บทที่ 48 ไท่ซู่จื่อ: ข้าเสนอให้ฉู่ซิวเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์
ยอดเขาไท่ซู่ ณ โถงประชุมใหญ่
บรรยากาศเคร่งขรึม ควันหมอกและแสงลอยล่องอยู่ราวกับสวรรค์
วันนี้ เจ้าขุนเขาทั้งสิบเจ็ดยอดเขามาประชุมกัน นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ เหล่าผู้อาวุโสตำแหน่งสำคัญจากแต่ละยอดเขายืนอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในโถงใหญ่
ตรงกลางสูงสุดบนบัลลังก์ทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่
ไท่ซู่จื่อนั่งอย่างสง่างาม สวมชุดสีขาวทองอลังการ เปล่งประกายวับวาว ผิวขาวราวหยกงาม รูปร่างอรชรบอบบาง ผมยาวสีฟ้าเป็นลอนตกลงมาด้านหน้าและหลังตามธรรมชาติ ใบหน้างดงามราวกับทะลุออกมาจากภาพวาดที่มิอาจบรรยายได้ด้วยตัวหนังสือ
ต่ำลงมาจากบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ มีบัลลังก์ทองสัมฤทธิ์ขนาดเล็กกว่าลอยอยู่สองข้าง ด้านซ้ายว่างเปล่า ด้านขวานั้นมีหญิงสาวในชุดยาวสีขาวบริสุทธิ์ ใบหน้าคลุมด้วยผ้าขาว นางหลับตาพิงบัลลังก์ราวกับหลับไป นางคือบุตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งยุคของแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่ ไป๋ซู่ซู่บำเพ็ญมานับร้อยปี มีขอบเขตศักดิ์สิทธิ์
ตระกูลไป๋แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นตระกูลใหญ่ ซึ่งมีฐานะสูงส่ง
ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา มีผู้เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ถึงสามคน หนึ่งในนั้นได้รับตำแหน่งขอบเขตกึ่งจักรพรรดิ เมื่อครั้งที่ฉู่ซิวปีนหอเทพสถิตของขอบเขตกงล้อสมุทร ร่างเงา ขอบเขตกึ่งจักรพรรดิที่ปรากฏคือตัวตนของตระกูลไป๋ ไป๋ซู่แห่งขอบเขตกึ่งจักรพรรดิ
ส่วนไป๋ซู่ซู่กับไป๋ซู่ต่างกันเพียงตัวอักษรเดียว แสดงให้เห็นถึงฐานะและพรสวรรค์ของนาง
ที่นั่งว่างทางด้านซ้ายย่อมเป็นของบุตรศักดิ์สิทธิ์
ด้านล่างคือบัลลังก์ของ ยอดเขาเทียนซิง ยอดเขาอวิ๋นเซี่ย ยอดเขาเทียนเจี้ยน เจ้าขุนเขาของทั้งสามยอดเขา
ถัดมาก็เป็นยอดเขาเต๋าอวิ๋น ยอดเขาคณาสมบัติ ยอดเขาเหลียนชี่ ยอดเขาหมื่นอมฤต... ทั้งสิบเจ็ดยอดเจา
เจ้าขุนเขาแต่ละขุนเขานั้นมีความแตกต่างกันมากมาย มีพลังกดดันที่สั่นสะเทือนโลก ไม่มีใครที่มีฝีมือธรรมดาเลยแม้แต่คนเดัยว ล้วนแล้วแต่เป็นผู้แข็งแกร่งทั้งนั้น
ด้านล่าง ผู้อาวุโสของแต่ละยอดเขาที่สามารถเข้าไปในหอประชุมใหญ่ได้ แม้แต่ผู้ที่มีระดับการบำเพ็ญต่ำที่สุดก็อยู่ในขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ ล้วนเป็นกำลังสำคัญระดับสูงของแดนศักดิ์สิทธิ์ จำนวนมากกว่าร้อยนี้ ทำให้ผู้คนตะลึง
นี่คือพื้นฐานที่แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์
ผู้อาวุโสด้านล่างไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว ก้มหน้าลง ไม่กล้ามองเจ้าขุนเขาแต่ลำสำนักที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ไท่ซู่จื่อมองไปรอบ ๆ ดวงตาของนางมีดวงดาวเกิดและดับ เมื่อฝึกฝนพระสูตรจักรพรรดิไท่ซู่ร่างกายของนางจึงเต็มไปด้วยพลังปราณ ทั้งน่าเกรงขามและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ริมฝีปากสีแดงเรื่อเปิดเบา ๆ
“ประเด็นแรก เรื่องแดนลับหวงเหยา ท่านทั้งหลายเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นหรือไม่?” ผู้นำยอดเขาเทียนซิงเปิดปาก รอบกายมีปราณกระบี่พุ่งไปมา สุญญากาศเกิดและดับมากมาย ผมยาวสีเงินไหวไปมา ความกดดันแผ่ไปทั่วทั้งบริเวณ ทำให้ผู้คนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
“พวกเขาใช้ชีวิตสบายเกินไป ขาดการฝึกฝน เมื่อเผชิญหน้ากับเผ่ามารจึงได้ขลาดกลัวเช่นนั้น”
“ควรให้พวกเขาลงจากภูเขาไปบำเพ็ญเสีย” ผู้นำยอดเขาแต่ละยอดเขาต่างพยักหน้าเห็นด้วย
เจ้าขุนเขายอดเขาเต๋าอวิ๋นเปิดปาก “พอดีในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ราชวงศ์ภายใต้การปกครองของแดนที่ศักดิ์สิทธิ์ มักถูกเผ่ามารและคนเถื่อนเบียดเบียน เราสามารถส่งพวกเขาไปกำจัดมารได้ ผ่านสนามรบและการลงมือจริงแล้ว ข้าเชื่อว่าลูกศิษย์จะเติบโตได้เร็วขึ้น” นางเป็นสตรีงาม อายุราวสามสิบ สวมเสื้อคลุมของยอดเขาเต๋าอวิ๋น ลมหายใจเบาบาง ระดับการบำเพ็ญอยู่ที่ขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ขั้นปลาย อีกเพียงก้าวเดียวก็เข้าสู่ขอบเขตมหาศักดิ์สิทธิ์
เฉียวเหมิงเตี๋ยพยักหน้า “นอกจากยอดเขาหมื่นอมฤต ยอดเขาเหลียนชี่ ยอดเขาคณาสมบัติแล้ว ยอดเขาอื่น ๆ ต้องบังคับอย่างเข้มงวดว่า ทุกปีนั้นจะต้องลงจากยอดเขาไปกำจัดเผ่ามารหนึ่งครั้ง สังหารมารในขอบเขตพลังให้ได้จำนวนหนึ่งจึงจะกลับมาได้”
เจ้าจุยเขาของยอดเขาเทียนเจี้ยนอย่างหลิวเสวี่ย ชำเลืองมองเฉียวเหมิงเตี๋ยแล้วหัวเราะเยาะ “ท่านพูดได้สบาย ๆ จำนวนศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์มีมากมายขนาดนั้น หากทุกคนลงจากเขา ราชวงศ์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีปีศาจให้ฆ่ามากขนาดนั้นเชียวหรือ?” เฉียวเหมิงเตี๋ยขมวดคิ้ว
“การล่าอสูรก็ได้ หรือไปที่กำแพงเทียนหยวนก็ได้”
“อสูร? ทุกคนไม่ได้ล่ามันอยู่แล้วหรอกหรือ” หลิวเสวี่ยยังคงขัดขวาง
“ไปที่กำแพงเทียนหยวน พวกที่มีขอบเขตพลังต่ำ ไม่ใช่ว่าท่านพยายามส่งเขาไปตายหรอกหรือ?”
บรรดาเหล่าผู้นำยอดเขาและเหล่าผู้อาวุโสต่างมองตากันและกัน ไม่พูดอะไรทั้งนั้น หลายปีมานี้ พวกเขาชินชากับการที่ทั้งสองคนนี้ขัดแย้งกันแล้ว
“พอแล้ว” ไท่ซู่จื่อเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ
“ทำตามที่เจ้าขุนเขาแห่งยอดเขาเต๋าอวิ๋นและเจ้าขุนเขาแห่งยอดเขาอวิ๋นเซี่ยพูด เผ่ามารและคนป่าเถื่อนนั้น ฆ่าอย่างไรก็ไม่มีวันหมด ถ้าไม่ได้ก็ไปที่กำแพงเทียนหยวน”เมื่อเห็นว่าไท่ซู่จื่อตัดสินใจแล้ว หลิวเสวี่ยจึงเงียบปากไม่พูดอะไรต่อไป
“รายละเอียดเรื่องนี้ ก็ให้เจ้าขุนเขาแห่งยอดเขาเต๋าอวิ๋นจัดการเถิด”
“ขอรับ” เจ้าขุนเขาแห่งยอดเขาเต๋าอวิ๋นลุกขึ้นรับคำสั่ง
ไท่ซู่จื่อพยักหน้าแล้วพูดต่อ “เกือบร้อยปีแล้ว ที่แดนศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ได้เลือกบุตรศักดิ์สิทธิ์ ทำให้มักถูกเหล่าลัทธิใหญ่ แดนศักดิ์สิทธิ์ และตระกูลใหญ่อื่น ๆ ตำหนิอยู่เสมอ”
“ข้าคิดว่าถึงเวลาที่จะเลือกบุตรศักดิ์สิทธิ์สักคนแล้ว พวกท่านคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”เหล่าเจ้าขุนเขาและผู้อาวุโสได้ยินดังนั้น ต่างก็นั่งหลังตรงทันที สบตากันไปมา
ดูเหมือนหัวข้อหลักในวันนี้จะมาถึงแล้ว…
แน่นอนว่าการเลือกบุตรศักดิ์สิทธิ์นี่แหละคือหัวข้อหลักของวันนี้
ไท่ซู่จื่อมองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า
“พวกท่านอยากเสนอใครหรือไม่?” ไป๋ซู่ซู่ที่กำลังหลับอยู่หาวหวอด ลืมตาขึ้น ในดวงตาของนางมีแสงสีฟ้าวาบผ่าน งดงามราวสมุทรอันล้ำลึก
บุตรศักดิ์สิทธิ์กับบุตรีศักดิ์สิทธิ์ นั้นเรียกได้ว่าความสำคัญใกล้เคียงกันมาก ทั้งยังมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกันด้วย ในขณะเดียวกันก็เป็นคู่แข่งกัน
ในประวัติศาสตร์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่ บุตรศักดิ์สิทธิ์กับบุตรีศักดิ์สิทธิ์มีตัวอย่างที่ผูกสัมพันธ์เป็นคู่หมั้นกัน และก็มีตัวอย่างที่แย่งชิงตำแหน่งท่านจอมเทพกัน แข่งขันกันต่อสู้กันอย่างดุเดือด ขึ้นไปบนเวทีประลองเพื่อเอาชีวิตกัน
ถึงแม้ไป๋ซู่ซู่จะมีนิสัยเฉยเมย อยู่เหนือโลก แต่ก็ยังเกิดความสงสัยขึ้นมาบ้าง ว่าใครจะได้เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์คนต่อไป
“ข้าเสนอเฟิงไป๋หลิน ศิษย์สายตรงของยอดเขาเทียนเจี้ยน” เจ้าขุนเขาแห่งยอดเขาเชว่หลิงเป็นคนแรกที่พูด “เขาคนนี้บำเพ็ญไม่ถึงสองร้อยปี ก็สามารถเลื่อนขั้นถึงขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ มีพรสวรรค์สูงมาก” เขาเป็นคนแก่ผมขาวเคราขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยและร่องลึก สวมเสื้อคลุมสีเลือด ปราณวิญญาณอำมหิตเย็นยะเยือก เขาเป็นสายของยอดเขาเทียนเจี้ยน
“ข้าเสนอเมิ่งเทา ศิษย์สายตรงอันดับสองของยอดเขาเทียนซิง เขามีกายาเทพกระบี่ บำเพ็ญหนึ่งร้อยปีก็ถึงขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ เขามีคุณสมบัติที่จะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์” เจ้าขุนเขาแห่งยอดเขาหมื่นอมฤตเอ่ยปาก เขายิ้มอย่างอ่อนโยน สวมเสื้อคลุมปากว้าแปดทิศ ผมขาวราวกับนกกระเรียน ใบหน้าอ่อนเยาว์ยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นสายของยอดเขาเทียนซิง ปกตินั้นก็มีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับเทียนซิง
“ข้าก็เสนอเมิ่งเทา” เจ้าขุนเขาสตรีแห่งยอดเขาไฉ่เซี่ยเอ่ยขึ้นอย่างกระชับ เหมือนกับนิสัยทั่วไปของนาง เรียบง่ายไม่ยุ่งยาก
นอกจากเจ้าขุนเขาของยอดเขาเทียนซิง ยอดเขาเทียนเจี้ยน ยอดเขาอวิ๋นเซี่ย สามยอดเขาแล้ว เจ้าขุนเขาที่เหลือส่วนใหญ่ก็เริ่มเสนอผู้สมัคร
เมิ่งเทาแห่งยอดเขาเทียนซิง ห้าคะแนน
เฟิงไป๋หลินแห่งยอดเขาเทียนเจี้ยน สี่คะแนน
ยอดเขาคณาสมบัติ ยอดเขาเหลี่ยนชี่...และอีกแปดยอดเขา เลือกที่จะเงียบ ไม่เลือกใครพิเศษเพื่อรักษาความเป็นกลาง
ยอดเขาอวิ๋นเซี่ย ไม่มีพรรคพวกใด ๆ จึงไม่มีใครช่วยเสนอชื่อ
เฉียวเหมิงเตี๋ยมองดูอย่างเย็นชา ในใจไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ ส่วนตัวนั้นนางมีนิสัยเรียบง่าย และไม่ชอบพึ่งพาผู้อื่น ในใจเอาแต่คิดว่า ‘เจ้าศิษย์ชั่วไม่ได้เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ก็ดีแล้ว เขามีใจโหดเหี้ยม ทำร้ายอาจารย์ ทำลายบรรพบุรุษ หากเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์นั่นไม่ใช่การทำลายสวรรค์หรอกหรือ?’
ดวงตาสีขาวของเทียนซิงขยับเล็กน้อย แต่ให้ความรู้สึกกดดันอย่างยิ่ง มุมปากของเขายกขึ้น ศิษย์ของเขาได้คะแนนเสียงชนะในตอนนี้
หลิวเสวี่ยดวงตาของนางเย็นชาเล็กน้อย ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ ศิษญ์ของนางไม่อาจเทียบได้กับศิษย์ของยอดเขาเทียนซิง เห็นได้ชัดว่ากำลังของศิษญ์นางยังอ่อนแอไปสักหน่อย
ไท่ซู่จื่อพยักหน้า ยิ้มน้อย ๆ
“ดี ล้วนแล้วแต่เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว ในอนาคตจะต้องเป็นเสาหลักของพวกเรา ณ ดินศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่แห่งนี้เป็นแน่” เจ้าขุนเขาและเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย เมื่อได้ยินก็พากันมองไปที่นาง
ท่านประมุขกล่าวเช่นนี้ เป็นการส่งสัญญาณ
‘นางก็มีตัวเลือกของตนเอง’
ในห้องประชุมใหญ่ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตก
ทุกคนต่างสงสัยว่า ท่านจอมเทพจะเสนอชื่อของใคร เพราะในฐานะผู้ครองอำนาจสูงสุดของแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่ ของทวีปต้าเทียนฉง นางคือผู้แข็งแกร่งเหนือใคร เพียงนางเอ่ยปาก เรื่องนี้ก็คงจะแน่นอนแล้ว
บุตรีศักดิ์สิทธิ์อย่างไป๋ซู่ซู่ถามคำถามที่ทุกคนอยากถาม
“ท่านจอมเทพ ท่านมีตัวเลือกหรือไม่?”
ไท่ซู่จื่อพยักหน้า ริมฝีปากสีแดงเรื่อเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาสองคำ
“ฉู่ซิว~”
สิ้นเสียงนั้น ในห้องประชุมก็เกิดเสียงพูดคุยอึกทึกครึกโครมขึ้นในทันที บรรดาเหล่าผู้อาวุโสต่างพากันซุบซิบนินทา
“ยอดเขาอวิ๋นเซี่ยหรือ?”
“อืม เขาทำลายขีดจำกัดสูงสุดแห่งยุคโบราณทั้งที่อยู่เพียงขอบเขตกงล้อสมุทร แม้อต่ขอบเขตจักรพรรดิผู้ศักดิ์สิทธิ์ในอดีตกาล ยังเหยียบย่างผ่านกาลเวลามาที่นี่และเขียนลายมือของคนผู้นี้ด้วยตัวท่านเอง ช่างน่าตะลึงและน่าทึ่งยิ่งนัก”
“ครานี้แสดงพลังอันเหนือธรรมชาติในแดนลับหวงเหยา เรียกสายฟ้าลงมาได้ทั้งที่อยู่ในขอบเขตกงล้อสมุทร สังหารปีศาจนับหมื่น และช่วยศิษย์เกือบพันคน”
“ข้าได้ยินมาจากศิษย์ที่ออกมาจากแดนลับว่า เขามีนิสัยเป็นมิตรและใจกว้าง”
“แต่ดูเหมือนว่าขอบเขตการบำเพ็ญของเขาจะอยู่แค่ขอบเขตเสินเฉียวเท่านั้น”
“ขอบเขตการบำเพ็ญยังต่ำเกินไป คงไม่ค่อยเหมาะสมนัก”
หลิวเสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย เหลือบมองไปที่เฉียวเหมิงเตี๋ย แล้วกล่าวกับไท่ซู่จื่อ
“ท่านจอมเทพ ข้าคิดว่าฉู่ซิวไม่เหมาะสม ขอบเขตการบำเพ็ญของเขาต่ำเกินไป”
ผู้นำสำนักต่าง ๆ จากยอดเขาเทียนเจี้ยนต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย แม้แต่ยอดเขาเทียนซิงก็แสดงความคัดค้านอย่างอ้อม ๆ ว่า ฉู่ซิวยังมีขอบเขตการบำเพ็ญที่ต่ำเกินไป และเมื่อทุกคนคัดค้านเช่นนี้ไท่ซู่จื่อก็ไม่รู้สึกแปลกใจ นางจึงค่อย ๆ กล่าวว่า
“เขาเคยต่อสู้กับขอบเขตจักรพรรดิตอนวัยรุ่นและประสบความสำเร็จในการปีนหอเทพสถิต ทำลายขีดจำกัดสูงสุดแห่งยุคโบราณได้”
“เขาสามารถก้าวข้ามขอบเขตพลังเพื่อสังหารศัตรู เขาอาจไปถึงขอบเขตเขตต้องห้ามที่เจ็ด หรือแม้แต่แตะขอบเขตต้องห้ามที่แปด”
“เขาเรียกสายฟ้าลงมาในขอบเขตกงล้อสมุทร ซึ่งถือว่าเหนือธรรมชาติอย่างยิ่ง”
“ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเป็นกายาศักดิ์สิทธิ์โบราณของมนุษย์ หลังจากที่บรรลุความสำเร็จสูงสุดแล้ว ก็จะสามารถต่อกรกับขอบเขตจักรพรรดิได้ ทุกท่านน่าจะรู้ความหมายของเรื่องนี้ดี” เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทั่วทั้งห้องประชุมใหญ่ต่างพากันซุบซิบกันจ้าละหวั่น
“อะไรนะ! เขาเป็นกายาศักดิ์สิทธิ์โบราณงั้นหรือ?” ผู้อาวุโสบางคนร้องอุทานด้วยความตกใจ
“เขาทำลายคำสาปร่างศักดิ์สิทธิ์ได้แล้วหรือ? ไม่น่าเป็นไปได้!”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว