ในที่สุดมือปล้นทั้งสองก็ตามมาทัน เหนื่อยจนใจแทบขาด รีบโกยเอาอากาศเข้าปอดอย่างสุดกำลัง กระทั่งได้ยินคำค่อนขอดจากสตรีห้าวหาญจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ใช่ ๆ พวกข้าแค่อยากตามหลังพวกเจ้าเพื่อความอุ่นใจเฉย ๆ”
เอ่ยจบก็คลี่ยิ้มเอาใจเล็กน้อย หลังจากสังเกตมาทั้งคืนพวกเขาพบว่าครอบครัวนี้ไม่ธรรมดาเลย ทั้งที่มีเพียงคนชรา สตรี และเด็ก แต่กลับใช้ชีวิตอย่างสุขสงบท่ามกลางกลียุคเช่นนี้ได้ แถมตอนเช้ายังเห็นพวกเขากินเนื้อแห้งอีกด้วย
ครอบครัวนี้เป็นคนตระกูลใหญ่ตระกูลใดกัน!
ดังนั้นจอมโจรทั้งสองจึงปรึกษากันว่าควรจะติดตามครอบครัวนี้ หากประสบพบเจอคนคิดร้ายจะได้มีคนให้ความช่วยเหลือ
นางซุนได้ยินดังนั้นก็รีบคว้าห่อผ้าตรงหน้ามากอดไว้แน่น สายตาจับจ้องคนแปลกหน้าอย่างคาดโทษ “อย่าคิดจะหาผลประโยชน์จากครอบครัวข้าเชียว!”
ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนในครอบครัวยังคงอยู่รอดปลอดภัยก็นับว่าดีมากแล้ว จะเอาคนอื่นเข้ามาให้เป็นภาระทำไมกัน
“ไม่ ๆ ๆ พวกข้าไม่มีเจตนาอื่น เราเพียงแค่อยากตามอยู่ข้างหลังพวกเจ้าไปก็เท่านั้น”
ขอเพียงมั่นใจได้ว่าจะปลอดภัย พวกเขาสองคนย่อมหาวิธีไม่ให้ตัวเองหิวตายได้อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
สดับวาจานางซุนก็หันไปมองเหอจิ่วเหนียง หญิงสาวเพียงพยักหน้าตอบรับ และหันไปบังคับรถม้าเดินทางต่อ
เมื่อออกหากจากชายสองคนนั้นมาไกลแล้ว เหอจิ่วเหนียงจึงกระซิบกับนางซุนและคนอื่น ๆ “ให้พวกเขาตามหลังก็ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ คิดซะว่าเราได้ผู้ชายแข็งแรงสองคนมาช่วยคุ้มกัน หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นข้าคิดว่าพวกเขาจะช่วยเราได้”
นางซุนคิดไปคิดมา ที่สะใภ้สามพูดก็มีเหตุผล
นางหยูและนางฉินพยักหน้าเห็นด้วย “น้องสะใภ้สาม เจ้าช่างหลักแหลมยิ่งนัก!”
เหอจิ่วเหนียงยิ้มรับคำชม “ก็สถานการณ์มันบังคับนี่เจ้าคะ”
สะใภ้ทั้งสองพูดไม่ออก เดิมทีพวกนางก็นึกสงสัยว่าสะใภ้สามเป็นเพียงสตรีคนหนึ่งจะบังคับรถม้าได้อย่างไร แต่ตอนนี้พวกนางได้คำตอบแล้ว…
เพราะสถานการณ์บังคับ
.
เมื่อถึงเส้นทางราบครอบครัวลู่ก็เพิ่มความเร็วของรถม้าขึ้นเล็กน้อย ทุกคนอยากไปถึงเฉียนโจวให้เร็วที่สุด ไม่อยากให้ครอบครัวของลู่กุ้ยหลานรอนาน
ม้าทั้งสี่ถูกดึงบังเหียนจึงพยศด้วยความตกใจ พลันนั้นความเร็วของพวกมันก็เพิ่มขึ้น โชคดีที่ทุกคนบนรถม้าเตรียมตัวเอาไว้ก่อน หาไม่คงได้ตกลงมาเป็นแน่
ด้านสองโจรพี่น้องผู้สู้ชีวิตที่ตามหลังต้อย ๆ มาตลอดทางจนลำคอแห้งผากจากการขาดน้ำ เห็นภาพเหตุการณ์กะทันหันดังนั้นก็รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เอ้อหนิวผู้เป็นน้องชายจับแขนพี่ใหญ่พลางกล่าว “พี่ใหญ่ ดูท่าครอบครัวนั่นจะมีปัญหาบางอย่าง พวกเราอย่าตามไปเลย เดี๋ยวจะเดือดร้อนซะเปล่า ๆ”
จุดประสงค์ของพวกเขามีเพียงขอตามหลังครอบครัวลู่เพื่อหลีกหนีภัยเท่านั้น สถานการณ์นอกเหนือจากนั้นพวกเขาจะไม่เข้าไปยุ่ง
แต่พี่ใหญ่อย่างมู่จวงกลับเห็นต่าง “หากเราไม่ไปช่วยพวกเขา หลังจากนี้ถ้าคิดจะตามหลังพวกเขาก็คงยากแล้ว”
มู่จวงไม่ได้อยากหาเรื่องใส่ตัว แต่หลังจากชั่งน้ำหนักดูแล้วการตัดสินใจลองตามไปสักครั้งดูจะเป็นทางที่ดีกว่า
“พี่ใหญ่ นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
เอ้อหนิวค่อนข้างขาดไหวพริบ ไม่เข้าใจความหมายของพี่ใหญ่เท่าไรนัก
มู่จวงคร้านจะอธิบาย ทิ้งอีกฝ่ายไว้แล้วรุดหน้าไปทันที
เอ้อหนิวทำอะไรไม่ได้นอกจากวิ่งตามไป
.
ขณะนี้รถม้าของครอบครัวลู่กำลังจอดสนิท เหอจิ่วเหนียงขมวดคิ้วแน่นด้วยความกังวล จ้องมองกลุ่มคนตรงหน้าที่ดูแล้วไม่น่าใช่คนดี
โอ๊ย! ตลอดการเดินทางไม่มีช่วงเวลาไหนที่ราบรื่นเลย!
ในเวลาเดียวกันสองพี่น้องลู่ก็ตื่นพอดี ทันทีที่เห็นกลุ่มคนตรงหน้าซึ่งมีจำนวนมากเกินกว่าจะนับก็ได้สติเต็มตื่น
ด้านเด็กน้อยทั้งหลาย ต้องบอกว่าตลอดการเดินทางที่ผ่านมาพวกเขาเก่งเกินอายุยิ่งนัก ไม่ว่าเผชิญกับสถานการณ์ใดก็ไม่ส่งเสียงร้องไห้ให้เป็นภาระเลย ทำเพียงหลบอยู่ในอ้อมกอดของมารดาอย่างเงียบ ๆ
กลุ่มชายโฉดที่อยู่ด้านหน้าเดินเข้ามา แต่ละคนรูปร่างซูบผอมราวกับโครงกระดูก ในมือถือมีดสั้น สีหน้าดุดันน่ากลัว
“หากพวกเจ้าไม่อยากตายก็ส่งเสบียงอาหารกับเงินมา! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือน!”
ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าเหยื่อกลุ่มนี้มีผู้ชายที่ดูเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัวเพียงแค่สองคนเท่านั้น ที่เหลือเป็นสตรี คนแก่ และเด็ก จึงยิ่งวางอำนาจหนักขึ้น ทันทีที่เดินเข้ามาใกล้ก็หมายจะดึงม้าไป
“พวกเจ้าเป็นใครถึงได้กล้าปล้นกลางวันแสก ๆ เช่นนี้!”
ผู้เฒ่าลู่ยกแส้ม้าชี้หน้ากลุ่มผู้ร้าย หลังจากที่เอาชนะเหล่ามือสังหารเมื่อคืนมาได้ ชายชราก็รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับคนกลุ่มนี้เขาจึงไม่กลัวสักเท่าไร
“หุบปาก! ตาแก่หงำเหงือกอย่างเจ้าอยู่ในถิ่นข้าแล้วยังกล้าปากดีอีกรึ! วันนี้ข้าจะปลิดชีวิตเจ้าไว้ที่นี่ซะ!”
กล่าวจบคนร้ายผู้นั้นก็ยกมีดพุ่งเข้าหาเป้าหมายทันที!
ผู้เฒ่าลู่ตกใจมาก ม้าที่เขาขี่อยู่ก็รับรู้ได้ถึงอันตรายจึงพยศอีกครั้งจนทำให้คนบนหลังม้าตกลงมา จากนั้นมันห้อตะบึงหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
“ท่านพ่อ!”
บุตรคนโตรับร่างบิดาเอาไว้ได้ แต่ยังไม่ทันตั้งตัวก็เห็นฝ่ายตรงข้ามยกมีดขึ้นสูงเตรียมจะแทงลงมา บุตรคนรองเห็นดังนั้นจึงรีบใช้ดาบสกัดไว้ สองพี่น้องชักดาบยาวออกมาและรบรากับผู้ประสงค์ร้ายอย่างดุเดือด
ดาบที่เหลือที่เหอจิ่วเหนียงเก็บมา นางเก็บไว้บนรถม้าที่ตนเองนั่ง
นางยื่นมือไปดึงผู้สูงวัยทั้งสอง แล้วอุ้มโก่วเอ๋อร์ยัดใส่อ้อมแขนนางซุนพลางกำชับ “รีบหาที่ปลอดภัยซ่อนตัวเร็วเข้าเจ้าค่ะ!”
นางหยูละล่ำละลักด้วยความกลัดกลุ้ม “น้องสะใภ้สาม แล้วเจ้าล่ะ?”
ทุกคนล้วนเป็นสตรี นางจึงเป็นห่วงน้องสะใภ้สาม
“ข้ามีวิธีเจ้าค่ะ”
เหอจิ่วเหนียงรู้สึกอุ่นใจยิ่งนักที่คนในครอบครัวคอยเป็นห่วง จึงยิ้มตอบกลับพลางกล่าว “ฝากดูแลท่านพ่อ ท่านแม่ และพวกเด็ก ๆ ด้วย”
กล่าวจบสตรีผู้มีแผนการก็วิ่งออกไปทันที แล้วก็ตามทันเอ้อหนิวและมู่จวงที่วิ่งนำมาก่อนแล้ว จากนั้นโยนดาบให้พวกเขา “หากครั้งนี้พวกเจ้าช่วยพวกข้าหนีไปได้ข้าจะให้พวกเจ้าร่วมทางไปด้วย!”
นางบอกว่าให้ร่วมทาง แน่นอนว่ารวมถึงอาหารและที่อยู่ด้วย
สองโจรกลับใจยินดีอย่างมาก ในช่วงเวลาแบบนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าปากท้องอีกแล้ว
พวกเขาร่วมต่อสู้ทันทีโดยไม่ลังเล
คนในครอบครัวลู่ไม่ได้คัดค้านกับสิ่งที่เหอจิ่วเหนียงตัดสินใจ มีสองคนนี้คอยช่วย ฝ่ายพวกเขาก็มีโอกาสชนะมากขึ้น
เมื่อเห็นทุกคนหาที่ซ่อนตัวได้แล้ว เหอจิ่วเหนียงก็แอบซ่อนตัวเช่นกัน จากนั้นเรียกเข็มเงินอาบยาพิษออกมา และตั้งท่าเตรียมส่งเข็มพิษออกไป
ทว่าจู่ ๆ เกิดสายลมหอบหนึ่งพัดมาจากทางด้านหนึ่งไปยังกลุ่มผู้ไม่หวังดี จากนั้นเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้นตามมา อาวุธในมือของคนกลุ่มนั้นตกลงบนพื้น หลังมือขวาบวมขึ้นเพราะถูกก้อนหินโจมตี
เป็นฝีมือของใครกัน!?
ขณะที่เหอจิ่วเหนียงกำลังสงสัย นางก็เห็นขบวนรถม้ากำลังเคลื่อนเข้ามาแต่ไกล รถม้าสะดุดตาคันหนึ่งตกแต่งอย่างหรูหรา ม่านรถปักเย็บด้วยลูกปัด วิจิตรงดงามยิ่งนัก
กระดิ่งลมติดทั้งสี่มุมของหลังคารถม้า เมื่อกระทบกับสายลมเสียงขับขานของมันก็ยิ่งไพเราะ
ทุกคนตกตะลึง ผู้สูงศักดิ์จากที่ไหนกัน?
โจรเร่ร่อนหลายคนลุกขึ้นตอบโต้ หยิบมีดบนพื้นหมายจะโจมตี แต่สุดท้ายยังไม่ทันลงมือก็ถูกมีดเล่มหนึ่งพุ่งมาปาดคอเสียก่อน
เหอจิ่วเหนียงประจักษ์ชัดว่าผู้ที่ลงมือก็คือ …สาวใช้คนหนึ่ง… ที่กำลังเดินอยู่ข้าง ๆ รถม้าคันแรก ประเมินจากสายตาแล้วอายุน่าจะเพิ่งสิบสองหรือสิบสามปี มัดผมเป็นมวยสองข้าง หน้าตาพริ้มเพรา แต่ฝีมือน่าพรั่นพรึงไม่น้อย
“นายหญิงของข้าไม่ชอบเห็นการต่อสู้เช่นนี้ พวกเจ้าอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจล่ะ!”
บัดนี้ขบวนรถม้าเคลื่อนมาตรงหน้ากลุ่มผู้ก่อความวุ่นวาย สาวใช้ใบหน้างามกวาดตามองทุกคน สองพี่น้องแซ่ลู่หวาดกลัวเล็กน้อย และดึงเอ้อหนิวกับมู่จวงมาด้านข้างเพื่อหลีกทางให้ขบวน
เหอจิ่วเหนียงสังเกตขบวนรถม้าอย่างละเอียด พบว่าแต่ละคนมีท่วงท่าการเคลื่อนไหวอ่อนช้อย มีกำลังภายในลึกล้ำ แม้แต่คนบังคับรถม้าก็หาใช่คนธรรมดา
…นี่ไม่ใช่ตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไปเป็นแน่ ไม่แน่ว่าอาจเป็นสำนักใดสำนักหนึ่งในยุทธภพ
ผู้เป็นนายที่อยู่ในรถม้าคันหรูกลับไม่มีวรยุทธ์ใดเลย แม้แต่สุขภาพร่างกายก็ไม่ค่อยจะดีนัก ที่บอกเช่นนี้ได้ก็เพราะเมื่อครู่ตอนที่รถม้าคันนั้นผ่านหน้าไป เหอจิ่วเหนียงได้ยินคนด้านในหายใจหอบไม่เป็นจังหวะ
.
.
.
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว