หนิวเซี่ยงตงเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจ แม้เขาจะมีทักษะการประเมินเพียงผิวเผิน แต่อาศัยความฉลาดในการทำธุรกิจ กอปรกับความจริงที่ว่าร้านเขารับจำนำของเก่าจำนวนน้อยมาก เขาจึงไม่ขาดทุน
แต่หากเจอสมบัติล้ำค่าเข้าจริงๆ หนิวเซี่ยงตงก็ดูไม่ออกหรอก ดังนั้น ‘หัวข้อ’ ที่หลงชิวเซิงเสนอมา เขาจึงประเมินหรือคาดเดาไม่ได้ อาศัยเดาจากความเคยชิน ใช้จินตนาการของตัวเอง จึงมุ่งความสนใจไปยังภาพวาดที่หลงชิวเซิงจ้องมองอยู่นานเป็นธรรมดา
ก่อนหน้านี้สวี่ตงไม่ได้พิจารณารายละเอียดของสิ่งของเลย ที่เขาสนใจมีเพียง ‘ออร่าสมบัติ’ ที่แผ่ออกมาจากสิ่งของเหล่านี้ หลังจากเห็นว่าออร่าสมบัติของภาพวาดนั้นไม่ได้เข้มข้นถึงได้ไปวิเคราะห์ ‘การวาด’ แทน
ชื่อที่ลงนามในภาพวาดคือ “สือหลู่” ชื่อนี้สวี่ตงพอรู้จักอยู่บ้าง เป็นจิตรกรคนหนึ่งในยุคใกล้ [1]เนื่องจากชื่นชมหลู่ซวิ่นมาก เขาจึงเลือกใช้ชื่อ ‘สือหลู่’
ภาพวาดนี้จะมีค่าที่สุดหรือเปล่านะ สวี่ตงยังไม่กล้ายืนยันส่งเดช เพราะยิ่งไม่แน่ใจว่ามูลค่าสิ่งของพวกนี้ใช้ความเข้มของออร่าสมบัติตัดสินได้จริงหรือไม่ ทว่าใจเขาค่อนข้างเอนเอียงไปทาง ‘จัดอันดับ’ จากความเข้มของออร่าสมบัติ
จากสีหน้าหนิวเซี่ยงตงแล้วดูท่าจะช่วยอะไรไม่ได้ ส่วนหลงชิวเซิงกำลังจดจ่ออยู่กับการละเลียดจิบชา สวี่ตงกำลังคิดคำตอบของ ‘หัวข้อ’ นี้คงมีแค่ตัวเขาที่จะหาคำตอบได้ มิเช่นนั้น ก็ไม่ผ่านบททดสอบของหลงชิวเซิง
เดิมทีเขากังวลมาก แต่ก็คิดได้ ก่อนหน้านี้หนิวเซี่ยงตงบอกไว้ว่าทำสุดความสามารถก็พอแล้ว เขาจะชนะใจหลงชิวเซิงได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ นี่ไม่ใช่หนทางเดียวในชีวิตเขาเสียหน่อย คิดถึงคำพูดของหนิวเซี่ยงตงแล้วสวี่ตงก็สงบลง ไม่คิดลังเลให้มากเรื่องอีก ใช้ข้อสันนิษฐานของตัวเองตัดสินก็พอ
สวี่ตงจะใช้ความเข้มของออร่าสมบัติตัดสิน นี่เป็นความคิดที่ดี แต่ที่ทำให้เขายังสับสนคือสีของออร่าสมบัติ ไม่รู้ว่าแบ่งระดับหรือเปล่า
เพราะไม่เคยลองมาก่อน สวี่ตงก็ไม่อาจยันยืนได้ ตอนนี้ก็ทำได้แค่ใช้ความเข้มอ่อนของออร่าสมบัติเดาไปก่อน และเมื่อใช้ออร่าสมบัติตัดสิน ความสนใจของเขาจึงไปตกอยู่กับบาตรที่แผ่ ‘ออร่าสีม่วง’ ใบนั้น
หนิวเซี่ยงตงรู้ว่านี่คือ ‘การทดสอบ’ สวี่ตง พอเห็นสวี่ตงไม่มองภาพวาดผืนนั้น แต่กลับไปจ้องบาตรสีดำๆ ม่วงๆ มีเศษขี้ธูปอยู่เต็มก็พลันร้อนใจ ถึงเขาจะพูดไปแบบนั้น แต่ความจริงใจเขาก็อยากให้สวี่ตงได้รับการสั่งสอนจากผู้เฒ่าหลง ในอนาคตแค่แขวนป้ายที่มีตัวอักษรทองคำ ‘ศิษย์หลงชิวเซิง’ ชีวิตอันมั่งคั่งก็ไม่หนีไปไหนแล้ว!
ออร่าสมบัติของบาตรกระถางธูปเข้มข้นมาก ในบรรดาสิ่งของที่แผ่ออร่าสมบัติพวกนี้ ไม่พูดถึงสี เอาแค่ความเข้มของออร่าสมบัติอย่างเดียว บาตรกระถางธูปนี่เข้มที่สุดแล้ว
สวี่ตงกำลังไตร่ตรองว่าควรจะตอบว่าสิ่งนี่หรือไม่ พอคิดๆ แล้วก็ตัดสินใจมองดูอีกรอบ ดูว่าในห้องโถงแห่งนี้ยังมีจุดไหนหรือสิ่งไหนเล็ดลอดสายตาเขาไปหรือไม่
ภายในห้องโถงรับแขกขนาดใหญ่ สวี่ตงไล่สายตามองอย่างละเอียดอีกรอบจนมั่นใจว่าไม่พลาดสิ่งใดไป แน่นอนว่าหมายถึงไม่พลาดสิ่งของที่แผ่ ‘ออร่าสมบัติ’ เท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบบาตรกระถางธูปสีดำอมม่วงที่เขาเล็งไว้อีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย สวี่ตงก็เลื่อนสายตาไปยังหลงชิวเซิง เตรียมให้คำตอบเขา
ทว่าตอนที่หันไปหาหลงชิวเซิง สวี่ตงก็ต้องชะงัก ก่อนจะตกตะลึง!
ถึงแม้ในห้องโถงนี้จะไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดสายตาไป แต่ตอนที่มองหลงชิวเซิง สวี่ตงพลันพบว่าบนมีออร่าสีน้ำเงินเข้มข้นแผ่ออกมาจากตัวหลงชิวเซิง!
มันเป็นออร่าชนิดหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เหตุผลที่ไม่ได้สนใจตั้งแต่แรกเพราะออร่านี้มาจากตัวของหลงชิวเซิง อีกอย่างหลงชิวเซิงยังสวมชุดสีน้ำเงินไพลิน ออร่าสมบัติจึงกลืนไปกับสีชุด ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันได้สังเกตดูดีๆ และไม่ได้สนใจหลงชิวเซิง จึงเพิ่งมาเห็นเอาตอนนี้
ออร่าสีน้ำเงินนี่แผ่มาจากของชิ้นไหนล่ะ อย่างไรก็ตาม ไม่มีทางออกมาจากร่างกายของหลงชิวเซิงแน่ๆ สวี่ตงจ้องมองหลงชิวเซิงอย่างละเอียด ไม่สนใจว่าจะเสียมารยาทหรือไม่ ค้นหาตำแหน่งของออร่าบนตัวเขาอย่างละเอียด
ออร่า ‘แผ่’ ออกมาจากตัวของหลงชิวเซิง สวี่ตงประหลาดใจยิ่งนัก เพราะเขารู้ดีที่สุด ออร่าสีน้ำเงินนี่ไม่มีทางแผ่ออกมาจากตัวหลงชิวเซิงแน่นอน มั่นใจได้เลยว่าต้องเป็น ‘ของมีค่า’ อะไรก็ตามที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าของเขา!
หลงชิวเซิงเห็นสวี่ตงจ้องเขาอย่างนิ่งอึ้งก็หัวเราะฮ่าๆ “เจ้าหนู คนแก่อย่างฉันไม่ใช่สาวน้อยหน้าตาน่ารัก เธอจะมาจ้องฉันทำไมกัน ที่ฉันให้เธอดูคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในห้องนี้ ใช่ไม้ใกล้ฝั่งอย่างฉันเสียที่ไหน!”
สวี่ตงยิ้มกระอักกระอ่วน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ไม่กล้าฟันธงว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในตัวผู้เฒ่าหลง แต่ออร่าของมันเข้มข้นกว่าสิ่งของอื่นๆ อย่างแน่นอน และยังเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสีน้ำเงินด้วย
จะเชื่อสายตาตัวเองหรือจะอาศัยการคาดเดา
“ยังไงก็เถอะ ลงเดิมพันกันสักตั้ง!”
สวี่ตงแอบกัดฟัน ในใจกลับคิดว่าพระเจ้ามอบความสามารถแปลกๆ ให้เขายามที่ชีวิตถึงจุดต่ำสุด เช่นนั้นก็ใช้มันเดินพันสักตั้งแล้วกัน!
“ผู้เฒ่าหลงครับ!” สวี่ตงแกล้งทำเป็นครุ่นคิด “คุณ บนตัวคุณมีของมีค่าอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”
หลงชิวเซิงตกใจ เขาจ้องมองสายตาแปลกๆ ของสวี่ตง ครู่ใหญ่ถึงได้ตบกระเป๋าเสื้อผ้า “ในกระเป๋าฉันไม่มีของอะไรเลย เธอเชื่อไหม”
“ผมเชื่อครับ!”
สวี่ตงยังไม่ทันพูดอะไร หนิวเซี่ยงตงกลับพูดแทรกพลางหัวเราะฮ่าๆ “คำพูดของผู้เฒ่าหลงก็เหมือนทองคำที่โยนลงพื้น ใครหน้าไหนไม่รู้บ้างว่าวาจาท่านหนักดุจติ่งทองเก้าชั้น[2]”
หนิวเซี่ยงตงพูดแทรกมาเช่นนี้ สวี่ตงย่อมเข้าใจ หนิวเซี่ยงตงกำลังบอกเป็นนัยว่าเขาไม่สามารถสงสัยในคำพูดของหลงชิวเซิงได้ เขาบอกว่าบนตัวไม่มีของก็ต้องไม่มี
สวี่ตงพยักหน้า “คำพูดของผู้เฒ่าหลง ผมต้องเชื่ออยู่แล้วครับ แต่ท่านบอกว่าไม่มีของอะไรในกระเป๋า ไม่ได้หมายความว่าบนตัวท่านไม่มีนี่ครับ ผมแค่คิดว่า บนตัวท่านจะต้องมีของมีค่ามากๆ อยู่แน่นอนครับ!”
ตอนสวี่ตงพูด หนิวเซี่ยงตงแอบยื่นมือมาหยิกหลังของเขาเบาๆ เป็นสัญญาณให้เขาอย่า ‘ต่อปากต่อคำ’ กับหลงชิวเซิง แต่สวี่ตงในเวลานี้ไม่มี ‘ทางหนี’ แล้ว
หลงชิวเซิงตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะก้มมองตัวเอง แล้วมองสวี่ตงอีกครั้ง ส่ายหน้าถามด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าหนู ฉันแปลกใจนัก เห็นๆ อยู่ว่าให้เธอหาของที่มีค่าที่สุดในห้องนี้ แต่เธอกลับจ้องฉัน บนตัวฉันจะมีของมีค่าอะไรได้ ชุดตัวนี้เหรอ”
เห็นหลงชิวเซิงพูดเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม สวี่ตงกลับยิ่งมั่นใจ บนตัวหลงชิวเซิงต้องมี ‘กลอุบายบางอย่าง’ อยู่แน่นอน ท่าทีของเขาคือ ‘ยอมรับ’ มันไปแล้ว
แต่ที่หลงชิวเซิงแปลกใจอาจเพราะสงสัยว่าเขามองออกได้อย่างไร ดูจากภายนอกก็ไม่น่ามีอะไรผิดปกติ แต่เขาไม่มีทางบอกความลับเรื่องที่ตนสามารถมองเห็น ‘ออร่าสมบัติ’ ออกไปแน่ ดังนั้นการพูดคุยกับผู้เฒ่ายอดฝีมืออย่างหลงชิวเซิงต้องระวังให้มากขึ้น
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง สวี่ตงก็ยิ้มนิดๆ “ผู้เฒ่าหลง พูดถึงอัญมณีแห่งชีวิต แม้ท่านจะซ่อนไว้มิดชิด แต่เสื้อผ้ากลับปิดบังไม่ได้ นักดูโหวงเฮ้งที่ดียังใช้การสังเกตสีหน้าและคำพูดมา ‘ทำนาย’ ได้ ผมเชื่อว่านักประเมินที่ดีย่อมมีสายตาเฉียบแหลมสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ แน่นอนว่าผมไม่ได้คุยโม้โอ้อวด ผมแค่เปรียบเทียบ ในห้องนี้มีสมบัติมากมาย แต่ผมเชื่อว่าของที่มีค่าที่สุดต้องอยู่บนตัวผู้เฒ่าหลงครับ!” หนิวเซี่ยงตงยังคิดว่าสวี่ตง ‘ตบก้นม้า[3]’ ดูไม่ออกว่าของมีค่าที่สุดในห้องนี้คือชิ้นไหน เลยบอกว่าตัวหลงชิวเซิงนั่นละที่ ‘มีค่า’ เขาคิดในใจ คำเยินยอเช่นนี้น่าจะเป็นการตบเท้าม้ามากกว่า หลงชิวเซิงไม่ใช่คนที่จะถูก ‘ตบ’ ได้ การไหว้อาจารย์น่าจะล้มเหลวไปกว่าครึ่งแล้ว เขาก็ทำได้เพียงยิ้มแห้งอยู่ด้านข้าง
ทว่าหลงชิวเซิงกลับมีสีหน้าตกใจจนอึ้ง และมองสวี่ตงเหมือนตัวประหลาด เนิ่นนานกว่าจะได้สติกลับมา เขาไม่พูดอะไร แต่กลับปลดกระดุมเสื้อของตน
หนิวเซี่ยงตงย่อมไม่เข้าใจว่าหลงชิวเซิงจะทำอะไร เขาอาจจะเตรียมระเบิดอารมณ์ก็ได้
หลงชิวเซิงปลดกระดุมเสื้อ ก่อนจะถอดเสื้อตัวนอกออก ใต้เสื้อตัวนอกพลันเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ!
“นี่…นี่คืออะไรครับ” หนิวเซี่ยงตงตาพร่าเล็กน้อย เขาก้าวเข้าไปพิจารณาด้วยความตกใจ หลังจากถอดเสื้อคลุมออกร่างของหลงชิวเซิงก็เป็นสีทอง ทั้งยังเปล่งประกาย ราวกับกำลังสวมชุด ‘เกล็ด’ ที่ทอด้วยไหมหยกทองคำ
สวี่ตงเองก็ตกใจ บนตัวหลงชิวเซิงต้องซ่อนของล้ำค่าไว้แน่นอน แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งนี้ ตะลึงอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ผู้เฒ่าหลง นี่…คือเสื้อหยกถักทอง[4]เหรอครับ”
แม้หลงชิวเซิงจะประหลาดใจกับสายตาของสวี่ตง แต่ก็ยิ้มพร้อมส่ายหน้าให้กับการคาดเดาของเขา “พูดตามจริงนี่ไม่ใช่ ‘เสื้อหยกถักทอง’ ที่เธอว่า อีกอย่างเสื้อหยกถักทองเป็นเครื่องป้องกันศพที่ราชวงศ์ในสมัยโบราณสวมใส่หลังสิ้นชีพ คนโบราณเชื่อว่าหยกทำให้ศพเย็นลง พันปีไม่เน่าเปื่อย ฉันซึ่งยังมีชีวิตอยู่ย่อมไม่สวมใส่มันหรอก…”
สวี่ตงหน้าแดง รู้สึกกระดากอาย แม้จะเห็น ‘ออร่าสมบัติ’ จึงแน่ใจว่าบนตัวหลงชิวเซิงมีความลับซ่อนอยู่ แต่พอเห็นของบนตัวเขาจริงๆ ความตื้นเขินทาง ‘พื้นฐาน’ ของตัวเองก็เผยออกมาในทันที!
สายตาเฉียบคม การประเมิน และประสบการณ์ สามอย่างนี้ล้วนเป็นวิชาความรู้ มีเพียงผู้มีวิชาความรู้ลึกซึ้งอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะมีความสามารถเหล่านั้น ส่วนเขาก็แค่กำลัง ‘โกง’ โดยอาศัยพลังพิเศษ
แต่หลงชิวเซิงไม่ได้ใส่ใจสีหน้าของสวี่ตงมากนัก เขารู้สึกทึ่งกับ ‘สายตาและความฉลาด’ ของสวี่ตง คนที่จะเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจใช่ว่าจะไม่มี แต่หากปกปิดด้วยเสื้อผ้าแล้วยังมองเห็นความแปลกประหลาดได้ แสดงว่าต้องมีสายตาเฉียบคมจริงๆ
“นี่เรียกว่า ‘เสื้อหยกไหมทอง’!”
หลังจากนั้นไม่นานหลงชิวเซิงก็พูดขึ้นอีกว่า “มันต่างจาก ‘เสื้อหยกถักทอง’ ที่เธอว่า ของบนตัวฉันมาจากสมบัติตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นของตระกูลเหอซึ่งเป็นตระกูลช่างทอผ้าจากเจียงหนาน ทำจากไหมทองที่นำมาทำให้นุ่ม ตรงหัวใจใช้หยกชั้นดี ว่ากันว่ากันน้ำไฟคมดาบได้ มีสรรพคุณในการปรับสมดุลร่างกาย แน่นอน ว่ามันให้ผลเช่นนั้นจริงหรือเปล่าฉันก็ไม่ค่อยรู้หรอก ถึงยังไงตำนานก็ถูกกล่าวขานไปแล้ว แต่แค่ไหมทองนุ่มกับหินหยกปกป้องหัวใจ บวกกับทักษะการทออันเชี่ยวชาญก็ทำให้ชุดหยกไหมทองนี้ประเมินค่าไม่ได้แล้ว!”
หลงชิวเซิงพูดพลางถอนใจ “แต่สิ่งนี้ไม่ใช่ของฉันหรอก เพื่อนฉันฝากไว้มอบให้คนอื่น อีกไม่นานมันก็จะกลายเป็นสมบัติของคนอื่นแล้ว!”
สวี่ตงแลบลิ้นก่อนจะถามยิ้มๆ “ผู้เฒ่าหลงครับ สิ่งนี้คงจะมีค่ามาก บอกว่าจะให้คนอื่นก็ให้เลยเหรอครับ”
หลงชิวเซิงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “มันเป็นเรื่องของครอบครัวลูกๆ เขา จะมอบให้ว่าที่ลูกสะใภ้ พอแต่งสะใภ้เข้ามาแล้ว ของสิ่งนี้ก็ไม่กลับมาแล้วมั้ง”
สวี่ตงคิ้วผูกปม ยังไม่ทันเข้าใจกระจ่างแจ้ง หลงชิวเซิงก็หัวเราะ แล้วโบกมือตอบ “เจ้าหนู เสี่ยวหนิว ไปงานเลี้ยงกับฉันเถอะ!”
หนิวเซี่ยงตงลูบหัวพลางจ้องสวี่ตง ก่อนจะถามอย่างครุ่นคิด “ผู้เฒ่าหลง งั้น…เรื่องไหว้อาจารย์ของสวี่ตง…”
[1] ยุคใกล้ คือ ช่วงปี 1849-1949 ประมาณช่วงสงครามฝิ่น-สงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคราชวงศ์ชิง
[2] วาจาหนักดุจติ่งทองเก้าชั้น หมายถึง คำพูดที่มีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมาก
[3] ตบก้นม้า หมายถึง ประจบประแจง
[4] เสื้อหยกถักทอง คือ ชุดมัมมี่ของประเทศจีน นิยมในหมู่ชนชั้นสูงในสมัยฮั่น ใช้แผ่นหยกเย็บติดกันด้วยเส้นทองคำ
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว