ผู้นำหมู่บ้านยิ้มเบิกบาน เขามีความสุขมากจริง ๆ ในที่สุดบ้านที่ถูกทิ้งร้างมานานกับที่ดินเปล่าก็มีที่ไปเสียที จากนี้บัญชีของหมู่บ้านก็จะมีรายได้เข้ามา!
อืม… การที่คนกลุ่มนี้เข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์
เหอจิ่วเหนียงถามขึ้น “ท่านผู้นำหมู่บ้าน ข้าขอถามหน่อยสิ ในทรัพย์สินของหมู่บ้านมีที่นาจะขายบ้างหรือไม่ หรือมีชาวบ้านคนไหนต้องการขายที่นาบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”
ผู้ดูแลชุมชนลูบเคราพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “ยึดตามกฎในตอนนี้ ที่ดินของหมู่บ้านไม่อาจขายได้ตามใจ เพราะต้องเก็บไว้จัดสรรให้ชายหนุ่มในหมู่บ้าน หากพวกเจ้าอยู่ในหมู่บ้านเกินสามปี ชายที่อยู่ในวัยหนุ่มก็จะได้รับสิทธิ์การจัดสรรที่ดิน เพียงแต่ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้เดิมทีก็มีกันเยอะ จึงแบ่งได้คนละไม่มากนัก ตอนนี้ข้าทำเรื่องขอให้ทางการจัดสรรที่ดินให้เราเพิ่มแล้วละ แต่จะอยู่ห่างไกลหน่อย สภาพดินก็ไม่ดี พวกเจ้าต้องเตรียมใจเอาไว้บ้างนะ”
ด้วยจำนวนประชากรของหมู่บ้านอันผิงที่มีมาก ผู้นำหมู่บ้านจึงต้องไปทำเรื่องขอที่ดินทำกินที่ที่ว่าการอำเภอให้กับหมู่บ้าน แต่หมู่บ้านโดยรอบย่อมไม่ยินยอมหากทางการจะขอปันส่วนของพวกเขาให้หมู่บ้านอันผิง ดังนั้นหมู่บ้านอันผิงจึงจำต้องยอมได้รับการจัดสรรที่ดินที่ค่อนข้างห่างไกล
“ส่วนคนในหมู่บ้าน ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่ามีใครต้องการขายที่นาบ้าง เดี๋ยวข้าจะช่วยพวกเจ้าถามก็แล้วกัน แล้วพวกเจ้าต้องการเท่าไรล่ะ?”
ทันทีที่ท่านผู้นำกล่าวจบ นางซุนก็ตอบออกมาเสียงดัง ท่าทีเย่อหยิ่งเฉกเช่นคนมีเงิน “ มีเท่าไรข้าซื้อหมด!”
ผู้นำหมู่บ้านหันมองหญิงชราด้วยความประหลาด “...”
นางตัดสินใจเองได้ด้วยหรือ?
เมื่อครู่หญิงสาวผู้นั้นออกความเห็นแล้วไม่มีใครคัดค้านก็น่าประหลาดใจแล้ว แต่ก็แล้วไป ทว่าตอนนี้ยังมีหญิงชราผู้นี้ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะซื้อที่นาทั้งหมดที่มีในทันทีทันใดอีกหรือ!
นี่มันอะไรกัน?
คนกลุ่มนี้ให้สตรีเป็นช้างเท้าหน้าอย่างนั้นหรือ?
ผู้เฒ่าลู่สังเกตเห็นสายตาเต็มไปด้วยคำถามของผู้นำหมู่บ้าน จึงนึกถึงสถานะผู้นำครอบครัวของตนเองขึ้นได้ รีบส่งเสียงกระแอมไอโดยพลันก่อนเอ่ยออกมา “ ใช่ ๆ ฮ่า ๆ ๆ สิ่งที่เมียข้าพูดเป็นความต้องการของข้าเอง ครอบครัวข้ามีกันหลายคน ซื้อที่นาเอาไว้เยอะ ๆ หน่อยข้าจึงจะวางใจ”
นางซุนมองผู้นำหมู่บ้านด้วยสายตาไม่พอใจ ความคิดของเจ้าเฒ่านี่ช่างน่ารังเกียจนัก! คติชายเป็นใหญ่อย่างนั้นหรือ นางนี่แหละที่เป็นคนดูแลเรื่องต่าง ๆ ในครอบครัว แล้วใครจะทำไม! หึ!
ผู้เฒ่าลู่ยกมือถูจมูกแก้ความประดักประเดิด หันมองภรรยาด้วยรอยยิ้มประจบและสายตาเอาอกเอาใจ เพื่อบอกเป็นนัยว่า ‘อยู่ข้างนอกไว้หน้าข้าสักหน่อยได้หรือไม่’
นางซุนกลอกตามองฟ้า ทำท่าทางเย่อหยิ่งไม่สนใจสายตาขอร้องของผู้เป็นสามี
สะใภ้ทั้งสามลอบหัวเราะ
ผู้นำหมู่บ้านตกตะลึงอีกครั้ง!
ลูกสะใภ้กล้าขำพ่อสามีเช่นนี้ได้ด้วยหรือ!?
ครอบครัวนี้สติฟั่นเฟือนไปแล้ว!
“อะแฮ่ม ตกลง ข้าจะช่วยพวกเจ้าถามก็แล้วกันนะ แต่พวกชาวบ้านไม่ได้มีที่ดินมากนักหรอก คนที่ยอมขายจริง ๆ ก็มีน้อย”
เมื่อได้สติกลับมาประธานหมู่บ้านก็เอ่ยทำลายบรรยากาศอันแสนกระอักกระอ่วน ครั้นนึกถึงปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญขึ้นได้ก็เอ่ยอีกครั้ง “กว่าจะสร้างบ้านเสร็จก็ใช้เวลาตั้งหลายวัน หากไม่มีที่อยู่ ลองถามหาบ้านเช่าคนในหมู่บ้านดู หลายครอบครัวมีห้องว่างให้เช่า เพียงแต่ค่าเช่าก็เป็นเรื่องที่คุยกันยากอยู่”
ห้องพักเหล่านั้นมีคนดูแล ย่อมดีกว่าบ้านร้างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่แปลกหากค่าเช่าห้องหนึ่งจะแพงกว่าบ้านร้างทั้งหลัง
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นคนตระกูลลู่ก็ต้องแยกกันอยู่ เพราะแม้แต่บ้านทั่วไปก็ยังไม่อาจรองรับจำนวนคนที่มากขนาดนี้ได้ นับประสาอะไรกับห้องห้องหนึ่ง
เหอจิ่วเหนียงขมวดคิ้ว นางไม่อยากแยกกันอยู่กับครอบครัว
อีกอย่าง รสชาติการพึ่งพาอาศัยคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างนางพึงใจเลย
ลู่จิ้งซวนเอ่ยถาม “ท่านผู้นำหมู่บ้านขอรับ ในหมู่บ้านมีที่อยู่เก่า ๆ ว่างหรือไม่ จะแบบไหนก็ได้ ราคาสูงหน่อยก็ไม่เป็นไรขอรับ”
ผู้นำหมู่บ้านส่ายหน้าอย่างจนใจ ทุกวันนี้ชาวบ้านมีกินอิ่มท้องก็ดีมากแล้ว ใครจะมีเงินเหลือเฟือไปสร้างบ้านทิ้งร้างเอาไว้กัน
“ไม่เป็นไร เรามีที่ดินสำหรับสร้างบ้านแล้ว อีกอย่างตอนนี้ไม่ใช่หน้าหนาว ทำกระท่อมมุงจากง่าย ๆ สักสองสามหลังอยู่ไปก่อนก็แล้วกัน”
เหอจิ่วเหนียงมีความคิดในใจแล้ว สร้างกระท่อมมุงจากไม่สิ้นเปลือง พวกเขามีกันหลายคน ยามเว่ยก็คงสร้างเสร็จ แค่ต้องใช้จากแห้งกับผ้าน้ำมันเยอะหน่อย ใช้จากแห้งมุงเป็นหลังคา และใช้ผ้าน้ำมันล้อมรอบต่างผนัง นับว่าเป็นกระโจมที่ประณีตเลยทีเดียว
อย่างไรเสียก็ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าชีวิตในช่วงสองเดือนกว่าที่ผ่านมาแล้ว นอนในกระท่อมมุงจากเช่นนี้สบายมาก
คนอื่นเมื่อได้ฟังความคิดของเหอจิ่วเหนียงก็เห็นด้วยทันที “นั่นสิ พวกเราทำกระท่อมมุงจากอยู่ด้วยกัน เช่นนี้ก็ไม่ต้องรบกวนพวกชาวบ้านแล้ว”
ผู้นำหมู่บ้านกลับคิดว่าพวกเขาคิดเรื่องวุ่นวาย คนกลุ่มใหญ่เช่นนี้จะอยู่กระท่อมมุงจากได้อย่างไร ลมกระโชกมาทีจะไม่ปลิวเอาหรือ
“เอ่อ…คงไม่เหมาะกระมัง?”
คนเห็นต่างเอ่ยเตือนอย่างนุ่มนวล แต่ทุกคนกลับเชื่อเหอจิ่วเหนียงอย่างสนิทใจ
ผู้เฒ่าลู่รู้สึกว่าตนไม่มีสิทธิ์มีเสียงเลย และกลัวว่าบทบาทผู้นำครอบครัวของตนจะถูกลืม จึงรีบทำหน้าที่โดยการหันไปบอกผู้นำหมู่บ้าน “รบกวนผู้นำหมู่บ้านถามชาวบ้านให้หน่อยได้หรือไม่ว่าบ้านไหนมีจากแห้งบ้าง พวกเราจะขอซื้อสักหน่อย”
ผู้นำสูงวัยหมดคำพูด เป็นเช่นนี้จริงหรือ สตรีที่ไม่รู้ประสาเหล่านี้คิดเรื่องยุ่งยากไม่พอ บุรุษพวกนี้ยังหลับหูหลับตาเออออตามพวกนางอีก ไม่ได้เรื่อง!
แต่เขาก็ไม่อาจเข้าไปก้าวก่าย จึงทำเพียงรับปาก
เหอจิ่วเหนียงควักถุงเงินออกมา ไม่เปิดดูเลยว่าในนั้นมีเงินอยู่เท่าไร ยัดทั้งถุงใส่มือผู้นำหมู่บ้านทันที และยิ้มพลางเอ่ย “รบกวนท่านผู้นำหมู่บ้านแล้ว เงินนี่ถือเสียว่าเอาไว้ซื้อขนมให้เด็ก ๆ ในบ้านท่านกินก็แล้วกันนะเจ้าคะ”
ผู้นำหมู่บ้านชั่งน้ำหนักด้วยมือ คะเนว่าข้างในคงจะเป็นเศษเหรียญทองแดง จะว่าไปก็หนักเหมือนกัน แต่อย่างมากคงไม่กี่สิบอีแปะ
นางซุนเห็นแล้วรู้สึกปวดใจ แต่ก็รู้ดีว่าสะใภ้สามทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว พวกเขาเพิ่งจะมาอยู่ ต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้มีอำนาจเอาไว้ มิเช่นนั้นต่อไปจะอยู่ในหมู่บ้านลำบาก
อีกอย่าง หากไม่มอบผลประโยชน์ให้เลย อีกฝ่ายก็คงไม่ตั้งใจจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้พวกเขา
ผู้นำหมู่บ้านรู้สึกแปลกใจมากจริง ๆ ตกลงแล้วครอบครัวนี้ใครเป็นผู้นำครอบครัวกันแน่ จากที่สังเกตพบว่าไม่มีใครคัดค้านหรือเห็นต่างความคิดของหญิงสาวผู้นี้เลย ชี้ชัดว่าความสำคัญของสตรีเพศในคนกลุ่มนี้ไม่ธรรมดา พลันนั้นเขาจึงทำทีไม่รับถุงเงินพลางกล่าว “ไม่ต้องหรอก มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”
เหอจิ่วเหนียงยิ้มตาหยีและผลักถุงเงินกลับไป “ท่านผู้นำหมู่บ้านรับเอาไว้เถอะเจ้าค่ะ วันข้างหน้าพวกเรายังต้องรบกวนท่านอีกมาก!”
สุดท้ายผู้ดูแลหมู่บ้านก็รับถุงเงินไว้ด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะรับไว้ก็แล้วกัน เอาละ เราไปกันเถอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปดูบ้านกับที่ดิน หากจะสร้างกระท่อมก็รีบ ๆ หน่อย ประเดี๋ยวจะไม่ทันคืนนี้!”
ทั้งคณะเดินออกจากลานหน้าบ้านผู้นำหมู่บ้าน ทันทีที่เปิดประตูก็พบว่าด้านนอกมีผู้คนมากมายยืนอยู่ คนเหล่านี้ล้วนเป็นชาวบ้านที่ถูกไล่ให้กลับไปเมื่อครู่ ตอนนี้พวกเขากลับมาอีกครั้ง
“มายืนทำอะไรกันตรงนี้ฮะ! มีอะไรทำก็แยกย้ายกันไปทำไป!”
เจ้าของบ้านตะคอกสลายการชุมนุมด้วยความไม่สบอารมณ์
แต่ทุกคนกลับไม่ฟังคำของผู้เป็นใหญ่ในหมู่บ้าน มีคนหนึ่งเดินเข้ามาถาม “ท่านผู้นำหมู่บ้าน พวกเราว่างไม่มีอะไรทำก็เลยมาที่นี่ นี่พวกเขาซื้อที่ดินสร้างบ้านแล้วหรือ?”
“พวกเจ้าไม่ต้องยุ่ง!”
ผู้นำหมู่บ้านถลึงตาใส่คนผู้นั้น ช่างเถอะ จะอยู่ก็อยู่ไป เขาขี้เกียจจะสนใจแล้ว จากนั้นจึงนำทางคณะตระกูลลู่ไปดูบ้าน
.
เป็นบ้านที่ถูกทิ้งร้างไม่ได้รับการดูแลมานานจริง ๆ สภาพทรุดโทรมทุกซอกหลืบ ใยแมงมุมเกาะโยงใยเต็มไปหมด หลังคาบางจุดพังลงมา หากไม่รีบจัดการ มีโอกาสพังหนักกว่านี้แน่
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ชาวตระกูลลู่ก็พึงพอใจมากแล้ว
“ในเมื่อพวกเจ้าจ่ายเงินเช่าแล้ว ข้าก็จะเก็บเงินนี้ไว้ในบัญชีของหมู่บ้าน เดี๋ยวข้าจะให้คนในหมู่บ้านมาช่วยทำความสะอาด ไม่ต้องห่วงนะ”
ผู้นำหมู่บ้านกลัวว่าพวกเขาจะไม่พอใจสภาพบ้านแล้วคิดจะต่อรองค่าเช่า จึงหัวเราะแห้ง ๆ พร้อมกล่าวเช่นนี้ออกไป
ทุกคนพยักหน้ายอมรับข้อเสนอ มีคนมาช่วยเก็บกวาดก็ดีเหมือนกัน จะได้ช่วยผ่อนแรงพวกเขาด้วย
.
.
.
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว