สืบสู้ผี ภาค 1-3-14 ก่อนเหตุระทึก

โดย  Jintanakorn (จินตนากร)

สืบสู้ผี ภาค 1-3

14 ก่อนเหตุระทึก

“ไม่ว่าอย่างไรก็จะไปให้ได้?”ถามย้ำเป็นครั้งที่สามทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่า คนตรงหน้าหากลั่นวาจาออกไปแล้วไม่มีทางเปลี่ยนใจหรือกลับคำกลืนน้ำลายตัวเอง กระนั้นลึกๆในใจยังแอบหวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นถึงความรักความปรารถนาดีของพระองค์ที่มีให้และยอมอยู่ที่ตำหนักหลงเสวี่ยต่อไปตามที่ได้รับปากไว้

หากไม่เกิดเรื่องร้ายแรงกับนางจนเกือบถึงแก่ชีวิต พระองค์คงคัดค้านคำขอหัวชนฝานั้นไปแล้ว ไม่ต้องลำบากใจเช่นนี้!

“ครั้งนี้ถ้ามิได้ยาหมื่นพิษพ่ายช่วยไว้ทันท่วงที นางคงดับดิ้นสิ้นใจไปแล้ว!”ยังจะมาขอให้อยู่ต่ออีก!ฝันไปเถิด! ไป๋เสวี่ยหลงจ้องบุรุษผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินกลับด้วยสายตาวาวโรจน์และขุ่นเคือง

“เจิ้นรู้! แต่เจ้าก็ควรให้โอกาสเราแก้ไขและได้ชดเชยในสิ่งที่เกิดขึ้น มิใช่ตัดรอนน้ำใจกันเช่นนี้ และจะว่าไปแล้วเจ้าเองมึใช่รึที่เป็นต้นเหตุแท้จริงของเรื่องในครั้งนี้!"พอได้ฟังก็ให้เดือดดาลนัก ลุกขึ้นชี้หน้าโต้กลับด้วยถ้อยคำรุนแรงไม่แพ้กัน ทั้งยังเปลี่ยนคำแทนตัวอย่างสนิทสนมโดยไม่รู้ตัว

‘ดูเจ้าตัวดีของเจ้าสิเหม่ยเอ๋อร์ หัวแข็งและดื้อด้านเหมือนเจ้าไม่มีผิด!’ ฉีเฉินเทียนหลงฮ่องเต้ฟ้องภรรยาผู้ล่วงลับไป๋เสวี่ยเหมยในใจ

ไป๋เสวี่ยหลงเถียงไม่ออก ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยความเจ็บปวดออกมาแวบหนึ่ง แต่เท่านั้นก็เพียงพอต่อความช่างสังเกตของผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน

“อา เอาเถิดๆเจ้าอยากทำอะไรก็ทำ เราไม่ห้ามแล้ว”

“ขอบพระทัย”ประมุขหนุ่มประสานมือค้อมศีรษะขอบคุณอย่างขอไปที มุมปากกดยิ้มลึกก่อนจะหายไปและกลับมาเรียบนิ่งเย็นชาดังเดิมเมื่อเงยหน้าขึ้น

“แล้วเรื่องภาษาอิงเหวินพักไว้ก่อนดีรึไม่?”เอ่ยถามด้วยความห่วงใย แม้ในตอนแรกจะมีอคติกับสะใภ้ใหญ่นางนี้ คิดว่านางใช้เสน่ห์มนต์ดำกับบุตรชายผู้ไม่ประสีประสาเรื่องรักๆใคร่ๆของพระองค์ ถึงขนาดมีคำสั่งให้องครักษ์เฝ้าดูความเคลื่อนไหวและคอยรายงานทุกวัน หากนางจิตใจต่ำช้าประพฤติตัวไม่งามเพียงนิด พระองค์จะกำจัดนางเสียให้พ้นทาง!

ทว่าสิ่งได้ยินนอกจากจะสร้างความประหลาดใจ อึ้งทึ่งแก่พระองค์แล้ว ยังทำให้พระองค์นึกชื่นชมในความสามารถอันโดดเด่นเหนือใคร โดยเฉพาะจิตใจที่เข้มแข็งและกล้าหาญ แม้อยู่ต่อหน้าพระองค์นางก็หาได้หวาดเกรงไม่

เหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับนางนับว่าร้ายแรงและน่ากลัวนักสำหรับสตรีทุกผู้ หากเป็นสตรีนางอื่นคงยกเรื่องความปลอดภัยและการตั้งครรภ์มาเป็นข้ออ้างขอหยุดพักเรื่องการสอนภาษาอิงเหวินของนางเป็นแน่

“จะยังคงมีต่อไป แต่มีข้อแม้สถานที่ใช้ต้องอยู่ใกล้บ้านสกุลเหอ หาไม่เลิกพูดถึงเรื่องนี้ได้เลย”

“แล้วนางจะไม่เป็นไรรึ? เห็นว่าอาการแพ้หนักหนาเอาการ”คำตอบที่ได้ยินทำพระองค์แปลกใจไม่น้อย ด้วยคาดว่านางน่าจะขอพักเรื่องนี้ไว้ก่อนสักสองถึงสามเดือนเป็นอย่างต่ำ ให้อาการแพ้ทุเลาและร่างกายแข็งแรงกว่านี้แล้วค่อยว่ากัน

ไป๋เสวี่ยหลงยังไม่ทันตอบคำถาม เว่ยกงกงที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ซอยเท้าถี่ก้มหน้าต่ำเข้ามายืนข้างประมุขหนุ่มเสียแล้ว

“มีเรื่องอะไร?”

“ทูลฝ่าบาท ตำหนักหลงเสวี่ยให้คนนำความมาแจ้งต่อประมุขไป๋ว่าไทเฮามีรับสั่งให้ไป๋ฮูหยินเข้าเฝ้าที่ตำหนักใสสงบพ่ะย่ะค่ะ”

“เรื่องอะไร?”คนถามหาใช่ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินไม่ แต่เป็นบุรุษที่ยืนข้างตน น้ำเสียงกดต่ำที่มาพร้อมแรงกดดันมหาศาลที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา ทำเอาขันทีเฒ่าถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นเหงื่อแตกพลั่กและหายใจติดขัด

“ระเรื่องนั้น...ยังไม่ทราบแน่ชัด..”

“อา..รึจะเป็นเรื่องอาการป่วยของไทเฮา? หมู่นี้เห็นเปรยกับเจิ้นว่าปวดพระเศียร เสวยยาหลายเทียบแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น”ฉีเฉินเทียนหลงฮ่องเต้ที่พลอยโดนลูกหลงไปด้วยรีบคลี่คลายสถานการณ์

“แม้นางจะเป็นหมอแต่นางกำลังตั้งครรภ์!”สมควรแล้วรึที่ให้หญิงตั้งครรภ์อ่อนเดินทางไปไหนมาไหนไกลๆ

“หากเป็นห่วงนักก็ไปกับเจิ้น ไปดูให้เห็นกับตาตัวเองดีรึไม่?”เห็นอีกฝ่ายไม่คัดค้านจึงหันไปรับสั่งกับขันทีประจำพระองค์ให้เตรียมเกี้ยว ไม่ถึงเค่อขบวนเกี้ยวประจำพระองค์ก็มุ่งหน้าสู่ตำหนักใสสงบ ส่วนประมุขหนุ่มพอได้รับอนุญาตก็ใช้วิชาตัวเบาล่วงหน้าไปก่อนโดยมีองครักษ์ประจำพระองค์สองนายตามไปติดๆ เพื่อกันข้อครหาและมิให้ตกเป็นเป้าโจมตีจากผู้ไม่ประสงค์ดีที่เสียผลประโยชน์

ทางด้านเหอซือเมี่ยวหลังจากนั่งเมื่อยอยู่ในเกี้ยวนานกว่าครึ่งชั่วยาม ขบวนเกี้ยวหรูสมฐานะก็มาถึงตำหนักใสสงบอันเป็นจุดหมายของการเดินทางในครั้งนี้

“อา...ในที่สุดท่านก็มาถึงเสียที ไทเฮารอท่านอยู่นานแล้ว เชิญตามข้ามาทางนี้เถิด”

‘What!!? มาถึงยังไม่ทันหายใจหายคอก็เร่งเร้าให้เข้าโรงเชือด! ไม่เห็นใจคนกำลังท้องกำลังไส้บ้างเลย เอาแต่ใจชะมัด!’ แอบบ่นในใจโดยที่ใบหน้าแย้มยิ้มเป็นมิตรแลดูจริงใจกลบเกลื่อนความขุ่นเคืองไว้อย่างมิดชิดแล้วกล่าว

“ขออภัยในความล่าช้า กงกงเชิญนำทาง”

“เชิญๆไป๋ฮูหยิน”ความสุขุม นิ่งสงบไร้อาการตื่นกลัวของเหอซือเมี่ยวทำเอาจูซิ่นไฉ ขันทีคนสนิทของไทเฮาวัยห้าสิบรู้สึกตะลึงและประหลาดใจไม่น้อย

จูซิ่นไฉเป็นขันทีคนสนิทของไทเฮามานาน เล่ห์เหลี่ยมกลโกง จริตมารยา เสแสร้งแกล้งทำของเหล่าสตรีทุกระดับชั้นล้วนพบเจอมาแล้วมากมาย และสิ่งหนึ่งที่หาได้ยากพบเจอได้น้อยในสตรีไม่ว่าอยู่ในฐานะใด คือ ความสุขุมนุ่มลึก สงบเสงี่ยม ไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจแม้ตกอยู่ในสถานการณ์กดดันและสุ้มเสี่ยงอันตราย ซึ่งเมื่อครู่เขาแสร้งใช้น้ำเสียงและคำพูดตำหนินางค่อนข้างแรงทีเดียว หากเป็นสตรีอื่นคงหน้าซีดตัวสั่น หนักหน่อยอาจทรุดลงไปกองกับพื้นร่ำไห้อย่างคนเสียขวัญไปแล้ว! แต่สตรีนางนี้กลับเพียงกล่าวขออภัยเขาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม

นางไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่า ไทเฮาถึงได้ทรงสนพระทัยในตัวนางนัก ถึงขั้นมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าที่ตำหนักใสสงบเป็นการส่วนพระองค์ จูซิ่นไฉพยักหน้ากับความคิดตน มองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชม กิริยาถือตัวที่ตั้งไว้คลายลงและเป็นกันเองมากขึ้นโดยที่ตัวเองก็ไม่ตระหนัก

“ทราบมาว่าไป๋ฮูหยินตั้งครรภ์แล้ว?”ชวนสนทนาระหว่างทางยื่นมือประคองนางไปด้วย ซึ่งการกระทำอันแสดงถึงความสนิทชิดเชื้อของขันทีผู้มีอำนาจเป็นที่ยำเกรงแก่สตรีวังหลัง แม้แต่ฮองเฮายังให้ความเกรงใจ สร้างความตื่นตะลึงแก่ขันทีนางกำนัลติดตามทั้งหลายยิ่งนัก รวมถึงเหอซือเมี่ยวที่เงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

“เจ้าค่ะ เดือนกว่าแล้ว”ส่งยิ้มจริงใจให้แล้วตอบ

“ยินดีด้วย ยินดีด้วย”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ”หยุดแล้วย่อกายลงรับคำอวยพรรอยยิ้มประดับใบหน้าตลอดเวลา “แล้วไทเฮา...”

“อา...มิต้องกังวลไป ไทเฮาทรงทราบว่าไป๋ฮูหยินมีความรู้แลเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ไม่แพ้บิดา จึงให้ขันทีไปเชิญมาดูอาการพระนางหาใช่เรื่องร้ายแรงอันใดไม่”

“เกรงว่าจะทำให้จูกงกงผิดหวังแล้ว ข้าเพียงรู้วิชาแพทย์เล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ”

การสนทนาสิ้งสุดลงเพียงเท่านั้นเมื่อจูซิ่นไฉพาเหอซือเมี่ยวมาถึงอุทยานด้านหลังตำหนักใสสงบ

“ไป๋ฮูหยินโปรดรอสักครู่”

เหอซือเมี่ยวค้อมศีรษะรับ นัยน์ตาคู่งามเหลือบขึ้นมองจึงเห็นร่างค่อนข้างเจ้าเนื้อเดินเร็วๆเข้าไปในศาลาแปดเหลี่ยมสีขาวอยู่ห่างออกไปราวยี่สิบก้าว ซึ่งมีสตรีสูงศักดิ์แต่งกายหรูหราประทับอยู่ ยืนรอไม่นานขันทีเฒ่าก็เดินกลับมาและประคองนางเข้าไปยังศาลา

“เหอซือเมี่ยวถวายพระพรไทเฮา”เมื่อเข้ามาในศาลาก็รีบคุกเข่าถวายความเคารพตามแบบชาววังเก็บซ่อนความตื่นประหม่าไว้ นี่เป็นการเข้าเฝ้าอย่างไม่เป็นทางการนางจึงเลือกสงวนคำต่อท้ายที่ขุนนางข้าราชบริพารทั้งหลายต้องพูดไว้

‘คำต่อท้ายสุดฮิตที่ว่า ขอทรงพระเจริญพันปี พันๆปี หวังว่าความคิดข้าจะถูกต้อง เมื่อครู่ก็ลืมถามจูกงกง เอาน่า ไทเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางดุจมหาสมุทร คงไม่ถือสาหาความด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้หรอก’ ปลอบตัวเองทั้งที่ยังอยู่ในท่าหมอบกราบ

‘สุขุม เยือกเย็น ดุจสายน้ำที่ไร้คลื่นลม’ คือคำจำกัดความที่มู่หนิงเซียนหรือมู่ไทเฮามีต่อสตรีหมอบกราบอยู่เบื้องพระพักตร์

“ลุกขึ้น เอาเบาะนั่งให้นาง”อนุญาตหลังจากพิจารณาจนพอพระทัยแล้ว ภายใต้ใบหน้างดงามและยังอ่อนเยาว์นักในสายพระเนตร แต่กลับดูสุขุมเยือกเย็น สง่างามไร้ความตื่นลน ผิดสตรีทั่วไปที่มักแสดงอาการประหม่า ตื่นกลัว เงอะงะ น่ารำคาญยามเข้าเฝ้าพระนางเป็นครั้งแรก หมายรวมถึงสนมนางในและบุตรีขุนนางทั้งหลาย พอเห็นนางแตกต่างพระนางจึงค่อนข้างพอพระทัยและไม่รู้สึกหงุดหงิดส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย

“ขอบพระทัยเพคะ”

“เดินทางลำบากรึไม่?”เพราะทราบว่านางกำลังตั้งครรภ์อ่อนจึงอดห่วงไม่ได้ แต่อาการปวดพระเศียรรุนแรงขึ้นทุกที สร้างความทรมานแก่พระนางยิ่งนัก ครั้นรู้ว่านางเป็นหมอและมียาดีอยูในมือจึงมีรับสั่งให้นางเข้าเฝ้าหวังให้นางช่วยดูอาการให้

“ทูลไทเฮา หากไม่นับเรื่องความโคลงเคลงของเกี้ยว นับว่าการเดินทางราบรื่นสะดวกสบายยิ่งเพคะ”เงยหน้าขึ้นสบพระเนตรหงส์แวบหนึ่งแล้วก้มหน้าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ถ้อยคำของนางทำเอาจูซิ่นไฉ รวมถึงขันทีน้อยและนางกำนัลติดตามที่ยืนอยู่ด้านนอกศาลาตะลึงหน้าซีดรีบคุกเข่าขออภัยโทษแทนเหอซือเมี่ยว

ความเงียบบังเกิดขึ้นในบัดดลจนได้ยินเสียงแมลงร้อง จูซิ่นไฉลอบปาดเหงื่อเย็นบนใบหน้า เหลือบตาขึ้นเห็นเพียงเพียงพระพักตร์เรียบนิ่งไร้อารมณ์ พระเนตรจับจ้องสตรีฝีปากกล้าแทบไม่กะพริบ ในใจก็ร่ำร้องว่า แย่แล้ว ไทเฮาทรงกริ้วแล้ว!

“เอ่อ..ไทเฮา...”จูซิ่นไฉตั้งใจจะช่วยทูลขอพระเมตตา ทว่ายังไม่ทันได้กล่าวต่อมีอันต้องตะลึงอ้าปากค้าง ตาเบิกกว้าง เมื่อไทเฮาทรงสรวลออกมาเสียงดังอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็นเป็นบุญตา

‘ไทเฮาทรงพระสรวล อา..’

นอกจากจูซิ่นไฉ เหล่าขันทีนางกำนัลติดตามแล้วยังมี ฉีเฉินเทียนหลงฮ่องเต้ ไป๋เสวี่ยหลง ตลอดจนเว่ยกงกงและขันทีนางกำนัลประจำพระองค์ ที่มาถึงได้สักพักแล้วล้วนตกอยู่ในความตะลึงเช่นกัน

มีเพียงเหอซือเมี่ยวที่โล่งอกเมื่อเห็นไทเฮาทรงพระสรวล ก้มหน้าอมยิ้มพอใจกับผลงานที่เสี่ยงต่อการถูกลงทัณฑ์หากพระนางทรงกริ้ว

“ไม่เคยมีใครกล้าพูดจาตำหนิอ้ายเจียเช่นนี้มาก่อน เจ้าช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า มิกลัวอ้ายเจียลงทัณฑ์โทษฐานลบหลู่เบื้องสูงรึ?”ตรัสถามภายหลังสรวลจนพอพระทัยแล้ว

“กลัวสิเพคะ กลัวมากด้วย”

“ฮึ! กลัว? กลัวแต่ยังกล้าตำหนิอ้ายเจีย ว่าอ้ายเจียทำให้เจ้าลำบาก?”

“ทูลไทเฮา หม่อมฉันทราบจากจูกงกงว่า ทรงปวดพระเศียรบ่อยๆ จึงสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากความเครียด ดังนั้นหม่อมฉันจึงกล่าวออกไปเช่นนั้น หวังเพียงให้พระองค์ได้ผ่อนคลายเพคะ”

“ต้องการให้อ้ายเจียผ่อนคลาย? ด้วยการตำหนิอ้ายเจีย? ช่างเป็นสตรีขวัญกล้าจริงๆ!”

“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”

“เอาเถิดๆ อ้ายเจียรู้แล้วว่าเจ้าทำไปเพราะหวังดี ที่สำคัญพอได้หัวเราะแล้วอ้ายเจียรู้สึกดีขึ้น อาการปวดศีรษะคล้ายบรรเทาเบาบางลงหนึ่งส่วน ขอบใจเจ้ามาก”

“ขอเพียงทรงเกษมสำราญ พลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง จะให้หม่อมฉันทำสิ่งใด หม่อมฉันยินดีและจะทำสุดความสามารถเพคะ”

ถ้อยคำจริงใจไร้การเสแสร้งประจบสอพลอของนาง ทำมู่ไทเฮาพอพระทัยไม่น้อย พาให้บรรยากาศกดดันก่อนหน้าคลายลง ผู้คนหายใจหายคอคล่องขึ้น

“ถวายพระพรเสด็จแม่”

เสียงของผู้มาใหม่ที่ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใครทำเอาเหอซือเมี่ยวที่นั่งหันหลังให้สะดุ้ง รีบก้มหน้าต่ำกว่าเดิมปิดบังใบหน้าซีดเผือดไว้

‘สวรรค์! มาไม่ให้สุ้มให้เสียงตกใจหมด!’

“ฝ่าบาท ว่างรึถึงได้มาเยี่ยมแม่ได้?”

“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ ช่วงนี้ฏีการ้องเรียนเยอะเหลือเกิน เสด็จแม่เป็นอย่างไร? อาการปวดพระเศียรทุเลาลงบ้างรึไม่?”

“มันก็ปวดเป็นพักๆไม่ได้หนักหนาอะไร ฝ่าบาทมิต้องกังวลไป แล้วนั่นประมุขไป๋มิใช่รึ?”

“พ่ะย่ะค่ะ ลูกมีเรื่องหารือกับประมุขไป๋เล็กน้อย ครั้นทราบว่าไป๋ฮูหยินมาที่นี่ ลูกจึงอนุญาตให้ตามมาด้วย หวังว่าเสด็จแม่จะไม่ขุ่นเคืองพระทัย”เห็นไทเฮาไม่ทรงตรังว่ากระไร ฉีเฉินเทียนหลงฮ่องเต้จึงส่งสัญญาณให้ประมุขหนุ่มเข้ามาในศาลา

“ถวายพระพรไทเฮา”

“ลุกขึ้น เอาเบาะนั่งให้ประมุขไป๋”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”กล่าวจบก็เลือกนั่งใกล้ภรรยาหน้าตาเฉย ไม่สนสายตาผู้สูงศักดิ์ทั้งสองพระองค์ที่มองมา

“เสด็จแม่รับสั่งให้ไป๋ฮูหยินเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดรึพ่ะย่ะค่ะ?”

“อ้อ แม่ทราบมาว่านอกจากนางจะเป็นทายาทหมอเทวดาเหอแล้วยังเก่งกล้าสามารถไม่แพ้บิดา จึงเชิญนางมาในวันนี้หวังให้นางช่วยตรวจดูอาการให้หน่อยเท่านั้น”

‘แต่นางกำลังตั้งครรภ์อ่อน ไม่เหมาะเดินทางไปไหนไกลๆ ท่านไม่รู้รึ!?’ ไป๋เสวี่ยหลงค้านในใจ นัยน์ตาคมกล้าฉายแววขุ่นเคือง

“ขออภัยประมุขไป๋ที่อ้ายเจียเอาแต่ใจ ให้ไป๋ฮูหยินที่กำลังตั้งครรภ์ต้องลำบาก”ไทเฮาตรัสกับประมุขหนุ่มที่หาญกล้าชักสีหน้าไม่พอใจใส่พระนางอย่างไม่เกรงกลัวในอำนาจ ด้วยเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดี ซึ่งพระนางยอมรับว่าผิดที่ด่วนตัดสินใจไปหน่อย แต่ในเวลานั้นอาการปวดศีรษะมันรุนแรงนักจึงเผลอออกคำสั่งไปโดยไม่ทันยั้งคิดความจริงในข้อนี้ ที่สำคัญวาจาที่เปล่งออกไปแล้ว จะให้คืนคำคงมิเหมาะ

“ในเมื่อมาแล้วก็ให้นางตรวจดูเสียหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เห็นบรรยากาศน่าอึดอัดฉีเฉินเทียนหลงฮ่องเต้จึงตรัสขึ้น

สิ้นรับสั่งของโอรสสวรรค์ เหอซือเมี่ยวสวมบทคุณหมอตรวจอาการคนไข้ทันที เริ่มจากจับชีพจร ใช้สายตาดูอาการภายนอกและซักถามควบคู่นานราวหนึ่งเค่อจึงถอยฉากกลับมานั่งที่เดิมข้างสามี

“เป็นอย่างไร? พอจะรู้สาเหตุรึไม่?”ฉีเฉินเทียนหลงฮ่องเต้ซักถามแทนไทเฮา

“ทูลฝ่าบาท เท่าที่หม่อมฉันได้ลองตรวจดูพระอาการ ไทเฮาทรงเคร่งเครียดเกินไป จนส่งผลร้ายต่อพระวรกายเพคะ”

ในปัจจุบันเรียกโรคนี้ว่า ไมเกรน ซึ่งนางรู้จักดีเพราะมีเพื่อนที่ป่วยและทรมานจากโรคนี้อยู่ ทุกครั้งที่อาการกำเริบจะปวดหัวข้างเดียวอย่างรุนแรงและมีอาเจียนร่วมด้วยกินเวลากว่าสี่ชั่วโมง ไม่สามารถทำงานได้จนต้องออกจากงานประจำที่ทำอยู่ หมอไหนที่ว่าดีว่าเก่งล้วนไปมาหมดแต่คำตอบที่ได้กลับมาคือ โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงกินยาบรรเทาอาการปวดและหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดไมเกรนเท่านั้น

ซึ่งสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดไมเกรนก็เช่น ฮอร์โมน อารมณ์ สิ่งแวดล้อม การรับประทานอาหาร และการใช้ยา เป็นต้น สิ่งกระตุ้นเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและส่งผลในแต่ละบุคคลแตกต่างกัน ผู้ที่เป็นโรคนี้จึงต้องหมั่นสังเกตตัวเองเพื่อเป็นข้อมูลไปขอคำปรึกษาแพทย์ต่อไป

“คำวินิจฉัยของเจ้าเหมือนกับหมอหลวงมิมีผิด แต่อ้ายเจียดื่มโอสถมาหลายเทียบแล้วบรรเทาอาการได้เพียงชั่วพักชั่วครู่เท่านั้น ไม่หายขาดเสียที”

ตรัสพลางถอนใจแรง พระพักตร์ที่ยังคงงดงามทั้งที่ล่วงเข้าหกสิบห้าแล้ว บัดนี้หมองคล้ำและดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด

"เจ้ามีวิธีรักษาอ้ายเจียรึไม่?"

“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไร้สามารถเกรงว่าจะไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้เพคะ”ขนาดในยุค 2000 เทคโนโลยีทางการแพทย์ล้ำหน้าไปไกลโข ยังทำได้เพียงรักษาตามอาการที่เป็นเท่านั้น แถมยาที่แพทย์สั่งให้บางตัวอาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายอีกด้วย แล้วจะให้นางรับปากส่งเดชได้อย่างไร มิเท่ากับหาเรื่องใส่ตัวหรอกรึ!

“รักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่มีวิธีช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทรมานได้ เจ้าต้องการจะบอกเช่นนี้ใช่รึไม่?”ฉีเฉินเทียนหลงฮ่องเต้รับสั่งถาม หากมันจะทำให้เสด็จแม่ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานมากเช่นที่ผ่านมาย่อมเป็นเรื่องดี

“เพคะ นอกจากยาแล้ว ผู้ป่วยยังต้องให้ความร่วมมือและปฎิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดจึงจะได้ผล"

“อย่างไร?”มู่ไทเฮาถามขึ้นบ้าง พระขนงขมวดมุ่นเป็นปม ด้วยหมอหลวงไม่เคยกล่าวหรือแนะนำพระนางเช่นนี้มาก่อน มีแต่ถวายโอสถอย่างเดียว

“โรคนี้ผู้ป่วยแต่ละรายมักมีอาการคล้ายกันคือ ปวดศีรษะข้างเดียว ในบางรายที่รุนแรงอาจมีอาเจียนร่วมด้วย..”

“ใช่ อ้ายเจียก็เป็นเช่นที่เจ้าว่าซ้ำยังนานร่วมสองชั่วยาม”

“แม้จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเดียวกันแต่สาเหตุของโรคอาจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและสิ่งกระตุ้นรอบกายเพคะ”

“สิ่งกระตุ้นรอบกาย?”ฉีเฉินเทียนหลงฮ่องเต้ทวนคำพระพักตร์เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ เช่นเดียวกับมู่ไทเฮาและไป๋เสวี่ยหลงที่รับฟังอย่างตั้งใจ

“เพคะสิ่งกระตุ้นรอบกาย..”

เห็นทั้งสองพระองค์และสามีนางตั้งใจฟัง เหอซือเมี่ยวจึงอธิบายสิ่งที่นางรู้ให้ฟังโดยละเอียดเริ่มตั้งแต่สาเหตุ สิ่งเร้าสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรค อาการความรุนแรงและจบลงด้วยวิธีการรักษา

สำหรับมู่ไทเฮา เหอซือเมี่ยวจัดให้อยู่ในความรุนแรงระดับสูงสุด สาเหตุหลักเกิดจากความเครียดที่สั่งสมมานานและมีอาการนอนไม่หลับ นานวันเข้าอาการปวดศีรษะก็ทวีความรุนแรงขึ้น นานขึ้น บวกกับประสาทสัมผัสที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นทำให้เกิดอาการโดยง่ายนั่นคือ บุปผาที่มีกลิ่นหอมฉุนชวนคลื่นไส้

ซึ่งเมื่อลองสังเกตดูดีๆจึงพบว่าตำหนักแห่งนี้เต็มไปด้วยว่านโซ่จู๋(ดอกดาวเรือง)สีเหลืองอร่ามเบ่งบานอวดความงามแข่งกัน นี่อย่างไรตัวกระตุ้นชั้นดีทำให้ไมเกรนกำเริบ!

“เจ้ามองหาสิ่งใดรึ?”

“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าสิ่งกระตุ้นที่ทำให้ไทเฮาอาการกำเริบบ่อยครั้งอาจจะเป็นเพราะกลิ่นว่านโซ๋จู๋เพคะ”เหอซือเมี่ยวรีบดึงสายตากลับมาแล้วก้มศีรษะต่ำตอบโอรสสวรรค์

“หือ? ว่านโซ่จู๋? อา..จะว่าไปทุกครั้งที่ได้กลิ่น อ้ายเจียคล้ายจะรู้สึกปวดศีรษะ แต่เหตุใดยามนี้จึงไม่มีอาการเลยเล่า?”

“นั่นอาจเป็นเพราะยามนี้สายลมพัดไปทางอื่นเพคะ”

“อ้อ..แล้วถ้าทำลายสวนนี้ทิ้งเสีย?”

เหอซือเมี่ยวเหลือบมองโอรสสวรรค์ที่ตั้งถามและมู่ไทเฮาแวบหนึ่งแล้วค้อมศีรษะต่ำอย่างนอบน้อม “ทูลฝ่าบาทหากหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นดังกล่าวได้ โอกาสที่พระอาการจะกำเริบย่อมลดลงอย่างแน่นอนเพคะ”

“เจ้าไปเอาความมั่นใจนั่นมาจากไหน?”มู่ไทเฮาแม้จะชื่นชมในความกล้าหาญและรอบรู้ของนางแต่ก็อดถามไม่ได้ ความเจ็บป่วยที่ทรงเป็นอยู่แม้แต่หัวหน้าสำนักหมอหลวงยังจนปัญญา ทว่าสตรีวัยสิบกว่านางนี้กลับตอบอย่างมั่นใจจากการตรวจพระนางเพียงครั้งเดียว

“นั่นสิ หรือมีตำราดี? เช่นตำราภาษาอิงเหวินที่เจ้าเคยบอกเรา?”ฉีเฉินเทียนหลงเองก็สงสัยไม่ต่างจากพระมารดา

“เอ่อ..เพคะฝ่าบาท บิดาหม่อมฉันได้ตำรานี้มาจากชนเผ่าทางใต้เมื่อครั้งเดินทางไปรักษาสหายของท่านผู้หนึ่ง”พยายามทำเสียงให้นิ่งยามเพ็จทูลเบื้องสูงในใจลอบปาดเหงื่อด้วยความตื่นเต้น

ไป๋เสวี่ยหลงเห็นกิริยาแปลกๆของภรรยาก็เหมารวมไปว่า นางกำลังตื่นเต้นและประหม่าที่ได้เข้าเฝ้าสองผู้สูงศักดิ์แบบใกล้ชิดจึงคว้ามือเรียวมากุมไว้บีบเบาๆให้กำลังใจ ยังความประหลาดใจแก่เหอซือเมี่ยวไม่น้อย แต่พอเงยสบตาคมกล้าเต็มไปด้วยความอบอุ่น อ่อนโยนยิ่งของสามีก็เข้าใจความหมาย อาการตื่นเต้นจึงคลายลง

“อ้อ..เสด็จแม่จะทรงทำเยี่ยงไรกับว่านโซ่จู๋พวกนี้ สุดแล้วแต่เสด็จแม่จะตัดสินพระทัยเถิด”

พระเนตรหงส์จับจ้องสตรีเบื้องหน้านิ่งๆอยู่ครู่หนึ่ง ยังไม่ทันกล่าวสิ่งใด ลมพลันเปลี่ยนทิศพัดพากลิ่นของว่านโซ่จู๋เข้ามายังศาลาที่ประทับ ทันทีที่เผลอสูดดมเข้าไป อาการปวดจี๊ดแล่นขึ้นสมองซีกซ้ายจนต้องนิ่วหน้า มือขาวผ่องคลึงขมับข้างที่ปวด

“เสด็จแม่!”

“อา..แม่ไม่เป็นไร..”ยิ้มน้อยๆให้อีกฝ่ายคลายความกังวลใจแล้วผินกลับมายังหญิงสาวคนเดิมที่บัดนี้เงยหน้ามองมาใบหน้าฉายแววห่วงใยชัดเจน ทำเอาพระนางอุ่นวาบในอก ด้วยน้อยนักจะได้เห็นสายตาห่วงใยจริงใจใช่เสแสร้งในวังหลังแห่งนี้ สายตาที่มองนางจึงอ่อนโยนขึ้นจนโอรสสวรรค์ที่ประทับอยู่ข้างๆรับรู้ได้

“เสด็จแม่กลับเข้าตำหนักก่อนดีรึไม่? ยามนี้ลมแรงขึ้นเรื่อยๆแล้ว”

“ดีเหมือนกัน ดูเหมือนสิ่งที่เจ้าคาดเดาก่อนหน้าจะถูกต้อง”รับผ้าจากฝู่มามา นางกำนัลคนสนิทปิดนาสิกมิให้สูดดมกลิ่นว่านโซ่จู๋เข้าไป ขนงเรียวดุจกิ่งหลิ่วมุ่นเข้าเมื่ออาการปวดศีรษะข้างเดียวเริ่มแผลงฤทธิ์และยังประทับนิ่งไม่ขยับเขยื้อนตามคำพูด

“จูกงกง กำจัดว่านโซ่จู๋ให้สิ้นซากอย่าให้เหลือแม้เพียงต้นเดียว!”ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในศาลา เห็นพระมารดายังคงนิ่งเฉยก็ลอบถอนใจ เปลี่ยนไปชี้นิ้วออกคำสั่งกับขันทีคนสนิทของพระมารดา น้ำเสียงเผด็จการและทรงอำนาจเล่นเอาเหอซือเมี่ยวสะดุ้งโหยงตกใจ ผิดกับประมุขหนุ่มที่สีหน้าคงความเรียบเฉยเย็นชาไม่เปลี่ยนสักนิด

“กระหม่อมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”จูซิ่นไฉคุกเข่ารับบัญชาแล้วรีบจากไปดำเนินการทันที

“ไหนๆเจ้าก็วินิจฉัยอาการประชวรของอ้ายเจียได้อย่างถูกต้องและแม่นยำนัก จะช่วยอยู่รักษาอ้ายเจียต่ออีกสักวันสองวันได้รึไม่?”

เหอซือเมี่ยวรู้สึกเห็นใจมู่ไทเฮาไม่น้อย เพราะไมเกรนมันทำให้ผู้ที่เป็นเจ็บปวดทรมาน บางรายถึงกับคิดสั้นจบชีวิตตนเองเลยก็มีเพื่อให้พ้นจากความทุกข์ทรมานนี้ ทว่าเพลานี้นางกำลังตั้งครรภ์อ่อนแถมยังมีอาการแพ้ท้องอยู่

“เกรงว่าจะทำตามรับสั่งมิได้”ไป๋เสวี่ยหลงที่นั่งเงียบมานานกล่าว ใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาดุจน้ำแข็งพันปีจ้องมองสตรีสูงศักดิ์อย่างไม่เกรงกลัว

นางกำลังตั้งครรภ์!! ต้องให้ย้ำอีกกี่หนกัน!



ลงครบแล้วจ้า 2 ตอน เมื่อวานอ่านคอมเม้นท์แล้วมีความสุขมาก ไหนจะยอดสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆก็ยิ่งปลาบปลื้มใจจนหุบยิ้มไม่ลง ขอบคุณมากค่าแล้วพบกันพรุ่งนี้เช้า^_^


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว