บันทึกตำนานยอดปรมาจารย์-บทที่ 41 ซูหรูเสวี่ย

โดย  Enjoybook

บันทึกตำนานยอดปรมาจารย์

บทที่ 41 ซูหรูเสวี่ย

บทที่ 41 ซูหรูเสวี่ย


ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมพื้นที่อย่างแยบยล


ไม่ว่าจะเป็นภายในแดนลับหวงเหยาหรือที่ลานกว้างไท่ซู่ ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบงันราวกับความตายมายืนประจันหน้า ใบหน้างามของเฉียวเหมิงเตี๋ยซีดเผือดในพริบตา นางขบริมฝีปากแน่น เรือนร่างอรชรของนางสั่นระริก


“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นได้!!” ใบหน้างดงามของไท่ซูจื่อเต็มไปด้วยความเย็นชา


“สามารถตัดค่ายกลที่ขอบเขตจักรพรรดิทรงวางไว้ได้ กระจกหินของมารตนนั้น อย่าบอกนะว่าเป็นคุณภาพจักรพรรดิ!!” โม่เฟยเหยียนพึมพำ ริมฝีปากเผยออย่างตกตะลึง


“ทำไมเขาถึงตัดค่ายกลโบราณได้?”


“พวกเจ้าย่อยยับหมดแล้ว เผ่ามารหลายแสนเช่นนี้! พวกเจ้ามีจำนวนไม่พอให้พวกข้าสู้ตัวต่อตัวด้วยว้ำ”


“หนีไม่พ้นแล้ว!!” ท่ามกลางฝูงชน


เถาเหยากับฉูเซียวหรานไม่ได้ทะเลาะกันอีก สีหน้าของทุกคนดูย่ำแย่ยิ่งนัก


“ศิษย์พี่…” เถาเหยากำหมัดแน่นกระดูกดังเปรี๊ยะ ๆ นางกัดฟันกรอดพูดทีละคำ


“หากวันนี้ศิษย์พี่ของข้าจะต้องล่วงลับเพราะไอ้พวกมารเถื่อนล่ะก็”


“วันพรุ่งนี้ข้าจะมุ่งหน้าไปทางเหนือ ตรงไปที่กำแพงเทียนหยวนและจะไม่กลับมาจนกว่าจะสังหารพวกเผ่ามารได้ล้านตน!!”


ฉู่เซียวหรานมิได้เอ่ยวาจา เพียงแต่ยืนมองอยู่อย่างเงียบ ๆ นางเชื่อว่าบุรุษผู้นั้นจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ รอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้


“ฮ่า ๆ” เซียวอี้เฟิงพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาดีใจเหลือเกินเพราะในที่สุดฉู่ซิวก็จะตายแล้ว


อีกไม่นานเขาก็จะได้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ เจียนหลิงอวิ๋นก็ยิ้มน้อย ๆ สมน้ำหน้า ผู้ที่มาเป็นศัตรูกับข้า ล้วนมิอาจมีจุดจบที่ดีได้แน่!




ณ ลานส่งตัว


ทั่วทุกบริเวณเงียบสงัดประหนึ่งความตายกำลังคืบคลานเข้ามา เพียงเสียงลาง ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ศิษย์หญิงคนหนึ่งปิดปากร้องไห้ออกมาจนตัวสั่น


ในตอนนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ต่างตัวสั่น พวกเขาเพิ่งจะเผชิญหน้ากับผู้ที่เหมือนกับมัจจุราชพร้อมที่จะพรากชีวิตของพวกเขาไป เมื่อเหม่อมองออกไปข้างนอก พวกมารที่มีใบหน้าดุร้ายเหล่านั้น รูปลักษณ์ที่น่ากลัวของพวกมัน เขี้ยวแหลมคม ทำให้พวกศิษย์ที่ไม่คุ้นเคยกับโลกภายนอกเกิดความหวาดกลัวขึ้นในทันที


โดยเฉพาะศิษย์ขอบเขตเสินเฉียวที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด เผชิญหน้ากับโม่ชาโดยตรง ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงด้วยความตกใจ หงายหลังล้มลงบนพื้น ริมฝีปากสั่นเทา ใบหน้าซีดเผือด ไม่มีความสงบนิ่งเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป


“หึหึ! หัวเราะสิ! ทำไมไม่หัวเราะล่ะ!” เสียงแหบเหมือนเลื่อยของโม่ชาดังเข้ามา ใครจะหัวเราะออกมาได้อีกล่ะ


พวกเขาอยากร้องไห้ออกมา โม่ชากวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาสีแดงฉาน หัวเราะเยาะถามอย่างเย็นชา “เจ้ามนุษย์!! พวกเจ้าอยากตายหรืออยากมีชีวิตอยู่!!”


คำถามยังคงเป็นเช่นเดิม


ในขณะนี้ เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ความรู้สึกในใจของทุกคนก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกศิษย์ที่ตกใจกลัวต่างมองหน้ากัน พวกเขาไม่อยากก้มหัวให้เผ่ามารต่อหน้าผู้อาวุโสของแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่


แต่...หากไม่ก้มหัว ย่อมต้องตาย!!


หากก้มหัว อาจจะยังมีชีวิตรอด!!


เย่ฝานกำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำ ไหล่สั่นเทา


‘เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?’ ข้าเย่ฝานมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ!! เกิดมาพร้อมโชคชะตายิ่งใหญ่ ในอนาคตก้าวไกลยิ่ง ไม่ควรมาตายที่นี่สิ!!


‘ไม่!! ข้าไม่ยอมจำนนเด็ดขาด’ แม้แต่เขาเอง ในขณะนี้ก็รู้สึกสิ้นหวังเช่นกัน ต่อให้มีผู้ที่อยู่ในขอบเขตเสินทงแม้เพียงคนเดียว กล้าหาญเผชิญหน้ากับเผ่ามารมากมายเพียงนี้ ก็คงจะเหนื่อยตายอยู่ดี


ช่างน่าสิ้นหวังยิ่งนัก!


‘ความอึดอัด ความสั่นเทา ความสิ้นหวัง’ สิ่งเหล่านี้กลืนกินอยู่ในจิตใจของพวกเขา


โม่ชาเห็นสีหน้าของพวกศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่ทั้งหมด มันก็ยิ่งหัวเราะอย่างเหิมเกริม ค่อย ๆ ทรมานเผ่ามนุษย์จนจิตใจค่อย ๆ พังทลาย สีหน้าที่สิ้นหวังเหล่านั้น ล้วนทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินยิ่งนัก


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถฆ่าพวกมนุษย์เหล่านี้ได้


เขาต้องให้แดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่เปิดประตูส่งตัว ต้องเป็นเช่นนั้นพวกเขาจึงจะสามารถอาศัยประตูส่งตัวออกจากแดนลับหวงเหยานี้ได้


ดังนั้น เขาจึงค่อย ๆ เอ่ยปาก


“หากพวกเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ ก็จงมอบคนที่มีเศษกระจกหินมา!”


“อืม! ไม่ผิดแน่!” เขาโยนเศษกระจกหินขึ้นลงอย่างสบายใจ หัวเราะเยาะอย่างเจ้าเล่ห์


“ก็คือเศษกระจกหินแบบนี้อย่างไรเล่า”


“นั่นมัน…”


ภายในค่ายกลโบราณ ทุกคนมองหน้ากัน กระซิบกระซาบ


“พวกเจ้าเคยเห็นกระจกหินแบบนั้นหรือไม่?”


“ไม่เคย ทั้งยังมิเคยได้ยินมาก่อนด้วย”


“ใครมีล่ะ!! เอาออกมามอบให้เขาไปจะได้สิ้นเรื่องเสีย” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่น นางถูกทำให้ตกใจจนแทบยืนไม่อยู่


เมื่อมองดูท่าทางของพวกเขา ฉู่ซิวก็ส่ายหน้าอย่างลับ ๆ


‘สงสัยนางจะยังเด็กเกินไป’


คิดว่าถ้าส่งตัวคนและกระจกหินไป เผ่ามารก็จะปล่อยพวกเขาไปงั้นหรือ?


ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก!!


“หึหึ! ดูเหมือนพวกเจ้าก็ไม่ได้มีใจที่พร้อมจะสละชีพเพื่อพวกพ้องสินะ”


“ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยพวกเจ้าตามหาเขาเอง” โม่ชาหัวเราะอย่างโหดเหี้ยม กำเศษกระจกหินไว้ในมือ พลางสวดคาถาบางอย่างที่ไม่รู้ จู่ ๆ กระจกหินก็เปล่งประกายระยิบระยับ


‘เขากำลังเรียกอีกครึ่งของกระจกหิน’


ในห่อที่ ฉู่ซิวแบกอยู่เศษกระจกหินเริ่มสั่นสะเทือน ส่องแสงระยิบระยับเช่นกัน


ในพริบตาก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน สายตาหลายร้อยคู่พุ่งมาที่ตัวเขาพร้อมกันโม่ชาที่มองไปยังฉู่ซิว มุมปากก็ยกยิ้มอย่างสนุกสนาน


‘เจ้าเด็กน้อย! เจ้าไม่ใช่วิ่งได้เร็วหรอกหรือ! วิ่งต่อสิ!’


ผู้คนเริ่มซุบซิบกันเบาๆ


“ฉู่ซิว…”


“ดูเหมือนว่าคนที่พวกเผ่ามารกำลังตามหา ก็คือเจ้าสินะ”


“ก็เขานั่นแหละที่นำพาพวกเผ่ามารมา จนทำให้พวกเราตกอยู่ในอันตราย”


ที่ลานอันกว้างใหญ่ไพศาล เสียงโต้เถียงอึกทึกครึกโครม บางคนคิดว่าฉู่ซิวทำให้ทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน


มีคนใจร้ายถึงขั้นพูดว่า ฉู่ซิวตั้งใจไปขโมยสมบัติของหัวหน้าใหญ่เผ่ามาร เพื่อทำลายเพื่อนร่วมสำนักอย่างเซียวอี้เฟิงและเจียนหลิงอวิ๋น การกระทำเช่นนี้ยิ่งสนับสนุนความคิดนี้อย่างรุนแรง


แต่ก็มีคนที่มีเหตุผลอยู่บ้าง คิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของฉู่ซิว เพราะใครก็ตามที่ได้สมบัติมา ก็ต้องพกติดตัวอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะโยนสมบัตินั้นทิ้งไป


สรุปก็คือ ผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา


จิตใจที่สงบนิ่งของเฉียวเหมิงเตี๋ยในตอนนี้เกิดความกังวลจนมือขาวจับกันแน่นโดยไม่รู้ตัว ไท่ซู่จื่อขมวดคิ้วเบา ๆ มองดูสถานการณ์อย่างใจเย็น


ในที่สุดเหล่าลูกศิษย์ก็ผลักให้ฉู่ซิวออกไป หรือว่าฉู่ซิวจะเลือกเสียสละตัวเอง?


แน่นอน! ในสายตาของไท่ซู่จื่อไม่ว่าฉู่ซิวจะเลือกอย่างไร ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้ หรือว่าจะต้องใช้วิธีสุดท้ายที่ขอบเขตจักรพรรดิทิ้งไว้ให้


หากเป็นเช่นนั้น แดนลับหวงเหยาต้องพังทลายแน่นอน


ลานส่งตัว มิได้เงียบสงบแต่อย่างใด


“ศิษย์พี่ฉู่ซิว ท่านเป็นศิษย์สายตรง ในเวลาเช่นนี้ ท่านจะไม่ยอมเสียสละตนเพื่อพวกข้าพี่น้องร่วมสำนักหรือ?” เสียงโกรธเคืองดังขึ้นจากกลุ่มคน และผู้ที่พูดก็หลบอยู่ในความมืด


คือหนึ่งในคนที่เจียนหลิงอวิ๋นและเซียวอี้เฟิงส่งเข้าไปในแดนลับเพื่อฆ่าฉู่ซิวในตอนแรก แต่เพราะแยกตัวออกมาเขาจึงไม่ถูกฉู่ซิวฆ่าที่หุบเขารัตติกาล


เมื่อเขาพูดจบ


ลานส่งตัวก็เดือดปุด ๆ ขึ้นมาทันที ทุกสายตาจับจ้องไปที่ฉู่ซิว หวังให้เขาก้าวออกมาและแบกรับทุกอย่างไว้เสีย


ยามนี้ เย่ฝานมองด้วยสายตาที่ซับซ้อนยิ่งนัก อยากจะพูดแต่ก็หยุด สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ เพราะมิแน่ว่าหากเขาตาย บางทีอาจจะดีกับทุกคนก็เป็นได้


“ท่านต้องการเสียสละศิษย์พี่ฉู่ซิวงั้นหรือ?” ซูหรูเสวี่ยก้าวออกมา ใบหน้างามเต็มไปด้วยความเย็นชา


“ศิษย์น้องซู เจ้าพูดเกินไปแล้ว” คนในกลุ่มคนนั้นเจ้าเล่ห์มาก ซ่อนตัวลึกยิ่งนัก ได้ยินแต่เสียงพูด แต่กลับมองไม่เห็นตัว


“ศิษย์พี่ฉู่ซิว ท่านทำเพื่อความชอบธรรม เสียสละด้วยความสมัครใจ ใช่หรือไม่?”


“ท่านจะให้ทุกคนต้องมาตายที่นี่เพราะท่านงั้นหรือ?” สิ้นเสียงกล่าว ฝูงชนก็เริ่มเคลื่อนไหวไปมา ถูกแล้ว!! เสียสละคนเดียวก็ย่อมช่วยชีวิตคนอื่นได้ทั้งหมด ช่างดีเหลือเกิน


พวกเขามองไปที่ ฉู่ซิว สายตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นคมกริบ ผู้คนเกือบพันคนส่งเสียงร้องเรียก ฉู่ซิว ฉู่ซิว หวังว่าการบีบบังคับเช่นนี้ เขาจะเสียสละตัวเองเป็นแน่!


ฉู่ซิวยังคงนิ่งเฉย ภายในจิตใจไร้ซึ่งความหวั่นไหวใดใด


ซูหรูเสวี่ยไหวตัวมาอยู่ด้านหน้าของฉู่ซิว ใช้ร่างกายบอบบางของนางขวางสายตาของทุกคน ยื่นมือชี้ไปด้านนอกอาณาเขต มองไปที่ฝูงชนพลางหัวเราะเยาะ “พวกเจ้าคิดว่าถ้าเสียสละศิษย์พี่ฉู่ซิวไป พวกเผ่ามารด้านนอกนั่นจะปล่อยพวกเราไปงั้นหรือ?”


“ข้าล่ะขำจริง ๆ ขำจนท้องแข็งเลย!!!”


“ท่าทางเช่นนี้มีแต่จะทำให้เผ่ามารดูถูกผู้บำเพ็ญมนุษย์มากเข้าไปอีกมิใช่หรือ?”


“ในฐานะผู้บำเพ็ญมนุษย์จะกลัวอะไรกับการต่อสู้? ถึงอย่างไรก็ต้องตาย!! เหตุใดไม่ตายอย่างมีเกียรติสักหน่อยเล่า!”


“เห็นลูกตาบนฟ้านั่นหรือไม่? ข้างนอกนั้น ท่านจอมเทพ ผู้อาวุโส อาจารย์ เพื่อนร่วมสำนัก ต่างก็จับตามองพวกเราอยู่!! พวกเจ้าอยากให้ท่านเหล่านั้นต้องอับอายขายหน้าอย่างนั้นหรือ?” เสียงของนางดังก้องไปทั่วลานกว้าง ทำให้ผู้คนตื่นจากภวังค์


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว