“แต่ว่า…น้องสะใภ้สาม พวกเราไม่มีความสามารถ จะทำการค้าได้อย่างไรกัน?”
นางหยูได้ฟังแนวคิดของเหอจิ่วเหนียงก็รู้สึกมีแรงบันดาลใจขึ้นมา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองไม่มีทักษะใดติดตัวเลยก็รู้สึกหมดกำลังใจเล็กน้อย
“พี่สะใภ้ใหญ่ทำอาหารอร่อยปานนั้น เหตุใดถึงพูดว่าตัวเองไร้ความสามารถล่ะเจ้าคะ? ท่านเคยคิดอยากเปิดร้านแผงลอยขายขนมเล็ก ๆ ในตลาดไหม หรือจะไปเป็นแม่ครัวในหอสุราใหญ่ ๆ สักแห่งก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนะเจ้าคะ”
เหอจิ่วเหนียงเอ่ยคำชม นางหยูมีฝีมือในการทำอาหารดีเยี่ยมจริง ๆ ระหว่างการลี้ภัยพวกเขาไม่มีแม้แต่เครื่องปรุงรส แต่นางกลับสามารถรังสรรค์รสชาติต่าง ๆ ออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้น การควบคุมไฟของนางก็แม่นยำมาก
นางหยูเบิกตากว้าง “ข้าก็ทำได้แค่อาหารพื้นบ้าน จะเป็นแม่ครัวในหอสุราได้อย่างไรกัน อีกอย่างข้าเป็นผู้หญิง จะให้ทำงานเจอคนเยอะ ๆ อย่างแม่ค้าได้อย่างไรกัน?”
“พี่สะใภ้ใหญ่ อย่าพูดแบบนั้นสิเจ้าคะ!” เหอจิ่วเหนียงก็เบิกตากว้างตอบกลับ “เป็นผู้หญิงแล้วอย่างไร ชายหญิงก็เท่าเทียมกันหมด เราไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครเสียหน่อย การใช้ความสามารถของตัวเองหาเงินเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจจะตาย อย่าดูถูกตัวเองเด็ดขาด! ทำอาหารอย่างอื่นไม่เป็นเราก็เรียนรู้ได้ เริ่มจากการฝึกเป็นลูกมือในร้านอาหารก่อน เรื่องแบบนี้ต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป รอไปถึงอันโจวเมื่อไรข้าจะช่วยท่านเอง!”
“เอ่อ…”
นางหยูจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เหอจิ่วเหนียงจึงหันไปถามนางฉิน “พี่สะใภ้รองล่ะเจ้าคะ ท่านอยากทำอะไร?”
“ข้าน่ะหรือ? ปกติข้าก็จะไปเก็บฟืน หาผักป่า เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่อยู่ที่บ้าน…”
นางฉินยิ้มกระดากกระเดื่อง ฝีมือการทำอาหารของนางไม่อาจเทียบพี่สะใภ้ใหญ่ได้ และนางก็ไม่มีทักษะในการทำอาหารด้วย อีกอย่างนางเป็นคนไม่กล้าแสดงออก จึงทำการใหญ่อะไรไม่ได้เลย
“เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย!”
ดวงตาของเหอจิ่วเหนียงเปล่งประกาย “พี่สะใภ้รองถนัดสิ่งไหนก็ทำสิ่งนั้น! เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ได้ดีก็นับว่าเป็นความสามารถ! พวกหอสุราต้องการเป็ดไก่จำนวนมากในแต่ละวัน หากเราติดต่อและสร้างพันธมิตรได้ละก็ ไม่ยาก!”
“ทำเช่นนั้นได้ด้วยหรือ?” นางฉินตะลึงเล็กน้อย ฟังดูแล้วก็ไม่เลวเลยแฮะ!
“ทำได้สิเจ้าคะ คนที่มีความสามารถไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว!”
เหอจิ่วเหนียงคิดออกแล้วว่าหากไปถึงอันโจว นางจะจัดการให้คนในครอบครัวทำอะไร!
จากนั้นนางหันไปมองฝ่ายพี่ชายสามี “พี่ใหญ่ ท่าน…”
“เอาละ พอได้แล้ว!”
ทันใดนั้นนางซุนกลับตะคอกตัดบท “ถ้าทุกคนออกไปทำงานนอกบ้านกันหมด แล้วงานในบ้านใครจะเป็นคนทำ? อีกอย่าง เรื่องพวกนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นไปได้หรือไม่ เจ้าเลิกพูดจาเหลวไหลให้ทุกคนกังวลได้แล้ว น่ารำคาญ!”
หญิงชรามองหน้าสะใภ้อวดดีด้วยความไม่พอใจ ตอนนี้สถานการณ์ที่อันโจวเป็นเช่นไรยังไม่รู้ก็ขายฝันแล้ว มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ หากสถานการณ์ไม่ดี ทุกคนรอนานเกินไป หรือหากสิ่งที่คิดไว้ไม่เป็นดั่งหวัง ครอบครัวเจ้าใหญ่และครอบครัวเจ้ารองอาจจะเกิดความคับแค้นใจได้ ถึงตอนนั้นครอบครัวจะปรองดองกันได้อย่างไร
เหอจิ่วเหนียงเพียงยิ้มโดยไม่พูดอะไร
พอแล้วก็ได้ พูดเรื่องนี้ไปในตอนนี้พวกเขาก็มองไม่เห็นภาพ รอให้ถึงอันโจวก่อนค่อยคิดอีกทีก็แล้วกัน
อย่างไรเสีย อนาคตก็ยังอีกยาวไกล
โยวยาโถวที่อยู่ข้างกายดึงชายแขนเสื้อของเหอจิ่วเหนียง แล้วเอ่ยกระซิบ “ท่านอาสะใภ้สาม ข้าก็อยากเรียนหนังสือด้วย ข้าเรียนได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ได้สิ!” ดวงตาเหอจิ่วเหนียงพลันเปล่งประกาย ในยุคสมัยนี้มีเด็กผู้หญิงไม่มากนักที่เอ่ยปากขอเรียนหนังสือด้วยตัวเอง
สตรีหัวก้าวหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “แต่เด็กผู้หญิงไปเรียนที่สำนักศึกษาไม่ได้นะ อีกอย่างตอนนี้ครอบครัวเราก็ยังเชิญอาจารย์มาสอนพวกเจ้าไม่ได้ แต่เราจะให้พวกเหลยจื่อไปเรียนที่สำนึกศึกษาก่อน จากนั้นให้กลับมาสอนพวกเจ้าเป็นอย่างไร รอให้ครอบครัวเราเก็บเงิน พอมีกำลังทรัพย์อีกสักหน่อยก็ค่อยเชิญอาจารย์มาสอนพวกเจ้าที่บ้าน เด็กผู้หญิงในครอบครัวของเราก็เหมือนกับเด็กผู้ชาย ล้วนเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ ไม่ได้มองว่าผู้ชายสำคัญกว่าผู้หญิงเลย ใช่หรือไม่เจ้าคะท่านแม่?”
นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เหอจิ่วเหนียงค่อนข้างประทับใจ แม้บางครั้งแม่สามีจะปากคอเราะราย แต่นางก็ปฏิบัติต่อลูกหลานทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ได้มองว่าเพศชายสำคัญกว่าเพศหญิง
นางซุนกลอกตามองบน “เจ้าก็พูดไปหมดแล้วนี่!”
ให้ลูกหลานในครอบครัวรู้หนังสือย่อมเป็นเรื่องดีแน่นอน นางซุนไม่มีความเห็นต่างในเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้เพราะครอบครัวยากจนจึงไม่อาจคิดฝัน ตอนนี้พอมีเงินแล้ว หากลูกหลานมีโอกาสเล่าเรียนหาวิชาความรู้ก็นับเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุน
เหอจิ่วเหนียงยิ้มพลางกล่าวกับโยวยาโถว “ดูสิ ท่านย่าก็รับปากแล้ว”
ถิงยาโถวที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นบ้างด้วยเสียงเบา “แล้วข้าล่ะ ข้าเรียนด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?”
เหอจิ่วเหนียงพยักหน้า “ถ้าโยวโยวเรียนได้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เจ้าจะเรียนด้วยไม่ได้ วางใจเถอะ!”
เด็กน้อยถิงถิงเอ่ยต่อ “แต่ข้าอยากเรียนเย็บปักถักร้อยมากกว่า…”
นางหยูยิ้มพลางบอกกับบุตรสาว “ครอบครัวของเราไม่มีใครทำงานละเอียดประณีตเช่นนั้นเป็น แล้วใครจะสอนเจ้าได้กันล่ะ”
สะใภ้อย่างพวกนางก็เย็บปักได้บ้าง แต่เป็นการซ่อมเสื้อผ้าหรือรองเท้าเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น งานเย็บปักถักร้อยละเอียดประณีตแบบนั้นไหนเลยจะทำเป็น อีกอย่างงานเช่นนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่หญิงชาวบ้านคิดอยากเรียนก็เรียนได้
เหอจิ่วเหนียงกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ไปถึงอันโจวก่อนแล้วค่อยหาร้านเย็บปักเรียนก็ได้ มีงานอดิเรกที่ชอบนับเป็นเรื่องดี หากเรียนจนชำนาญแล้ว ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็เอาตัวรอดได้แน่นอน”
นางหยูไม่ได้พูดอะไรต่อ นางรู้สึกปลื้มใจมาก บุตรสาวมีความสามารถและขยันขวนขวายเช่นนี้ จะอยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายหน้าคนอื่นเขา
เพียงแต่ไปเรียนที่ร้านเย็บปักก็ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนน่ะสิ ด้วยความที่อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ เด็ก ๆ ออกไปเรียนก็ต้องเอาเงินกองกลางจ่าย
ไม่รู้ว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะยินยอมหรือไม่
ตระหนักถึงตรงนี้ สะใภ้ใหญ่ก็เหลือบมองผู้เป็นกระเป๋าเงินของบ้านเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่นางซุนไม่ดักคอเหอจิ่วเหนียง เพราะเห็นด้วยว่าสิ่งที่เหอจิ่วเหนียงกล่าวมามีเหตุผล หากลูกหลานไม่ว่าหญิงหรือชายมีทักษะความรู้ก็เปรียบเสมือนพวกเขามีสมบัติล้ำค่าติดตัว
หญิงชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าว “รอให้ไปถึงอันโจว ลงหลักปักฐานได้ก่อน แล้วค่อยเข้าเมืองไปดูก็แล้วกัน”
ถิงยาโถวได้ยินดังนั้นก็ยิ้มตาหยีทันที เด็กน้อยคิดมาตลอดว่าความฝันของนางอยู่ไกลเกินคว้า นึกไม่ถึงเลยว่าท่านย่าจะตอบตกลงง่ายดายเช่นนี้ อาสะใภ้สามช่างเก่งกาจจริง ๆ!
เด็กหญิงหันไปมองเหอจิ่วเหนียงด้วยแววตาแบบเดียวกับที่โยวยาโถวมอง ในใจเต็มตื้นด้วยความอบอุ่น
เมื่อบรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ก็ยิ่งดังขึ้น ทำให้ครอบครัวอื่นต่างหันมามองและคิดในใจว่า ครอบครัวลู่ช่างอารมณ์ดีเสียจริง กำลังลี้ภัยอยู่แท้ ๆ แต่ยังหัวเราะออกมาได้
.
ขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำ ระหว่างมองหาพื้นที่พักค้างอ้างแรมทั้งคณะก็เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกล เหอจิ่วเหนียงรู้สึกคุ้นตาจึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ
พบว่าเป็นกลุ่มผู้ที่เคยช่วยชีวิตพวกนางเมื่อหลายวันก่อน
เหตุใดถึงหยุดรถม้ากลางทางแบบนี้?
เหอจิ่วเหนียงคิดจะเดินไปถาม อย่างไรเสียรถม้าคันนี้ก็หรูหรา บ่งบอกว่าสถานะของผู้เป็นเจ้าของต้องไม่ธรรมดาแน่นอน มีโอกาสสร้างความสัมพันธ์แล้วก็ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือ
แต่ใครเลยจะคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นฝ่ายเดินมาหาเอง
คนที่เดินมาก็คือสาวใช้มัดมวยผมสองข้างคนเดิม ในมือถือกระบอกไม้ไผ่สำหรับเก็บน้ำไว้หนึ่งกระบอก
“แม่นาง ช่างบังเอิญยิ่งนักที่ได้พบกันอีกครั้ง” เหอจิ่วเหนียงทำทีเดินเข้าไปด้วยท่าทางสนิทสนม
หลิงเยว่ไม่ชอบการแสดงออกถึงความคุ้นเคยของอีกฝ่ายอย่างมาก…แต่ตอนนี้สุขภาพของฮูหยินไม่ค่อยดีนัก จำเป็นต้องสร้างไมตรีกับครอบครัวนี้ ดังนั้นนางต้องอดทน เก็บกดความไม่พอใจนี้ไว้
“ข้าอยากขอน้ำจากพวกเจ้าสักหน่อย…” หลิงเยว่เอ่ยปากขอ แต่แล้วก็ฉุกคิดได้ว่าในสถานการณ์ตอนนี้น้ำมีค่ายิ่งกว่าเงินทองเสียอีก นางจึงรีบกล่าวเสริม “...ขอแค่กระบอกเดียวเท่านั้น เจ้าคิดเงินเท่าไรก็บอกข้าได้เลย”
พวกนางใช้น้ำจนหมดแล้ว และส่งคนไปซื้อน้ำที่เมืองเฉียนโจวแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่กลับมา
ผู้เฒ่าลู่เห็นว่าอีกฝ่ายคือคนที่เคยช่วยชีวิตพวกตนไว้ หากครานั้นไม่ได้แม่นางน้อยผู้นี้ ครอบครัวของตนคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงบอกออกไป
“แม่นางเกรงใจกันเกินไปแล้ว แม่นางคือผู้มีพระคุญต่อครอบครัวข้า ครั้งนั้นพวกข้ายังไม่ทันแม้แต่จะได้ขอบคุณ ครั้งนี้จะให้เอาเงินแม่นางได้อย่างไรกัน”
.
.
.
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว