พ่อของลูกฉันเป็นประธานจอมเจ้าเล่ห์-บทที่ 52 คุยวิดีโอคอลกับ ‘สามี’

โดย  ทงเทียน

พ่อของลูกฉันเป็นประธานจอมเจ้าเล่ห์

บทที่ 52 คุยวิดีโอคอลกับ ‘สามี’

ได้ยินเช่นนี้ลู่กุ้ยหลานก็ยิ่งตื้นตันใจ ไม่นึกเลยว่าหลังจากออกเรือนไปแล้วจะได้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวเดิมอีกครั้ง นางจึงยินดีอย่างยิ่ง หากแต่ทางด้านนางเสิ่น ลู่กุ้ยหลานไม่อาจตัดสินใจแทนนางได้ ดังนั้นจึงถามอีกฝ่าย “น้องสะใภ้ เจ้ายินดีหรือไม่?”

นางเสิ่นก้มหน้าพลางเอ่ยตอบ “ข้าเชื่อฟังพี่สะใภ้ทุกอย่างเจ้าค่ะ”

แม้การอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวเดิมของพี่สะใภ้เป็นเรื่องไม่เหมาะสม แต่ก็รู้ดีว่านี่คือน้ำใจจากครอบครัวลู่ อีกอย่าง ตลอดทางการลี้ภัย นางประจักษ์ชัดว่าครอบครัวลู่เป็นคนดี อาศัยอยู่กับพวกเขาไม่มีเรื่องให้ไม่สบายใจแน่นอน

และที่สำคัญที่สุด นางรู้ว่าตอนนี้สถานะการเงินของครอบครัวลู่มั่นคงแล้ว พึ่งพาพวกเขาไปก่อนอาจเป็นการเปิดโอกาสให้หนทางชีวิตในวันข้างหน้าของครอบครัวนางดีขึ้นก็ได้

เมื่อได้คำตอบแล้วว่าน้องสะใภ้เองก็คิดเหมือนกับตน ลู่กุ้ยหลานจึงกล่าวกับมารดา “ตกลงเจ้าค่ะ พวกเราจะอยู่กับทุกคน รอให้ตั้งตัวได้ มีเงินพอแล้ว พวกเราจะย้ายออกไปอยู่กันเองเจ้าค่ะ”

นางซุนแสร้งถามบุตรสาวด้วยสีหน้าเช่นเดียวกับที่บุตรสาวใช้ถามตนก่อนหน้านี้ “เจ้าตัดสินใจเองได้หรือ ไม่ไปถามพ่อหู่จือก่อนหรือ?”

ลู่กุ้ยหลานนึกไม่ถึงว่ามารดาจะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้ ทันใดนั้นจึงหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าตัดสินใจเองได้ เขาไม่มีทางคัดค้านหรอก ถึงอย่างไรพวกเราก็ใช่ว่าจะอาศัยอยู่กับพวกท่านตลอดไป”

ความคิดของลู่กุ้ยหลานเหมือนกับเหอจิ่วเหนียง หากยืมเงินครอบครัวของท่านแม่สร้างบ้านหลังคามุงจากในตอนนี้ ครอบครัวก็ไม่อาจหลุดพ้นจากความลำบาก มิสู้อาศัยอยู่กับครอบครัวเดิมก่อน รอให้มีเงินสักก้อนแล้วค่อยออกไปตั้งตัว เช่นนี้ชีวิตจึงจะมองเห็นความหวัง

อีกอย่าง ความสัมพันธ์ของนางและครอบครัวเดิมก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกัน จึงไม่มีอะไรให้ลำบากใจ

นางซุนพยักหน้า จากนั้นไปคุยเรื่องรูปแบบการสร้างบ้านของครอบครัวตนกับผู้นำหมู่บ้าน

ท่านผู้นำได้ยินดังนั้นก็หันไปมองผู้เฒ่าลู่ตามสัญชาตญาณ ชายชรามีสีหน้าจนปัญญา รู้สึกว่าตนไร้ซึ่งอำนาจในครอบครัวไปโดยสมบูรณ์ พวกลูกสะใภ้จะปรึกษาเรื่องอะไรก็ไปปรึกษากับภรรยาเขาทุกเรื่อง ความเป็นผู้นำของเขาไม่หลงเหลืออีกแล้ว

เห็นอากัปกิริยาสิ้งหวัง ผู้นำหมู่บ้านก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน ขณะที่เขากำลังจะถาม เหอจิ่วเหนียงก็เอ่ยเสียก่อน “รบกวนท่านผู้นำหมู่บ้านช่วยหาผู้ชายแข็งแรง ๆ และซื่อสัตย์มาช่วยพวกเราสร้างบ้านได้หรือไม่เจ้าคะ ยิ่งเยอะยิ่งดี ค่าแรงวันละสิบห้าอีแปะ ไม่มีอาหารให้ ท่านคิดว่าราคานี้เหมาะสมหรือไม่?”

ค่าแรงจำนวนนี้เหอจิ่วเหนียงอ้างอิงจากการที่เห็นผู้ใหญ่บ้านจ้างคนทำความสะอาดด้วยเงินห้าอีแปะ ในยุคนี้ค่าแรงต่ำ การทำความสะอาดใช้แรงไม่มาก ค่าแรงห้าอีแปะเหมาะสมแล้ว แต่การสร้างบ้านต้องใช้พละกำลังมหาศาล ดังนั้นนางจึงเสนอราคาสิบห้าอีแปะ

ผู้นำและเหล่าชาวบ้านจึงหันไปปรึกษากัน ไปเป็นคนงานรับจ้างในอำเภอได้ค่าแรงวันละยี่สิบอีแปะ ไม่มีอาหารให้เหมือนกัน แต่การเดินทางนั้นนอกจากระยะทางไกลแล้วยังเสียเวลาอีก บางครั้งยังต้องควักเงินตัวเองซื้อข้าวกิน แต่หากรับจ้างในหมู่บ้านก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง อีกทั้งยังกลับไปกินข้าวที่บ้านได้ เมื่อพิจารณาแล้ว ค่าจ้างสิบห้าอีแปะต่อวันก็ไม่เลวเลย พวกเขาจึงพอใจมาก

เนื่องจากก่อนหน้านี้ทุกคนเห็นการกระทำของแม่เฒ่าจางเป็นตัวอย่าง ดังนั้นในตอนนี้ทุกคนจึงไม่กล้าปริปากเสนอตัว ทำได้เพียงหันไปมองผู้นำหมู่บ้านตาปริบ ๆ หวังว่าจะเป็นคนที่ถูกเลือก

เห็นชัดว่าผู้นำหมู่บ้านก็เป็นคนที่นึกถึงตัวเองก่อนเหมือนกัน เขาเรียกบุตรชายทั้งสาม และลูกเขยทั้งสองของตัวเองออกมาก่อนโดยไม่ลังเล จากนั้นเลือกชาวบ้านที่ตั้งใจทำงานอย่างจริงจังกลุ่มหนึ่งออกมา รับเงินคนเขามาแล้ว จะจัดการธุระให้แบบขอไปทีได้อย่างไร

ผู้มีอำนาจสูงสุดในหมู่บ้านมองบรรดาคนที่ถูกเลือกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พลางให้โอวาท “ในเมื่อพวกเจ้าถูกเลือกแล้ว ก็จงตั้งใจทำงานด้วยความซื่อสัตย์ หากข้ารู้ว่าใครเอาเปรียบ ปัดความรับผิดชอบ หรือแอบอู้งานละก็ หลังจากนี้อย่าคิดว่าข้าจะเลือกให้ทำงานไหนอีก! ได้ยินหรือไม่?”

“ได้ยินแล้วขอรับ!”

.


ไม่นานัก เหล่าสตรีที่กลับไปเอาใบจากแห้งที่บ้านก็กลับมา เนื่องจากมีหลายหลังคาเรือน เมื่อนำใบจากที่ได้มากองรวมกันแล้วจึงมีจำนวนไม่น้อยเลย หลังจากที่พวกซุ่ยเอ๋อร์แบ่งเอาไปตามที่ตนเองต้องการใช้แล้ว ส่วนที่เหลือทั้งหมดครอบครัวลู่จึงซื้อไว้

“แค่นี้คงยังไม่พอกระมัง?”

ซุ่ยเอ๋อร์มองกองใบจากแห้งตรงหน้าครอบครัวลู่ก็รู้สึกเกรงใจ จึงคิดจะแบ่งขายของตนให้อีกฝ่ายส่วนหนึ่ง

เหอจิ่วเหนียงเอ่ย “เท่านี้ก็พอแล้ว แค่ใช้มุงพออยู่ชั่วคราว ข้าตั้งใจจะสร้างบ้านด้วยหลังคากระเบื้องอยู่แล้วละ”

ทุกคนรู้ว่าครอบครัวลู่มีเงินจึงไม่รู้สึกตกใจ

ชาวบ้านหลายคนล้วนได้รับเงินจากการขายใบจากแห้งกันทั่วหน้า บุรุษแข็งแรงหลายบ้านก็ถูกเลือกให้ช่วยสร้างบ้าน ตอนนี้เป็นช่วงหลังการเก็บเกี่ยว ครอบครัวลู่สร้างบ้านตอนนี้ก็เท่ากับสร้างรายได้ให้พวกเขา ดังนั้นทุกคนจึงยินดีปรีดาอย่างมาก

มีเพียงครอบครัวส่วนน้อยที่เกียจคร้านเป็นอาจิณ ในบ้านจึงไม่มีใบจากแห้งมาขาย ทั้งยังไม่ถูกเลือกให้เป็นแรงงาน จึงพากันเดินกลับไปด้วยความไม่พอใจ

เมื่อได้ที่ดินสร้างบ้านแล้วก็ต้องจ่ายเงินค่าแรงและทำสัญญา ผู้นำหมู่บ้านเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว ไม่นานนักการทำสัญญาก็เสร็จสิ้น ผู้นำหมู่บ้านส่งมอบสัญญาให้กับผู้นำแต่ละครอบครัว ครั้งนี้นางซุนมอบบทบาทผู้นำครอบครัวให้กับผู้เฒ่าลู่อย่างเต็มรูปแบบโดยให้เขาเป็นผู้จัดการเรื่องสัญญาและให้เขาเป็นคนเก็บไว้ จากนั้นนำเงินให้ผู้เฒ่าลู่เป็นผู้มอบให้ผู้นำหมู่บ้าน เปิดโอกาสให้เขาแสดงอำนาจของผู้นำครอบครัวตัวจริงเสียงจริงออกมาอย่างเต็มที่

ผู้นำหมู่บ้านคิดในใจ ‘เช่นนั้นถือเสียว่าข้าไม่เห็น ว่าถุงเงินนี่แม่เฒ่าลู่เป็นคนควักออกมาก็แล้วกัน อืม ๆ ครอบครัวพวกเจ้าสบายใจก็ดีแล้ว ๆ’

เรื่องสร้างบ้านจะรีบร้อนไม่ได้เด็ดขาด เรื่องอุปกรณ์เครื่องมือก่อสร้างต้องเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน แต่การสร้างกระท่อมมุงจากต้องรีบเร่งมือ ดังนั้นบรรดาชายหนุ่มที่ถูกเลือกจึงเริ่มงานกันทันที แบ่งคนกลุ่มหนึ่งขึ้นเขาไปตัดไม้ คนอีกกลุ่มเริ่มลงมือสร้าง ทุกคนต่างรับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง และทำงานด้วยความสามัคคี

พวกซุ่ยเอ๋อร์และคนอื่น ๆ สร้างเพียงบ้านดินมุงจากจึงไม่จำเป็นต้องจ้างคนในหมู่บ้านมาช่วย พวกเขาจะช่วยกันสร้างให้เสร็จไปทีละครอบครัว จากนั้นจึงจะไปช่วยครอบครัวลู่

นับตั้งแต่ปรึกษากันจนสร้างเสร็จ พวกเขาจะไม่พูดถึงเรื่องค่าแรงเด็ดขาด เพราะเมื่อเทียบกับที่ครอบครัวลู่ช่วยเหลือพวกเขามาตลอดแล้ว อีกทั้งพวกเขายังติดหนี้ครอบครัวลู่อยู่ เรื่องนั้นจึงไม่ควรพูดออกมาเลย พวกเขาแค่อยากใช้การกระทำของตนเองตอบแทนน้ำใจที่ครอบครัวลู่มีต่อพวกเขาเท่านั้น

ลู่จิ้งซวน ลู่เหอหรง และสองพี่น้องจางซงจางหย่งก็ช่วยเหล่าคนงานทำกระท่อมของครอบครัวเช่นกัน พวกเขาแค่อยากให้มีหลังคาคลุมก็พอ คนหลายคนช่วยกันคนละไม้ละมือ ก่อนฟ้ามืดต้องเสร็จแน่นอน

เหอจิ่วเหนียงส่งตัวโก่วเอ๋อร์ให้นางซุน “ท่านแม่ ท่านคอยดูแลทางนี้นะเจ้าคะ ข้าจะเข้าอำเภอสักหน่อย ไปหาซื้อผ้าน้ำมันกลับมา”

“จะไปซื้อของแพง ๆ พวกนั้นทำไมกัน ฝนไม่ได้ตกเสียหน่อย!”

นับตั้งแต่วันนี้ไปจะต้องมีรายจ่ายจำนวนมากทุกวัน แค่คิดหญิงชราผู้เป็นกระเป๋าเงินของบ้านก็รู้สึกปวดใจแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องซื้อของที่ใช้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวพวกนั้นเลย

เหอจิ่วเหนียงไม่ได้อธิบายให้อีกฝ่ายฟังมากนัก เพียงบอกสั้น ๆ “มันได้ใช้ประโยชน์แน่นอน ถึงเวลาท่านแม่จะรู้เองเจ้าค่ะ”

กล่าวจบหญิงสาวก็แกะเชือกผูกม้าออก กระโดดควบหลังอาชาแล้วพุ่งทะยานออกไปด้วยความรวดเร็ว

ชาวหมู่บ้านอันผิงเห็นภาพนั้นก็ตกตะลึงจนตาค้าง สตรีผู้นี้มีทักษะการขี่ม้ายอดเยี่ยมเพียงนี้เลยหรือ?

มิน่าล่ะ เหตุใดทุกเรื่องในครอบครัวนางถึงเป็นคนตัดสินใจตลอด ที่แท้ก็เป็นคนมีความสามารถนี่เอง!

เมื่อวิเคราะห์จากทุกสิ่งที่ได้รับรู้ด้วยตัวเอง ตอนนี้พวกชาวบ้านจึงยกย่องเหอจิ่วเหนียงมากขึ้น

.


หลังจากผู้นำหมู่บ้านจัดการเรื่องต่าง ๆ เสร็จสิ้นก็กลับมาถึงบ้าน ตอนนี้เขาจึงมีเวลาควักถุงเงินที่เหอจิ่วเหนียงมอบให้ออกมานับ

“ทั้งหมดหกสิบแปดอีแปะ นึกไม่ถึงเลยว่าครอบครัวลู่จะใจกว้างถึงเพียงนี้!”

นางหลิว ภรรยาผู้นำหมู่บ้านอุทานด้วยความตกใจ ผู้นำหมู่บ้านพยักหน้า บอกชัดว่าพึงพอใจมาก “เรื่องใจกว้างก็อีกเรื่อง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขามีเงินแต่กลับไม่ดูถูกคน ปฏิบัติต่อข้าและทุกคนในหมู่บ้านด้วยความถ่อมตน คนเช่นนี้ต่อให้เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านอีกหลาย ๆ ครอบครัวข้าก็ยินดีมาก!”

ชายสูงวัยยิ้มด้วยความเบิกบานใจ และเอ่ยต่อ “ครอบครัวพวกเขาจะสร้างบ้านอิฐหลังคามุงกระเบื้องด้วยเงินนับร้อยตำลึง เจ้าคอยบอกให้พวกเจ้าใหญ่ตั้งใจทำงานให้ดี อย่าก่อเรื่องวุ่นวายให้ข้าเด็ดขาด อีกสองสามวันข้าจะไปส่งรายงานที่อำเภอ ข้าจะสืบความเป็นมาของตระกูลลู่นี่สักหน่อย”

นางหลิวรับปาก และเก็บถุงเงินไว้ รอยยิ้มที่มีก็ยิ่งกว้างขึ้น

.

.

.


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว