะประมุขไป๋”สตรีทั้งสองรีบลุกขึ้นทักทายไป๋เสวี่ยหลง กิริยาท่าทางเต็มไปด้วยความสุภาพนอบน้อมและอ่อนช้อยงดงามโดยเฉพาะหลิวเยว่ซินที่พอทักทายประมุขหนุ่มแล้วเอาแต่ก้มหน้าต่ำเอียงอาย สองแก้มแดงเรื่อกระทั่งหลังมือก็ไม่เว้น เหอซือเมี่ยวเห็นแล้วยังอดตะลึงในความงดงามของนางไม่ได้

‘โอ้..คนงามทำอะไรก็ดูงดงาม ดูดีไปหมด นี่ถ้าผายลมต่อให้เหม็นเพียงใด บุรุษก็คงบอกว่าหอมกระมัง?’ คิดพลางชำเลืองมองสามี แล้วต้องชะงักเพราะสามีหลุบตาลงมองนางพอดีจึงส่งยิ้มหวานให้

“หลิวฮูหยิน คุณหนูหลิว”ไป๋เสวี่ยหลงดึงสายตากลับไปกล่าวทักทายสตรีทั้งสองกลับ น้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์เล่นเอาหลิวฮูหยินนึกหวาดหวั่นใจ 'อา...ดูเหมือนการมาเยือนครั้งนี้จะทำให้ประมุขไป๋ไม่พอใจเสียแล้ว'

“ต้องขออภัยที่มารบกวนแต่เช้า พอทราบข่าวว่าไป๋ฮูหยินกลับมาแล้ว พวกเราจึงมาเยี่ยมเยียนนำของบำรุงครรภ์มามอบให้”หลิวฮูหยินพยายามปั้นยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงนัก

หวงฮูหยินสหายรักของนางพอทราบว่า หญิงสาวกลับมาบ้านสกุลเหอก็ขอร้องอ้อนวอนนางเป็นตัวแทนนำของบำรุงครรภ์มามอบให้ ไม่สะดวกเดินทางเนื่องจากท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที ซึ่งนางเองเต็มใจยิ่งด้วยอยากพบหญิงสาวเช่นกัน

“…ขอบคุณหลิวฮูหยิน”ไป๋เสวี่ยหลงตอบไปตามมารยาท ก่อนจะปรายตามองหลิวเยว่ซินที่ยืนก้มหน้าต่ำแวบหนึ่งแล้วไม่ได้สนใจอีก หันมากำชับภรรยา“ข้างนอกอากาศเย็นอย่าอยู่นานนัก”

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”

“อืม..หลิวฮูหยินเชิญตามสบาย ขอตัวก่อน”ตอบรับในลำคอแล้วจึงหันไปกล่าวกับแขกผู้มาเยือน แล้วเดินจากไปทันทีไม่รออีกฝ่ายกล่าวตอบโดยมีฟง เฟิ่ง ตามติดไม่ห่าง ก่อนไปไม่วายกำชับจิ้ง เจิ้ง ให้ดูแลฮูหยินให้ดี

“เมี่ยวเอ๋อร์ต้องขออภัยแทนท่านประมุขด้วยเจ้าค่ะ”

“ไอหยา..ป้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายกล่าวขออภัย ที่มารบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้า มาๆรีบนั่งลงเร็วเข้า”หลิวฮูหยินรีบเข้ามาประคองร่างระหงให้นั่งลงโดยมีหลิวเยว่ซินเข้าช่วยอีกแรงหนึ่ง

“เอ่อ..”

“พวกเจ้าถอยออกไปก่อน”เห็นอาการกระอักกระอ่วนใจไม่กล้าเอ่ยวาจาของหลิวฮูหยิน เหอซือเมี่ยวจึงหันไปสั่ง เจิ้ง จิ้งและถิงถิง ถอยห่างจากหอเก๋ง “ท่านป้าหลิวมีเรื่องใดเชิญกล่าวมาได้เลยเจ้าค่ะ”

“ความจริงแล้วที่ป้ามาในวันนี้นอกจากตั้งใจมาเยี่ยมเจ้าแล้ว หวงฮูหยินยังได้ฝากมาขอโทษเจ้าด้วย”

“ขอโทษข้า?”

“ใช่..ก็เรื่องตำราปกน้ำเงินที่เจ้ามอบให้นาง”

“..อ้อ..เจ้าค่ะ”

“คือว่า..มันหายไปแล้ว! หายไปโดยไร้ร่องรอย”

‘ฝีมือสามีข้าเองแหละท่านป้า’ แม้ใจคิดอย่างนั้นแต่ปากกลับกล่าวอีกอย่าง “ตายจริง! จวนเจ้ากรมพิธีการมีทหารคุ้มกันแน่นหนามิใช่หรือเจ้าคะ?”

“ถูกต้อง แน่นหนาถึงเพียงนั้นยังสามารถเข้าไปขโมยได้ ป้าคิดว่าต้องมิใช่ขโมยธรรมดาเป็นแน่”หลิวฮูหยินกล่าว อย่างมีอารมณ์

‘พรรคอันดับหนึ่งของยุทธภพเชียวนะท่านป้า ฝีมือย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว’ เหอซือเมี่ยวคิดพลางพยักหน้าเห็นด้วยแล้วว่า “รบกวนท่านป้าหลิวช่วยเป็นธุระแทนข้า เรียนท่านป้าหวงด้วยว่าอย่าได้กังวลใจเลย เมี่ยวเอ๋อร์หาได้ใส่ใจไม่เจ้าค่ะ”

“ได้ เดี๋ยวป้าจัดการให้”

เหอซือเมี่ยวอยู่สนทนากับสตรีทั้งสองต่ออีกครู่ใหญ่ ก่อนหลิวฮูหยินและบุตรีจะขอตัวกลับ

วันต่อมา ขณะที่ ไป๋เสวี่ยหลงกับเหอซือเค่อ กำลังปรึกษาหารือกันถึงเรื่องที่พำนักของเหอซือเมี่ยว ก่อนและหลังคลอดบุตรว่าจะเลือกที่ไหนดีอยู่นั้น ถานหู่ก็เข้ามารายงานว่า รัชทายาทเสด็จมาเยี่ยมฮูหยินในฐานะศิษย์ที่ดี ที่มีต่ออาจารย์ เป็นเหตุให้ต้องยุติเรื่องที่คุยค้างไว้ชั่วคราว

ยามอู่ตอนปลายวันต่อมา

เหอซือเมี่ยวกำลังทบทวนตำราภาษาอิงเหวินอยู่ หวงอี้ เจ้ากรมพิธีการ และ หลิวหมิงเจี้ยน เจ้ากรมอาญาที่เข้าวังรายงานตัวเสร็จได้แวะมาเยี่ยมเยียนถามไถ่อาการด้วยความเป็นห่วงและขอตัวกลับหลังจากสนทนาอย่างออกรสเกือบหนึ่งช่วยาม

ถัดมาอีกวัน

องค์ชายสี่ฉีเฉินเฟยหลงพร้อมองค์ชายห้าฉีเฉินหลวนหลง เสด็จมาเยือนบ้านสกุลเหอนำของบำรุงมาเยี่ยมและขอคำชี้แนะเกี่ยวกับตำราเรียนที่เหอซือเมี่ยวมอบให้ ในการนี้องค์ชายสี่ยังตรัสขอตำราทั้งสองเล่มที่ลืมไว้ยังโรงเตี๊ยมหมื่นลี้คืนด้วย ซึ่งเหอซือเมี่ยวคืนให้เพียงตำราภาษาอิงเหวิน ส่วนตำราอีกเล่มนางยกสามีมาอ้าง ว่าเป็นผู้เก็บและไม่ทราบเก็บไว้ที่ใด พอทราบดังนั้นฉีเฉินเฟยหลงจึงยอมตัดใจไม่กล้าบีบคั้นนางอีก และเช่นเดิมทั้งสองอยู่สนทนากับหญิงสาวอย่างออกรส คำเรียก teacher จากองค์ชายสี่ และ ท่านอาจารย์ จากองค์ชายห้า สร้างความสำราญใจ ภูมิใจแก่เหอซือเมี่ยวไม่น้อย

แต่กับไป๋เสวี่ยหลงแล้ว ความหงุดหงิด รำคาญใจและไม่สบอารมณ์กลับเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จวนเจียนระเบิดรอร่อ! เฝ้ามองแมลงน่ารำคาญทั้งหลายที่สลับปรับเปลี่ยน แวะเวียนมาเยี่ยมภรรยาทุกวันไม่มีเว้น ด้วยสายตาเคืองขุ่นเข้มข้นจนแทบจะคั้นน้ำออกมาได้ ทำเอาฟง เฟิ่ง ทนรับแรงกดดันไม่ไหวสืบเท้าถอยห่างออกไปหลายก้าวให้พ้นรัศมีโทสะของท่านประมุข

“แจ้งท่านพ่อตา ข้าจะพาฮูหยินไปหลบที่อื่นสักพัก”สั่งเสร็จตรงดิ่งไปหาภรรยาทันที ไม่รอฟังคำตอบ

“ท่านพี่? กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ?”ยิ้มหวานทักทายสามี

หลังจากยืนส่งองค์ชายทั้งสองกลับแล้ว กำลังเตรียมตัวกลับเรือนสามีนางก็มาพร้อมใบหน้าที่แสดงถึงความขุ่นขึ้งอย่างเข้มข้น นางจึงส่งยิ้มหวานประจบหวังให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้น

“ไปเถิด”ไม่พูดเปล่าช้อนร่างระหงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว “ฟง นำตัวนางไปดูแลฮูหยิน”ใช้ปราณสั่งองครักษ์ติดตาม

“รับคำสั่งท่านประมุข!”ฟงยกมือทาบอกซ้ายก้มศีรษะต่ำแล้วหันไปรวบเอวคอดของถิงถิงเหินตามท่านประมุขไป ไม่สนใจเสียงหวีดร้องตกใจของสาวใช้ร่างเล็ก มีเฟิ่งกับจิ้งตามติดคุ้มกัน ส่วนเจิ้งนำความไปแจ้งต่อเหอซือเค่อแล้วตามไปสมทบทีหลัง ทั้งนี้เงาทั้งสี่ของเหอซือเมี่ยว สองคนติดตามนางไป อีกสองคนรั้งอยู่เรือนกระจ่างฟ้า และยังมีคนของพรรคมังกรเหมันต์แฝงกายตรึงกำลังอยู่ทุกจุดกว่ายี่สิบคน ซึ่งเรื่องนี้ในบ้านสกุลเหอมีเพียงเหอซือเมี่ยวที่รับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาจากประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าคนธรรมดาของนางเอง หาใช่ผู้ใดบอกไม่

“เราจะไปที่ใดกันเจ้าคะ?”เหอซือเมี่ยวเอ่ยถามสามีหลังจากหายตกใจแล้ว

“แคว้นเกาจ้าน”ไป๋เสวี่ยหลงหลุบตามองใบหน้างามแวบหนึ่งแล้วจึงค่อยตอบ พร้อมกับใช้ปราณที่มองไม่เห็นสร้างเกราะรอบตัวเองและภรรยา ป้องกันลมและภัยร้ายที่อาจลอบโจมตีทุกเมื่อระหว่างทาง

“แคว้นเกาจ้าน? ระยะทางกว่าสองพันลี้?”หญิงสาวตกใจน้ำเสียงจึงดังขึ้นหนึ่งส่วน

“อืม”ตอบรับในลำคอและเร่งความเร็วขึ้นอีกหนึ่งส่วน

“เดินทางด้วยวิชาตัวเบา?”ถามต่อ

“วายุท่องเมฆา”หลุบตาตอบน้ำเสียงขุ่นมัวเล็กน้อย เพราะจับกระแสเสียงไม่มั่นใจ ไม่อยากเชื่อของนางได้

“อ้อ..แล้วนานรึไม่เจ้าคะกว่าจะถึง?”

“หนึ่งชั่วยามครึ่ง”

‘โอ...มายก้อด..พันกว่ากิโลเมตรใช้เวลาเพียงสามชั่วโมง! สามีข้าท่านช่างร้ายกาจยิ่ง!’ หญิงสาวตะลึงจ้องสามีดวงตาเป็นประกายชื่นชมชัดเจน

ประมุขหนุ่มเห็นเข้าพอดีพลันกดยิ้มมุมปากพอใจ ยิ่งเห็นนางมองตนด้วยสายตาชื่นชมมุมปากยิ่งกดลึกจนโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์น่าหลงใหล

“ห้ามท่านยิ้มเช่นนี้ให้สตรีอื่นนอกจากข้าเด็ดขาด เข้าใจรึไม่เจ้าคะ?”พอหลุดจากบ่วงเสน่หาอันร้ายกาจที่สามีจงใจยั่วนางได้ก็จับคางสากทำเป็นออกคำสั่งเสียงเข้มซ่อนความอับอาย

ไป๋เสวี่ยหลงไม่ตอบแต่ก้มลงจุมพิตหน้าผากมนของภรรยาแทน ยิ่งทำให้ใบหน้าแดงเรื่ออยู่แล้วเข้มขึ้นกว่าเดิมไปอีกจนดูคล้ายผลอิงเถาสุกงอมเต็มที่!

‘อา...ละลายสิเจ้าคะงานนี้’

เป็นไปตามคาด หนึ่งชั่วยามครึ่งต่อมา ทั้งหมดก็มาถึงเมืองจ้าน อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นเกาจ้าน ไป๋เสวี่ยหลงเหินนำผู้ติดตามลงพื้นดินช้าๆโดยที่อาภรณ์ไม่สะบัดสักนิดด้วยเกราะปราณที่สร้างขึ้น ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของผู้คนที่พากันหยุดดูตั้งแต่พวกเขาอยู่บนฟ้าแล้ว กระทั่งกลุ่มของไป๋เสวี่ยหลงถึงพื้น ผู้คนเหล่านั้นถึงได้หลุดจากภวังค์กลับมามีสติอีกครั้ง

“อา..นั่น..นั่นมัน...ประมุขพรรคมังกรเหมันต์!”ชายแก่คนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แม้จะไม่ดังนักแต่ชายหนุ่มที่ยืนข้างๆได้ยินชัดเจน

“สวรรค์! ใช่จริงๆด้วย”ชายหนุ่มที่ยืนใกล้ๆอุทานเสียงเบาหวิว สายตามองบุรุษรูปงามอุ้มหญิงสาวอย่างชื่นชมระคนหวาดเกรง

หลายคนพอทราบว่ากลุ่มคนที่แผ่รังสีอันตรายออกมารอบด้านเป็นผู้ใด ก็เกิดอาการหวาดกลัวรีบหลบทางให้และถอยห่างออกไปอีกหลายก้าว โดยที่สายตายังจับจ้องบุรุษรูปงามอุ้มหญิงสาวที่ซุกหน้ากับอกจนมองไม่เห็นรูปโฉมเดินนำชายสวมหน้ากากสี่คนเข้าไปในจวนหลังใหญ่ไม่วางตา ครั้นประตูปิดลงก็เกิดเสียงถอนหายใจของใครหลายคน

“สวรรค์! ช่างเป็นบุรุษที่งามสง่าและสูงส่งอะไรเช่นนี้”สตรีนางหนึ่งกล่าวด้วยท่าทีเหม่อลอย

“ใช่…หล่อเหลาดุจเทพเซียนบนสวรรค์ชั้นฟ้า”สตรีอีกนางพยักหน้าตอบอย่างเลื่อนลอย

“ใคร่รู้จริงสตรีโชคดีคนนั้นเป็นใครประมุขไป๋ถึงให้ความสำคัญนัก ถึงขั้นต้องโอบอุ้มไม่เกรงคำติฉินของผู้คนเยี่ยงนี้”สตรีคนที่สามกล่าว น้ำเสียงบ่งบอกถึงความริษยา

“ชู่วววว ระวังปากหน่อยเถิด ข้าได้ข่าวมาว่าประมุขไป๋แต่งฮูหยินแล้ว สตรีผู้นั้นคงเป็นไป๋ฮูหยินกระมัง?”ชายคนหนึ่งส่งเสียงปรามและอธิบาย

“ข้าเองก็คิดว่าใช่ และข้ายังรู้มาอีกว่าประมุขไป๋รักใคร่ฮูหยินมาก จนสตรีน้อยใหญ่พากันริษยาไป๋ฮูหยินกันทั้งเมือง!”

“อา…ว่าแต่ประมุขไป๋มาทำอะไรที่เมืองจ้านกันนะ?”

“นั่นสิ…หรือไป๋ฮูหยินจะบาดเจ็บ?”

“อา…มีเหตุผล หาไม่ไยต้องโอบอุ้มทะนุถนอมปานนั้น?”

“…….”

ขณะที่ด้านหน้าจวนผู้คนยังจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา ภายในจวนกลับสงบเงียบไร้เสียงพูดคุย เพราะเหอซือเมี่ยวกำลังตะลึงกับภาพความงดงามของจวนหลังใหญ่ที่นางซื้อจากหลี่มู่หนึ่งหมื่นตำลึงเงินอยู่

“นี่มัน…ท่านพี่…”พึมพำแล้วหันมาทางสามีที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหลัง

“อืม..เหมือนตำหนักมังกรนิทราทุกกระเบียดนิ้ว”ประมุขหนุ่มตอบ สาวเท้ามายืนข้างภรรยา

“แอบมาทำตอนไหนไยข้าจึงไม่รู้?”

“หลังจากตกลงซื้อขาย” ใช่..หลังจากวันนั้นเขาได้สั่งการให้คนของตนที่แฝงตัวในเมืองจ้านรื้อถอนและสร้างขึ้นมาใหม่โดยยึดตำหนักมังกรนิทราเป็นแบบ หวังใช้เป็นที่พักผ่อนอีกแห่งของเขาและภรรยา

“อ้อ…แล้วเราจะพักอยู่ที่นี่กี่วันเจ้าคะ?”เงยหน้าถามสามีที่โอบเอวพาเดินเข้าไปดูข้างใน

“สามเดือนให้ลูกน้อยแข็งแรงแล้วค่อยกลับ”

เรื่องนี้ประมุขหนุ่มทูลฝ่าบาทเรียบร้อยแล้วและสถานที่สำหรับใช้สอนภาษาอิงเหวินคงสร้างแล้วเสร็จพอดี พอกลับไปนางสามารถเริ่มสอนได้ทันทีซึ่งฝ่าบาททรงเห็นชอบไม่คัดค้าน

“สามเดือน! แล้วเรื่องการเล่าเรียนภาษาอิงเหวิน…”

“ไม่ต้องกังวลไป เจ้าได้ทำหน้าที่อาจารย์สมใจแน่!”

หญิงสาวยังกล่าวไม่ทันจบความ สามีก็แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงความขุ่นเคืองเจือประชดประชัน ทำเอาร่างระหงชะงักหน้าเจื่อนลง “เอ่อ..ฝ่าบาททรงทราบเรื่องแล้วใช่รึไม่?”ยังไม่วายถามต่อเพราะเกรงฝ่าบาทจะทรงพิโรธ หากมาโดยไม่บอกกล่าว

“อืม…เจ้าพักผ่อนก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

การกระทำของคู่สามีภรรยาที่มีต่อกันอยู่ในสายตาสี่องครักษ์ ถิงถิงและองครักษ์เงาทั้งหลายที่ติดตามห่างๆตลอดเวลา ก่อนถิงถิงจะรีบรุดตามเข้าไปปรนนิบัตินายหญิงของนาง คงเหลือสี่องครักษ์ยืนเฝ้าหน้าประตูทางเข้าไว้

“เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้ามังกรหน้าเดียวอยู่ที่เมืองจ้านรึ?”

“ขอรับท่านประมุข มาพร้อมไป๋ฮูหยินและสี่องครักษ์ยอดฝีมือ ตอนนี้พำนักอยู่ที่…”

รายงานยังไม่ทันจบ ร่างงามสง่าในชุดสีม่วงเข้ม สวมหน้ากากครึ่งใบหน้าก็หายไปจากครรลองสายตาแล้วพร้อมหัวหน้าหน่วยอ้าวหลิวและสี่ผู้ติดตาม

“…เหตุใดท่านประมุขจึงดูตื่นเต้นนัก?”สงสัยจนต้องเอ่ยปากถามพ่อบ้านใหญ่ที่ยืนยิ้มคล้ายขบขันอยู่

“เรื่องของเจ้านาย ข้ารับใช้อย่างเราอย่าสอดรู้ให้มากนักจะดีกว่า”พ่อบ้านใหญ่เตือนสติสายลับหนุ่มที่ปิดบังใบหน้าเห็นเพียงดวงตาและเดินจากไปด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ปล่อยให้สายลับยืนงงอยู่ตรงนั้น

เมื่อส่งภรรยาเข้าที่พักเรียบร้อย ไป๋เสวี่ยหลงจึงออกมาที่หอเก๋งทรงแปดเหลี่ยมซึ่งตั้งอยู่กลางสวนขนาดใหญ่ โดยมีสี่องครักษ์ และพ่อบ้านที่เพิ่งกลับจากการซื้อวัตถุดิบเตรียมไว้สำหรับทำอาหารยืนรอรับคำสั่งอยู่

“รายงาน”

“เรียนท่านประมุข ทุกอย่างเตรียมการไว้พร้อมแล้วขอรับ”รีบรายงานไม่กล้าชักช้า จางฉีเดิมทีเป็นรองพ่อบ้านตำหนักมังกรนิทราถูกเรียกตัวมาประจำการที่นี่เมื่อครึ่งเดือนก่อน และเหตุที่ออกมาต้อนรับล่าช้าเป็นเพราะท่านประมุขมิได้ส่งคนมาแจ้งล่วงหน้านั่นเอง

“ดูแลฮูหยินให้ดีโดยเฉพาะเรื่องอาหารและยาบำรุง”ไป๋เสวี่ยหลงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษ ด้วยทราบจากหมอหลวงและท่านพ่อตาว่า เด็กจะแข็งแรงสมบูรณ์ได้ มารดาต้องได้รับอาหารและยาบำรุงที่ดีเลิศและในปริมาณที่เหมาะสมไม่มากไปหรือน้อยไป หาไม่อาจส่งผลต่อมารดาและบุตรในครรภ์ได้

“โอ้…เหตุใดจึงทำหน้าดำคร่ำเครียดดุจก้นกระทะเยี่ยงนั้นเล่า เจ้ามังกรหน้าเดียว”

เสียงที่มาก่อนตัวเล่นเอาใบหน้าหล่อเหลากระตุก สะบัดมือปล่อยมีดน้ำแข็งโจมตีทันทีโดยไม่แม้แต่จะหันไปดู

“โว่ๆๆนี่กะจะฆ่ากันให้ตายเลยรึ เจ้ามังกรหน้าเดียว”หลี่มู่เบี่ยงกายหลบมีดน้ำแข็งกว่าสิบเล่มพร้อมทั้งต่อว่าอีกฝ่าย ก่อนจะเหินลงมาอยู่เบื้องหน้าสหายรัก? ด้านหลังมีอ้าวหลิวและสี่ผู้ติดตามเหินลงตามมาห่างๆ

“เจ้ามาทำไม?”ไป๋เสวี่ยหลงจ้องดวงตาสีม่วงเขม็ง

“สหายรักมาเยือนถึงถิ่น ในฐานะเจ้าบ้านที่ดีย่อมต้องออกมาต้อนรับหรือมิใช่?”เดินอ้อมร่างสูงเข้าไปในศาลา รินสุรารสเลิศใส่จอกกระดกทีเดียวหมดจอกแล้วจึงค่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน

“เมี่ยวเอ๋อร์เล่า?ทราบว่าเจ้าพานางมาด้วย”ชะเง้อมองหาสายตาเป็นประกายสอดรู้

“ห้ามเรียกนางเมี่ยวเอ๋อร์!!”ไป๋เสวี่ยหลงเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามแล้วตวัดเสียงห้วนอย่างไม่สบอารมณ์

‘เมี่ยวเอ๋อร์บ้านเจ้าสิ! นางหาใช่ภรรยาหรือน้องสาวเจ้าไม่!’

“เอาน่า…ทำเป็นพยัคฆ์หวงลูกไปได้ แล้วนางไม่อยู่รึ?”หลี่มู่ไม่ยี่หระกับท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านของสหายถามย้ำอีกครั้ง

“อยู่รึไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า?”น้ำเสียงยังคงห้วนจัดยามย้อนถาม นัยน์ตาจับจ้องอีกฝ่ายเขม็ง

“ทราบมาด้วยว่านางกำลังตั้งครรภ์ประมุขน้อย?”หลี่มู่ไม่สนใจถ้อยคำยั่วโมโห ถามกลับด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อยและเกียจคร้าน

“…….”

“เอ้านี่..รับไปสิ”

“อะไร?”ไป๋เสวี่ยหลงรับห่อยาห่อใหญ่พลิกไปพลิกมา

“จับซาไท้เป้า(1)”

“..จับซาไท้เป้า?”

“เป็นตำรับยาบำรุงครรภ์ ที่ผู้เฒ่าผู้แก่แนะนำให้สตรีมีครรภ์ดื่มในช่วงกลางถึงระยะปลายตั้งครรภ์ โดยมากจะเริ่มดื่มเมื่ออายุครรภ์ได้หกเดือนและหยุดดื่มก่อนคลอดหนึ่งเดือน จะช่วยบำรุงครรภ์ให้แข็งแรง ไม่ให้เป็นหวัดง่าย ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อและช่วยให้การเจริญอาหาร”เห็นสหายให้ความสนใจจึงยิ้มและว่า

“ข้าอุตส่าห์เดินทางลงใต้หลายร้อยลี้เพื่อนำตำรับยานี้มามอบให้ฮูหยินเจ้าเชียว ไม่ขอบคุณก็ไม่เป็นไร แต่ขอพบนางหน่อยจะมิได้เชียวหรือ?”หลี่มู่ถือโอกาสต่อรอง

“นางพักผ่อนอยู่ ยามอิ่วค่อยมา”ไป๋เสวี่ยหลงจำใจรับปากเพราะเห็นแก่สมุนไพรล้ำค่าห่อนี้ที่เจ้าเต่าโง่ตั้งใจนำมามอบให้ภรรยา หลี่มู่ยังไม่ทันจะได้ตอบ จางฉีก็เดินรีบๆเข้ามา

“มีอะไร?”ไป๋เสวี่ยหลงตวัดสายตาเย็นเยียบใส่

“เรียนท่านประมุข รัชทายาทเกาจ้านเทียนฟงเสด็จมาขอรับ”จางฉีรายงาน

“หือ?ไป๋เสวี่ยหลงหันมามองสหายด้วยสายตาคาดคั้น

“อย่ามองข้าเยี่ยงนั้น ข้าไม่รู้เรื่อง”หลี่มู่รีบปฏิเสธทันควัน

“เชิญรัชทายาทเข้ามา”

(1)จัซาไท้เป้า เป็นตำรับยาบำรุงครรภ์ที่ชาวจีนแต่โบราณ แนะนำให้บุตรหลานที่ตั้งครรภ์ได้รับประทานในช่วงกลางถึงปลายระยะตั้งครรภ์โดยนิยมเริ่มรับประทานเมื่ออายุครรภ์ 6 เดือนและหยุดรับประทานก่อนคลอดหนึ่งเดือน สรรพคุณคือ บำรุงครรภ์ให้แข็งแรง ไม่ให้เป็นหวัดง่าย ส่งเสริมระบบการย่อยอาหารลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยในการเจริญอาหารส่งผลดีต่อการได้รับสารอาหารบำรุงครรภ์ครบถ้วน ประกอบด้วยสมุนไพร 13ชนิด ได้แก่ ตังกุย : ช่วยปรับการไหลเวียนของโลหิต ชวงเกียง : บำรุงโลหิต กำเช่า : บำรุงม้าม,เสริมชี่ โท่วซี : บำรุงไต ตับ ม้าม, เสริมหยิน กล่อมครรภ์ แปะเจียก : กระจายเลือดคั่ง, แก้การติดเชื้อราในช่องคลอด เหี่ยเฮี๊ยะ : หยุดการไหลของเลือด ป้องกันการแท้ง ขวงผก : แก้ท้องอืดเบื่ออาหาร อาเจียน ท้องเสีย เกียงอั๊ว : แก้ไข้ หวัด แก้อาการกล้ามเนื้อเกร็งเพิ่มปริมาณการไหลเวียนของสารอาหารในเลือด จีขัก : แก้อาการแน่นหน้าอก พะอืดพะอม อาเจียน แก้ไอมีเสมหะมาก ชวนป๋วย : แก้ไอ ขับเสมหะ ปักคี้ : บำรุงกำลังเสริมชี่ แก้เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย เก็งไก่ : เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย, ห้ามเลือด และขิงแก่สด : อบอุ่นช่องท้อง แก้ไอ ขับลม





ตอนนี้เอาความรู้เรื่องสมุนไพรมาฝาก ไม่มีเหตุการณ์ตื่นเต้นอะไร แต่ตอนหน้าเตรียมใจไว้เลย มีเหตุเกิดเมี่ยวเมี่ยวและเป็นเหตุร้ายเสียด้วย! แต่จะเป็นเรื่องอะไรต้องรอลุ้นเอาเอง ไรท์สปอยแค่นี้^_^


รีวิวจากผู้อ่าน 1 รีวิว
  • MintsriPHMU
    เมื่อ 5 ปี 8 เดือนที่แล้ว
    ขอบคุณค่าาา
    • อ่านถึง : 29 ศพเป็นศพตาย ?

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว