พ่อของลูกฉันเป็นประธานจอมเจ้าเล่ห์-บทที่ 55 วันเกิดของเธอคือรหัสผ่าน

โดย  ทงเทียน

พ่อของลูกฉันเป็นประธานจอมเจ้าเล่ห์

บทที่ 55 วันเกิดของเธอคือรหัสผ่าน

บทที่ 55 วันเกิดของเธอคือรหัสผ่าน


ฉิวซีอ้าปากค้างกับคำพูดของเธอ การหาลู่ทางให้โอวหยางลี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะจัดการได้ และเหอเฉ่าก็ห้ามมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นเด็ดขาด หากเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ แล้วจะเป็นเพราะเธอทำงานพลาด หรืออันอวี้หานทำงานพลาดกันแน่?


อันอวี้หานสามารถเกิดเรื่องได้ แต่จะต้องไม่ลากเธอเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเด็ดขาด


“ฉันรู้ดีอยู่แล้ว เมื่อกี้ฉันแค่พูดเล่นเท่านั้น” ฉิวซียิ้ม ดวงตาเลื่อนจากใบหน้าด้านข้างของเธอไล่ลงมาจนถึงลำคอ


อันโหรวไม่ได้กังวลแม้จะถูกจ้องมองอย่างละเอียด เพราะหลังจากที่จิ่งเป่ยเฉินจับได้ว่าสีผิวที่ข้อมือกับใบหน้าของเธอไม่เหมือนกัน เธอก็ระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบริเวณลำคอจะต้องไม่เปิดเผยให้เห็นเด็ดขาด เพราะยังคงซีดเหลืองเหมือนเดิม


เมื่อกลับถึงบริษัท อันโหรวนั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์เพื่อเลือกดูรูปภาพที่ช่างภาพเพิ่งส่งมา นอกจากรูปแรก ๆ แล้ว รูปหลัง ๆ เธอไม่พอใจเลยสักรูป


ถ้าเหอเฉ่ายังไม่ผ่านด่านนี้ ก็อย่าหวังว่าจะผ่านตาจิ่งเป่ยเฉินไปได้เลย


“เฮ้อ…” เธอถอนหายใจเบา ๆ มือข้างหนึ่งประคองขมับ ภาพเหตุการณ์ในสตูดิโอถ่ายภาพผุดขึ้นมาในหัวโดยไม่รู้ตัว


ผู้หญิงที่เขาตัดสินใจแต่งงานด้วย กลับกลายเป็นคนที่เขาไม่ใส่ใจเลยสักนิด


ฮ่า ๆ โอวหยางลี่ คุณนี่มันใจร้ายใจดำจริง ๆ ใช้เธอเสร็จแล้วก็ทิ้ง หรือว่าตระกูลเลี่ยวเองก็ต้องเจอชะตากรรมเดียวกับตระกูลอัน? หรือตอนนี้เหลือแต่เปลือกไปแล้ว


ทันใดนั้น เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เธอจึงนึกขึ้นได้ว่าต้องไปรับหยางหยางกับหน่วนหน่วน เธอรีบเก็บโต๊ะทำงานและลุกออกจากเก้าอี้ไปอย่างรวดเร็ว


“อันอวี้หาน! คุณจะไปไหน?” ฉิวซีโผล่มาพอดี มองไปที่กระเป๋าที่สะพายอยู่บนไหล่ของเธอ “จะกลับก่อนเวลา?”


“หัวหน้าฉิว ถ้าฉันจำไม่ผิด แผนกวางแผนของตระกูลจิ่งใช้ระบบการทำงานที่ยืดหยุ่น ถ้าหัวหน้าฉิวไม่เข้าใจความหมาย ก็สามารถไปถามฝ่ายบุคคลได้นะคะ ฉันไปก่อนนะคะ” พูดจบเธอก็เดินผ่านฉิวซีออกจากแผนกวางแผนไป


ฉิวซีหันไปมองตามหลังเธอด้วยความโกรธแค้น คนที่เป็นแค่สายลับ ทำไมถึงได้อวดดีขนาดนี้?


อันโหรวที่วางแผนมาอย่างดี ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมาเจอกับจิ่งเป่ยเฉินที่หน้าประตูบริษัท และถูกจับได้ว่ากลับก่อนเวลา


จิ่งเป่ยเฉินเดินเข้ามาหา ชุดสูทสีดำสั่งตัดอย่างดีขับเน้นรูปร่างที่สง่างามของเขา เสื้อเชิ้ตสีขาวเข้ากับเนคไทลายทางสีน้ำเงินเข้ม บวกกับใบหน้าหล่อเหลา ทำให้เขาดูสุขุม ลุ่มลึก และเคร่งขรึม


เขาก้าวเดินอย่างหนักแน่น แสดงถึงความมั่นใจและความทะเยอทะยาน


“อันอวี้หาน ตอนทำงานที่บริษัททีอี คุณก็เลิกงานก่อนเวลาแบบนี้เหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ


อันโหรวได้แต่คิดในใจว่าทำไมเธอไม่กลับเร็วกว่านี้อีกหน่อย จะได้ไม่ต้องมาเจอเขา


“คุณจิ่ง งานวันนี้เสร็จแล้วค่ะ และแผนกวางแผนก็ใช้ระบบการทำงานที่ยืดหยุ่น ฉันสามารถกลับได้ตามกฎของบริษัทค่ะ” เธอพยายามรักษารอยยิ้มที่เป็นทางการเอาไว้ มีท่าทีอ่อนน้อมและสุภาพเรียบร้อย สมกับเป็นภาพลักษณ์ที่ลูกน้องพึงมี


แต่เขากลับไม่พอใจเธอในแบบนี้ ยิ่งเป็นเธอในแบบนี้ จิ่งเป่ยเฉินยิ่งไม่ชอบใจ


ภาพที่เธอวิดีโอคอลกับสามีทดลองแต่งงานเมื่อคราวนั้นยังคงติดตา เธอรีบร้อนออกไปแบบนี้จะไปทำอะไร?


จิ่งเป่ยเฉินโน้มตัวลงเล็กน้อย แล้วก้มหน้าเข้าไปใกล้เธอ “มีธุระด่วนต้องคุยกัน คุณขึ้นไปกับผม”


เขาพูดจบก็ไม่รอให้เธอตอบ ก้าวเท้ามุ่งหน้าไปที่ลิฟต์


“คุณจิ่ง พรุ่งนี้ค่อยคุยกันได้ไหมคะ” เธอหันหลังมองตามแผ่นหลังของเขา พลางเอ่ยถามเสียงเบา


วันนี้เป็นวันแรกที่หยางหยางกับหน่วนหน่วนไปโรงเรียน ถ้าวันแรกเธอยังไม่ได้ไปรับ เธอคงเป็นแม่ที่ไม่มีความรับผิดชอบ


“เธอมีธุระ?” ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มจาง ๆ อย่างสังเกตได้ยาก ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินกลับมา


“แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่รบกวนคุณจิ่งให้ต้องกังวลหรอกค่ะ” เธออยากจะออกไปจากตรงนี้เท่านั้นเอง!


จิ่งเป่ยเฉิน กลับไปนั่งทำงานที่ห้องทำงานของคุณไม่ได้หรือไง?


หรือว่านี่คือพรหมลิขิตบันดาลชักพาให้มาเจอศัตรูคู่อาฆาต?


เธอเพิ่งจะขยับไปที่ประตูใหญ่ได้ก้าวเดียว จิ่งเป่ยเฉินก็เดินมาข้าง ๆ เธอราวกับเพิ่งนึกอะไรออก “วันนี้วันจันทร์ โรงเรียนอนุบาลเปิดเรียน พอดีผมว่าง ไม่มีธุระอะไร ผมไปส่งคุณเอง”


“คุณจิ่งเพิ่งจะบอกว่ามีเรื่องต้องปรึกษาไม่ใช่เหรอคะ? เรากลับไปคุยกันเดี๋ยวนี้เลยดีไหม” อันโหรวมองเขาด้วยแววตาจริงใจ แต่ในใจอยากจะเอาอะไรแทงเขาสักร้อยที


ความสามารถในการเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ คงไม่มีใครเกินคนคนนี้แล้ว


“ผมว่าที่คุณพูดก็มีเหตุผล พรุ่งนี้ค่อยคุยกันต่อ” จิ่งเป่ยเฉินพูดพลางเดินนำออกไป เสียงทุ้มต่ำของเขามีความยินดีเจืออยู่เล็กน้อย “หน่วนหน่วนต้องคิดถึงผมมากแน่ ๆ”


อันโหรวรีบเดินตามเขาไป “คุณจิ่ง ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไปเองได้”


แย่แล้ว แย่แน่ ๆ ถ้าเขาเห็นหยางหยางล่ะก็...


จิ่งเป่ยเฉินเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่แล้ว ประตูฝั่งข้างคนขับเปิดออก เธอจึงโน้มตัวลงไปมองเขา “คุณจิ่ง เรากลับไปคุยเรื่องงานที่บริษัทกันต่อเถอะค่ะ เรื่องหน่วนหน่วนฉันให้เพื่อนไปรับก็ได้”


“เพื่อนคุณไม่ใช่หลินจือเสี่ยวเหรอ เธอจะกล้าออกก่อนเวลาเหรอ?” เขาพูดพลางสตาร์ทรถ มือทั้งสองข้างจับพวงมาลัยไว้ “ขึ้นมา”


“ฉันปฏิเสธได้ไหมคะ?” เธอเกาะมือจับประตูแน่น พยายามต่อสู้ครั้งสุดท้าย


เธอไม่อยากขึ้นไป!


“คุณคิดว่าไงล่ะ?” จิ่งเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ท่าทางธรรมดา ๆ แต่แฝงไว้ด้วยความข่มขู่


เธอจำใจขึ้นรถ ในขณะที่ประตูปิดลง เธอรู้สึกราวกับอนาคตของเธอมืดมน


จิ่งเป่ยเฉินขับรถออกไป ดวงตาคมมองตรงไปข้างหน้า ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นมา “ชื่ออะไร”


“โรงเรียนอนุบาลรุ้งเจ็ดสี ถนนจือเหยียน” เสียงของเธอเบาจนแทบไม่ได้ยิน


แต่จิ่งเป่ยเฉินก็ได้ยิน บังเอิญจริง ๆ ที่เป็นโรงเรียนอนุบาลของถังซั่ว ถ้ามีเรื่องอะไรก็ให้ถังซั่วช่วยได้


อันโหรวนั่งอยู่บนเบาะหนังแท้สีน้ำตาลอย่างอึดอัด ทิวทัศน์นอกหน้าต่างไหลผ่านไป เธอกำมือแน่นจนเหงื่อซึมออกมา


ทำยังไงดี ทำยังไงดี


ตอนนี้จะให้หลินจือเสี่ยวช่วยก็ไม่ทันแล้ว เธอยื่นมือล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือ ตั้งใจจะส่งข้อความหาหยางหยาง บอกให้เขารีบพาหน่วนหน่วนออกไปก่อน


แต่ไม่นานเธอก็นึกขึ้นได้ว่าที่นั่นคือโรงเรียนอนุบาล ถ้าผู้ปกครองไม่ไปรับ ครูก็ไม่ยอมให้เด็ก ๆ กลับ


เธอตัดสินใจลองดูอีกครั้ง แต่ก็ต้องพบกับความเศร้า เพราะโทรศัพท์พัง เปิดเครื่องไม่ได้!


เธอจ้องมองไปที่หน้าจอมืดสนิท อย่างกับจะซ่อมมันด้วยพลังจิต


“ถ้าจะโทร. ใช้โทรศัพท์ผมก็ได้ อยู่ในกระเป๋ากางเกง หยิบเอาเอง” จิ่งเป่ยเฉินพูดขึ้นมา เธอจึงรีบเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า คืนนี้ค่อยไปซื้อใหม่ก็ได้


เห็นเธอไม่มีท่าทีตอบสนอง เขาก็ยกยิ้มมุมปาก สายตาเหลือบมองมาที่เธอแวบหนึ่ง “ทำไมไม่ใช้ล่ะ?”


อันโหรวเหลือบมองโทรศัพท์ที่นูนขึ้นมาบนกางเกงขายาวสูทสีดำที่แนบแน่นกับขาของเขา และรีบหันไปมองนอกหน้าต่างทันที “ไม่เป็นไรค่ะ”


โทรศัพท์ที่เขาส่งมาให้ตรงหน้า เธอยังไม่ใช้เลย แล้วจะให้ไปหยิบเองได้ยังไง


ภายในรถตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่นานก็มาถึงโรงเรียนอนุบาล มองจากระยะไกลเห็นว่าเหลือผู้ปกครองอยู่ไม่กี่คน ดูเหมือนพวกเขาจะมาสาย


คราวนี้แย่แน่ ยิ่งหนียากขึ้นไปอีก


จิ่งเป่ยเฉินจอดรถ พวกเขาทั้งสองคนลงจากรถ เดินตรงเข้าไปในโรงเรียนอนุบาล


อันโหรวร้อนใจมาก เธอก้าวเท้าเร็ว ๆ จนทิ้งเขาไว้ข้างหลัง แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของเด็กน้อยทั้งสอง เธอยอมให้จิ่งเป่ยเฉินเห็น ดีกว่าปล่อยให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับลูก


จิ่งเป่ยเฉินกวาดตามองไปรอบ ๆ โรงเรียนอนุบาลอย่างสบายอารมณ์ สภาพแวดล้อมดี อากาศบริสุทธิ์ ภาพวาดบนกำแพงสีขาวก็น่ารักสดใส ทำให้เขาอดนึกถึงหน่วนหน่วนไม่ได้


“คุณจิ่งคะ ขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมคะ” ทันใดนั้นเธอก็หันมา กางฝ่ามือขาวเนียนไปทางเขา


“ผมพึ่งพูดไปเมื่อกี้เองว่า ถ้าอยากใช้...ก็หยิบเอง” จิ่งเป่ยเฉินก้มหน้าลงเล็กน้อย บอกให้เธอลงมือเอง


เธออดทน แค่โทรศัพท์เครื่องเดียว


ในเมื่อก็นอนด้วยกันมาแล้ว แค่ล้วงกางเกงหยิบโทรศัพท์จะเป็นอะไรไป


“ขอบคุณค่ะคุณจิ่ง” เธอพูดพลางเบี่ยงเบนความสนใจ นิ้วเรียวเอื้อมเข้าไปในกระเป๋ากางเกง คลำหาโทรศัพท์เย็นเฉียบออกมาอย่างรวดเร็ว


นิ้วมืออุ่น ๆ ของเธอเพียงแค่สัมผัสเบาๆ เขาก็รู้สึกใจสั่น


จิ่งเป่ยเฉิน นายต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ!


อันโหรวกดเปิดโทรศัพท์อย่างตื่นเต้น แล้วหันกลับมาหาเขาอีกครั้ง “รหัสผ่านค่ะ”


“901001”


เขาคิดอะไรอยู่ ถึงเอาวันเกิดเธอมาตั้งรหัสผ่าน?


จิ่งเป่ยเฉินเห็นนิ้วของเธอหยุดชะงักอย่างชัดเจน จึงล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างเป็นธรรมชาติ เงียบไม่พูดอะไร




รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว