ดวงเนตรสมบัติพลิกชะตา ข้าจะเป็นเศรษฐี-บทที่ 15 ยอดฝีมือ

โดย  Pinebook

ดวงเนตรสมบัติพลิกชะตา ข้าจะเป็นเศรษฐี

บทที่ 15 ยอดฝีมือ

“สวี่ตง นายรอข้างนอกแป๊บนึงนะ”

โหมวซือฉิงคิดว่าสวี่ตงจะตามเธอเข้าไปด้วย แต่เธอไม่อยากให้สวี่ตงเห็นเธอในยามที่อ่อนไหว พอเห็นสวี่ตงจ้องไปทางยอดวิหารอย่างนิ่งงันจึงโล่งใจ คิดว่าสวี่ตงจ้องวัดจน ‘อึ้ง’ ซึ่งช่วยให้เธอคลายกังวลได้บ้าง

สวี่ตงยังทำตัวเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงไม่คลาย ทุกครั้งที่ไปสถานที่ใหม่ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจไปหมด!

สวี่ตงรับคำส่งๆ ว่า ‘อือ’ แค่คำเดียว แต่สายตายังจ้องอยู่บนยอดวิหาร โหมวซือฉิงจึงสะบัดมือเดินเข้าไปคนเดียว

ครั้งนี้สวี่ตงไม่สนใจด้วยซ้ำว่าโหมวซือฉิงพูดอะไร ความสนใจทั้งหมดถูกออร่าสมบัติที่แผ่ออกมาจากยอดวิหารอย่างอลังการดึงดูดไปหมดจนตะลึงงัน!

ต้องเป็นสมบัติแบบใดถึงเปล่งออร่าสมบัติเข้มข้นมหาศาลขนาดนี้ออกมาได้ หรืออาจจะยิ่งใหญ่จนจินตนาการไม่ถึง

สวี่ตงอึ้งอยู่พักใหญ่ก่อนจะมองไปรอบๆ ลานวัดเงียบสงบมาก ไม่เห็นใครสักคน ดวงอาทิตย์ยามเย็นสาดแสงอาบย้อมวิหารและต้นไม้ภายในวัด จนดูราวกับถูกปกคลุมด้วยผ้าโปร่งสีทอง

โหมวซือฉิงเข้าไปพูดคุยกับอาเขยของเธอในห้องโถง สวี่ตงเองก็ไม่คิดว่าต้องเข้าไป ‘ทักทาย’ ไม่สำคัญหรอกว่าเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ ถึงอย่างไรอาเขยของโหมวซือฉิงก็ไม่พูดอยู่แล้ว

เสน่ห์เย้ายวนของออร่าสมบัติทรงพลังมาก สวี่ตงไม่ได้ต้องการ ‘ขโมย’ หรือซื้อมัน เขาเพียงอยากเห็นกับตาว่าของสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ ไม่รู้ว่าสมบัติอะไรที่สามารถเปล่งออร่าสมบัติได้เข้มข้นขนาดนี้!

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเป็นสมบัติล้ำค่า ผู้ที่เก็บมันไว้ก็ย่อมไม่นำออกมาให้ผู้อื่นเห็นง่ายๆ อีกอย่าง หากเขาเดินดุ่มเข้าไปบอกว่าอยากเห็นสมบัติ อีกฝ่ายคงทั้งตกใจทั้งแปลกใจว่าเขารู้ได้อย่างไรเป็นแน่

สวี่ตงยืนอึ้งอยู่นานก็คิดว่าช่างมันเถอะ ยิ่งเป็นของล้ำค่าก็ยิ่งซ่อนไว้แน่นหนา เขาจึงเลิกคิดจะไปดูมัน แต่แทนที่จะเดินไปยังประตูห้องโถง เขากลับเดินช้าๆ ไปตามชายคาทางขวาของวิหาร ทิวทัศน์รอบวิหารหลังนี้สวยเหลือเกิน!

ทางเดินใต้ชายคาทั้งหมดทำจากหินแผ่น สวี่ตงสวมรองเท้าผ้าใบพื้นยางจึงไม่ส่งเสียงดัง ลานวัดขนาดใหญ่ แต่บนพื้นกลับสะอาดมาก ไม่มีแม้แต่ใบไม้ร่วงสักใบ ได้ยินโหมวซือฉิงเล่าให้ฟัง ว่าในวัดแห่งนี้มีอาเขยของเธอกับนักบวชเฒ่าช่วยกันทำ การกวาดพื้นไม่ใช่งานหนักอะไร แต่พื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้จะกวาดให้สะอาดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งวัดมีนักบวชอยู่แค่สองรูป!

มังกรหินคดเคี้ยวที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติกลางลานวัดยังเหมือนเดิมกับที่เคยเห็นตอนเด็ก เพียงแต่ตัวหินเรียบเป็นมันเงาอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าถูกคนลูบไปกี่คนแล้ว

อันที่จริงมังกรหินก็แค่รูปร่างคล้ายมังกรเท่านั้น ไม่ได้มีหัวมีตัวมีเขามีเท้าอย่างในตำนานเล่าขาน แค่ภาพรวมดูคล้ายอยู่บ้าง

สวี่ตงเดินเลาะทางหินไปยังด้านหลังวัดอย่างช้าๆ หลังวัดมีกำแพงสูง ลานด้านหลังยังมีแปลงผักอยู่หลายแปลง ปลูกกะหล่ำปลี หัวหอม กระเทียมและพืชผลอื่นๆ

ดูถึงตรงนี้สวี่ตงก็เหมือนจะรู้สึกได้ทันทีว่านักบวชในวัดแห่งนี้ใกล้เคียงกับ ‘ความเป็นจริง’ มาก พวกเขายังเป็นปุถุชนธรรมดาที่ต้องกินต้องดื่มเหมือนคนทั่วไป

ติดกับแปลงผักมีโต๊ะหินกับม้านั่งสองตัว สวี่ตงเดินไปนั่งบนม้าหินพลางเท้าคางครุ่นคิด สิ่งที่อยู่ในหัวยังเป็น ‘ออร่าสมบัติ’ เมื่อครู่และกำลังครุ่นคิดว่ามันคือสมบัติอะไรกันแน่!

ทำอย่างไรสวี่ตงก็จินตนาการรูปร่างหน้าตาของมันไม่ออก ในจินตนาการเขาคิดว่าสมบัติชิ้นนั้นต้องขนาดใหญ่มาก ไม่รู้ว่าเป็นพวกพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่หรือเป็นรูปปั้นแกะสลักอะไรหรือเปล่า

มีโอกาสสูงที่ในวัดจะมี ‘ของ’ พวกนี้ และของในวัดที่ดู ‘ใหญ่โต’ ก็เหมือนจะมีแค่สิ่งนี้ละมั้ง ขณะคิดไปเรื่อยเปื่อยจู่ๆ ก็มีเสียงแผ่วเบาแว่วอยู่ข้างหู

สวี่ตงตกใจเล็กน้อย ในวัดแห่งนี้เงียบเหงาไร้ผู้คน แต่นี่เหมือนมีใครบางคน ‘พูดงึมงำ’ อยู่ที่มุมหนึ่ง น่าแปลกมาก!

สวี่ตงเงี่ยหูฟังอยู่พักหนึ่งก็ยิ่งรู้สึกแปลก เสียงนั้นเหมือนเสียงพระกำลัง ‘สวดมนต์’ แต่มันแผ่วเบาจนหาที่มาไม่ได้ ฟังไม่ออกว่าดังมาจากทิศไหนกันแน่!

“แปลก!”

สวี่ตงผุดลุกขึ้น ครุ่นคิดพลางมองหาที่มาของเสียง แต่จับทิศทางของเสียงเพียงอย่างเดียว หาอย่างไรก็หาไม่เจอ ทว่านึกขึ้นได้ว่านอกจากนักบวชเฒ่ากับอาเขยของโหมวซือฉิงในวัดแห่งนี้ก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว หรือว่าจะดังมาจากในวิหาร

กวาดตามองไปด้านหน้ารอบหนึ่งก่อนจะหันหลังกลับไปทางวิหาร เมื่อพิจารณาดูแล้วสวี่ตงก็คิดว่าช่างมันเถอะ คงเป็นเสียงนักบวชเฒ่าสวดมนต์ แต่เสียงนั้นเลื่อนลอยจนหาที่มาไม่เจอ!

นึกขึ้นได้ว่าตนอยู่หลังวัดมานานมากแล้ว ไม่แน่ว่าโหมวซือฉิงอาจจะคุยกับอาเขยเสร็จแล้ว และกำลังตามหาเขาอยู่ก็ได้ ยังไงกลับไปลานด้านหน้าดีกว่า แต่เพิ่งเดินได้สองก้าว ก็เหมือนจะเห็นประตูไม้ตรงหัวมุมอีกฝั่งเปิดแง้มไว้

สวี่ตงชะงักและระงับความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวจึงสาวเท้าไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว

ตรงหัวมุมมีประตูไม้อยู่จริงๆ ประตูทาด้วยสีแดงเข้มเต็มไปด้วยรอยด่าง ทว่าแม้สีจะลอกและมีรอยปริแตกอยู่หลายแห่ง แต่ประตูไม้กลับยังใช้การได้เป็นอย่างดี ทั้งยังดูหนาและหนักเป็นพิเศษ

ของ ‘โบราณ’ ก็คุณภาพดีแบบนี้แหละ สมัยก่อนหาไม้คุณภาพดีได้ง่าย ต่างจากปัจจุบัน แค่ไม้ทั่วไปยังหาที่คุณภาพดีได้ยาก ถึงมีก็ราคาแพงมาก เฟอร์นิเจอร์ไม้ประดู่ธรรมดาก็ราคาสูงทะลุสวรรค์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฟอร์นิเจอรร์จากไม้ประดู่ล้ำค่าที่หายากกว่ามากเลย

ประตูเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง สวี่ตงยืนลังเลว่าจะเข้าไปดีไหม แต่ก็กลัวว่าจะถูกจับได้แล้วโดนกล่าวหาว่าเป็น ‘ขโมย’

ขณะลังเล จู่ๆ สวี่ตงก็ได้ยินเสียงงึมงำที่ได้ยินตอนแรกดังแว่วมาอีกครั้ง เงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่สักพักก็ดูเหมือนดังออกมาจากในห้องหลังประตูนี้!

หลังจากได้ยินเสียงดังมาจากหลังประตู สวี่ตงจึงคิดว่าเข้าไป ‘ดู’ สักหน่อยดีกว่า ในเมื่อมีคนอยู่ข้างใน การที่เขาเข้าไปก็ไม่นับว่าเป็นการ ‘แอบ’ เข้าไปหรอก หากเจอคนก็ทักทายพูดคุยกันสองสามประโยค ไม่แน่ว่าอาจเห็น ‘ออร่าสมบัติ’ จากของสิ่งอื่นก็ได้ ถึงจะไม่เห็นชิ้นสมบัติ แต่ได้เห็นออร่าสมบัติหลากสีก็เป็นการยืนยันที่ดีสำหรับเขามาก!

“มีคนอยู่ไหมครับ”

สวี่ตงทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามออกไปก่อน แล้วค่อยก้าวเข้าไปข้างใน

หลังประตูคือห้องเก็บของ มีพืชผลทางการเกษตรกองอยู่มากมาย เช่น มันฝรั่ง ฝักข้าวโพด มะเขือยาวสองสามลูก แตงกวา ด้านในมีประตูอีกบานหนึ่ง

สวี่ตงตรงเข้าไปข้างในก่อนจะถามอีกรอบ “มีใครอยู่ไหมครับ”

ในตอนนี้อะไรก็หยุดความคิดที่จะเข้าไปข้างในของสวี่ตงไม่ได้แล้ว เพราะพื้นที่ข้างในเต็มไปด้วยออร่าสมบัติแบบเดียวกับบนยอดวิหาร!

เข้าไปอีกประตูเป็น ‘ห้องบำเพ็ญเพียร’ ข้างในนอกจากนักบวชเฒ่ากับอาสนะสองผืนก็ไม่มีสิ่งของอื่น

สวี่ตงตกใจนิดหน่อย นักบวชเฒ่ากำลังนั่งหลับตาทำสมาธิ ทว่าออร่าสมบัติที่เปล่งแสงทั่วทั้งตัววิหารที่แท้ก็มาจากตัวนักบวชเฒ่ารูปนี้!

นักบวชเฒ่าสวมชุดนักบวชเนื้อบางสีน้ำเงิน ดูไม่สามารถซ่อนอะไรไว้ข้างในได้ แล้วสมบัติที่เปล่งออร่าแรงกล้าขนาดนั้นคืออะไรกันแน่เล่า

แม้ว่านักบวชเฒ่าจะหลับตา แต่ยังดูเหมือนกับตอนที่เขาเคยเจอเมื่อสิบกว่าปีก่อนไม่มีผิด!

ตอนที่สวี่ตงอายุประมาณเจ็ดแปดขวบเคยเจอนักบวชเฒ่ารูปนี้ครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นชุดของนักบวชเฒ่าเปื้อนคราบมันดูสกปรกมาก ขนคิ้วขาวโพลน แต่เครากลับดำสนิท ผิวหน้าแดงระเรื่อดูมีชีวิตชีวาราวกับผิวทารก ดูอายุไม่เกินสามสิบห้าหรือสามสิบหกปี

ทว่าตอนนี้สวี่ตงแอบคำนวณในหัว อย่างน้อยก็สิบหกสิบเจ็ดปีที่ไม่ได้เจอนักบวชรูปนี้ แต่ใบหน้าก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ราวกับคมมีดแห่งกาลเวลาไม่สามารถทำอะไรได้!

“ท่าน…นักบวช…”

สวี่ตงอ้าปากเรียก ทว่าไม่เคยมีประสบการณ์ทางนี้มาก่อนจึงไม่รู้ว่าควรเรียกอย่างไร จะเรียก ‘นักบวชเฒ่า’ ก็ไม่สุภาพ เรียก ‘คุณท่าน’ ก็ไม่เหมาะ จึงส่งเสียงเรียกว่า ‘ท่านนักบวช’ ออกไปอย่างลังเล

นักบวชเฒ่าพลันลืมตาที่ปิดสนิทขึ้น สวี่ตงมองดวงตาของนักบวชเฒ่าแล้วก็ตกตะลึงอย่างห้ามไม่ได้!

ตอนที่เคยพบนักบวชเฒ่ารูปนี้เมื่อครั้งยังเด็ก สวี่ตงเพียงรู้สึกว่าเขารูปร่างสูงใหญ่ รูปร่างหน้าตาภายนอกดูไม่เอาไหน และดวงตาเป็นประกายสดใส ทว่าตอนนี้มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นอีกครั้งกลับรู้สึกเหมือนสระน้ำดำมืดที่ลึกจนไม่เห็นก้นสระ!

“เธอมานี่!”

นักบวชเฒ่ากวักมือเรียกสวี่ตงไปตรงหน้าเขา

สวี่ตงเดินเข้าไปยืนตรงหน้านักบวชเฒ่าอย่างงุนงง นักบวชเฒ่าชี้อาสนะตรงหน้า “นั่ง”

สวี่ตงนั่งลงตามคำสั่งโดยไม่ต้องคิด นักบวชเฒ่าวางมือลงบนศีรษะของเขา สวี่ตงไม่รู้เจตนาของนักบวชเฒ่า แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าฝ่ามือที่วางอยู่บนศีรษะร้อนผ่าวขึ้นอย่างกับเหล็กบัดกรี กระแสความร้อนทะลุผ่านหนังศีรษะตรงเข้าสู่สมองจนทำให้เขาเวียนหัว

ราวกับดื่มสุราจนเมามายหรือไม่ก็เมาเรือเมาเครื่องบิน ท่ามกลางเมฆหมอกหนาทึบไม่รู้ทิศในหูก็เหมือนได้ยินเสียง ‘สวดมนต์’ ของนักบวชเฒ่าแว่วมาอีกครั้ง แต่ก็ฟังไม่ออกว่ากำลังพูดหรือกำลังสวดอะไร สวี่ตงสับสนมึนงงไปหมด รู้สึกเหมือนความร้อนกำลังแผดเผาตัวเขาจนไม่รับรู้อะไรนอกจากความสับสน!

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร สวี่ตงพลันรู้สึกสบายไปทั้งตัวและขี้เกียจจนไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว กระทั่งดวงตาก็ยังไม่อยากลืม

จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกของโหมวซือฉิงดังขึ้นข้างหู “สวี่ตง ตื่นๆ สวี่ตง ตื่นสิ…”

ราวกับถูกปลุกให้ตื่นจากฝันกะทันหัน สวี่ตงสะดุ้งตกใจเบิกตาโตโพลง ทว่ากลับเห็นเพียงแสงอาทิตย์ยามอัสดงทอแสงสีทองอร่าม เขากำลังนอนอยู่ข้างมังกรหินในลานกว้าง ใบหน้างดงามราวกับมวลบุปผาของโหมวซือฉิงกำลังก้มเรียกเขาอยู่

สวี่ตกตกใจจนกระเด้งตัวขึ้น กวาดตามองไปทั่วพลางถามอย่างประหลาดใจ “นักบวชเฒ่าล่ะ ออ…ออร่าสมบัติล่ะ”

โหมวซือฉิงตอบอย่างหัวเสีย “นายฝันอะไรอยู่ นักบวชเฒ่าอีก ออร่าสมบัติอีก นายน่ะสิที่เป็นออร่าสมบัติ!”

สวี่ตงประหลาดใจสุดขีด จำได้ว่าตนเดินไปตามชายคาจนถึงด้านหลัง จากนั้นก็เข้าไปในประตูไม้ด้านหลัง นักบวชเฒ่าเหมือนจะนวดศีรษะของเขา ขณะกำลังมึนๆ งงๆ ก็รู้สึกสบายมาก แล้วทำไมลืมตาขึ้นถึงมาอยู่กลางลานวัดด้านหน้าวิหารได้เล่า

หรือว่าเขาฝันไปจริงๆ

“ไม่ใช่ๆ !” สวี่ตงส่ายหน้าร้องครางออกมา ก่อนจะหันไปทางประตูใหญ่ แล้วถามโหมวซือฉิงว่า “นักบวชเฒ่าล่ะครับ นักบวชเฒ่าอยู่ในวิหารหรือเปล่า คุณคุยกับอาเขยเสร็จแล้วเหรอ”

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว