ตอนที่ 5 ข้าไม่มีทางอภัยให้เจ้า
อ้านจิ่วยังคงคุกเข่าเงียบๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเมื่อเจ้านายไม่พูด เขาก็คุกเข่าก้มหน้าอยู่เช่นนั้น ไม่ขยับเขยื้อนราวก้อนหินก็มิปาน
แววตาจิ้งเยี่ยเย็นเยียบอย่างมาก ดูเหมือนอ้านจิ่วกลับไม่เคยสังเกตเลย สุดท้ายท่านอ๋องก็สูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ยเสียงขรึม “มานี่”
องครักษ์ลับคลานเข่าไปข้างหน้า วางปลายเข่าบนเศษกระเบื้องโดยไม่หลบเลี่ยงเหมือนครั้งก่อน กระทั่งไปถึงตรงหน้าจิ้งเยี่ยก็หยุดลงอย่างพอเหมาะ รักษาระยะห่างกับเจ้านายครึ่งก้าว
จิ้งเยี่ยยื่นมือที่พันผ้าไว้ไปทางอ้านจิ่ว เขารีบจับไว้ พอเห็นมือที่เปียกชื้นน้ำชา ด้านบนมีกลิ่นชาอ่อนๆ จึงคลี่ผ้าพันแผลออก บาดแผลบนฝ่ามือขาวซีดยังไม่หายสนิท ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะแช่น้ำชาก่อนหน้านี้ ทำให้เนื้อปริออกเล็กน้อย ทั้งยังบวมแดงอยู่บ้าง ดูเหมือนจะอักเสบกว่าเดิม
“นายท่าน บาดแผลท่านถูกน้ำ ผู้น้อยต้องใส่ยาให้ใหม่ แต่อาจรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง ท่านอดทนหน่อยนะขอรับ” อ้านจิ่วล้วงขวดยาใบขาวมาจากอกเสื้อ ซึ่งไม่เหมือนยารักษาแผลขวดก่อนหน้า ผงยาสีขาวถูกเทลงบนแผลอย่างเบามือ
จิ้งเยี่ยรู้สึกแสบร้อน อันที่จริงแค่เจ็บนิดร้อนหน่อยเท่านั้น ยังพอทนได้ ทว่าเขากลับร้องเสียงต่ำเกินจริง “เจ้าอยากให้ข้าเจ็บจนตายสินะ!”
“ท่านอ๋องโปรดลงโทษ” อ้านจิ่วเอ่ยรับผิด ทว่ากลับยึดมือจิ้งเยี่ยไว้มั่น ไม่ให้เขาขยับตัวส่งเดชเพราะความเจ็บ
จิ้งเยี่ยยื่นมืออีกข้างไปคว้าคอเสื้อองครักษ์ผู้นั้นแล้วดึงมาข้างหน้า พลางโน้มตัวลงไปกัดคออ้านจิ่ว คมฟันที่ฝังลงบนผิวเนื้อออกแรงกัด ในตอนแรกอีกฝ่ายเกร็งกล้ามเนื้อ ทว่าพริบตาต่อมาก็ผ่อนคลายลง ปล่อยให้เจ้านายกัดไปอย่างสบายๆ เพื่อระบายความโกรธ
รสชาติเค็มฝาดพุ่งเข้ามาในปาก จิ้งเยี่ยผลักอ้านจิ่วออกแล้วเลียเลือดที่มุมปาก ก่อนยิ้มออกมาอย่างพอใจ “ครั้งหน้าหากกล้าทำให้ข้าเจ็บอีก ข้าไม่มีทางอภัยให้เจ้าแน่”
“ขอรับ”
“เจ้าไม่พันแผลที่มือข้าแล้วหรือ” พอเห็นอ้านจิ่วค่อยๆ ปล่อยมือลง จิ้งเยี่ยก็แกว่งมือที่ใส่ยาแล้วแต่ยังไม่พันแผลของตนไปมา
“บาดแผลท่านโดนน้ำ ไม่พันแผลจะหายเร็วกว่า ท่านพยายามเลี่ยงการสัมผัสโดนแผลก็พอแล้วขอรับ”
“รู้แล้ว เจ้าไปเถอะ” จิ้งเยี่ยพูด ขณะอีกฝ่ายกระโดดออกไปทางหน้าต่าง เขาพลันจ้องหัวเข่าคนผู้นั้นเขม็ง แผลที่ได้มาตอนเจ้าตัวคุกเข่าบนเศษกระเบื้องคราก่อนไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดแม้แต่น้อย เมื่อครู่ดูเหมือนจะคุกเข่าลงไปอีก หรือว่าองครักษ์ลับเหล่านี้ทำมาจากเหล็กจริงๆ
จิ้งเยี่ยนอนลงบนเตียง ยกมือข้างที่บาดเจ็บขึ้นมาตรงหน้า ความคิดย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อนยามเมื่อเขาใกล้จะสลบ เงาดำพลันพุ่งตัวมาต่อสู้กับมือสังหารที่กำลังจู่โจมอย่างกล้าหาญ การเคลื่อนไหวเด็ดขาดว่องไว ปลิดชีพได้ในทุกย่างก้าว ออกกระบวนท่าอย่างเอาเป็นเอาตาย ทุกท่าที่จู่โจมไม่เหลือทางถอยให้ตนเองแม้แต่น้อย
หรือคนผู้นั้นจะไม่ใช่องครักษ์ลับ แต่เป็นนักรบกล้าตายกัน จิ้งเยี่ยลุกขึ้นนั่งพลางขมวดคิ้วแน่น ทว่าแม้อีกฝ่ายจะเป็นองครักษ์ลับหรือนักรบกล้าตาย การที่พวกเขาทำเช่นนี้ล้วนเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ตอนสลบไปหนึ่งปีครึ่งเงาร่างนั้นมักแวบเข้ามาในหัว ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรตนก็อยากตามหาคนผู้นั้นให้พบ
หลินถงไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้องก็ข่มอารมณ์ไม่อยู่ เสียงของแตกเมื่อครู่ทำให้มิอาจวางใจ ชั่วขณะสั้นๆ ที่ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เขาเดินวนไปมาอยู่นอกห้องด้วยความร้อนใจ เสียงฝีเท้าวุ่นวายนั้นก่อกวนจนจิ้งเยี่ยจนนึกรำคาญ
“เข้ามา!”
ครั้นได้ยินน้ำเสียงเจือแววขุ่นเคืองของเจ้านาย เขาพลันถลันเข้าไปในห้องโดยไม่รีรอ ก่อนคุกเข่าดังปึก “นายท่าน บ่าวไม่ได้ตั้งใจรบกวน แค่เป็นห่วงท่านจริงๆ ขอรับ” พอเขาเห็นภายในห้องเละเทะไปทั้งแถบดังคาด จึงแอบเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พลางมองหาทิศทางที่เจ้านายอยู่
“เจ้าคุกเข่าให้มันเบาๆ หน่อยได้หรือไม่ เป็นคนเหมือนกันแท้ๆ เหตุใดเสียงเจ้าถึงน่ารำคาญใจเพียงนั้น” จิ้งเยี่ยพลันนึกถึงอ้านจิ่วที่ไร้สุ้มเสียงยามคุกเข่า ให้ความรู้สึกถึงการพยายามอดกลั้นอย่างเงียบๆ
หลินถงไร้เดียงสายิ่งนัก เขาไม่รู้ว่าตนไปยั่วยุท่านอ๋องตอนไหน และทำเสียงดังตรงไหนกัน ทว่าไม่กล้าถามให้มากความ ได้แต่ยอมรับผิด “เป็นบ่าวผิดแล้ว บ่าวผิดไปแล้วขอรับ”
“พอแล้วๆ พูดไร้สาระให้น้อยลงหน่อย แล้วหาคนมาเก็บกวาดห้องให้สะอาด ข้าจะไปเดินเล่นที่สวน” จิ้งเยี่ยพูดจบก็ลุกขึ้นเดินอ้อมเศษกระเบื้องเต็มพื้น ก้าวออกจากห้องนอนไป
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว