Love Over Size : รักเธอเกินพิกัด-ตอนที่ 66 เราเลิกกันเถอะนะ

โดย  chocmilk

Love Over Size : รักเธอเกินพิกัด

ตอนที่ 66 เราเลิกกันเถอะนะ

รุ่งขึ้นพงศ์ศักดิ์รีบขับรถมารับธรรมธรทันทีที่มาถึงกรุงเทพฯ ม่อนฟ้าเดินมาส่งร่างงัวเงียที่ยังไม่ได้สติดีของธรรมธรขึ้นรถ

“จะไม่เป็นอะไรแน่นะคะ” ม่อนฟ้าถามเมื่อเห็นสภาพของเพื่อนซึ่งกำลังจะกลับบ้าน

“สายป่านนี้ไม่มีใครอยู่บ้านแล้วละครับ ไม่ต้องห่วงนะครับ” พงศ์ศักดิ์ยิ้มตอบก่อนถามซ้ำขึ้นอีกครั้ง

“แน่ใจนะครับว่าจะไม่กลับไปพร้อมกัน”

“ค่ะ ม่อนว่าจะรอพบเพื่อนก่อนน่ะค่ะ” หญิงสาวซ่อนความกังวลไว้ไม่ให้ชายสูงวัยเห็น

พงศ์ศักดิ์กล่าวลาแล้วจึงขับรถออกไป ม่อนฟ้ามองรถคันหรูเคลื่อนจนเลี้ยวลับสายตาไป ดวงตาคู่โตจึงหันกลับมายังอะพาร์ตเมนต์เบื้องหลัง บนชั้นห้าห้องติดบันได เธอยังรอเขาอยู่

“อ้าว ยังไม่กลับอีกหรอ” ชายซึ่งใจดีอาสาขี่รถไปส่งเธอเมื่อวานถามขึ้นเมื่อเห็นม่อนฟ้าออกมายืนหน้าระเบียงห้อง

“รอซินหมิงน่ะค่ะ” ม่อนฟ้าตอบมีหางเสียงเมื่อดูแล้วชายตรงหน้าน่าจะมีอายุที่มากกว่า

“โอ๊ย ไม่ต้องรอหรอก รายนั้นไปๆ มาๆ ไม่เคยเป็นเวลา เผลอๆ วันนี้อาจจะไม่กลับมาแล้วมั้ง”

“หรอคะ” ม่อนฟ้าตอบรับเสียงอ่อน

แม้จะรู้อย่างนั้นแต่ม่อนฟ้าก็ยังรอเขาจนกระทั่งตกเย็น หญิงสาวจึงตัดใจกลับบ้าน


ม่อนฟ้าเลี่ยงที่จะเล่าความจริงทั้งหมดให้แม่ฟังโดยเลือกบอกว่าทำงานจนดึกเลยนอนค้างบ้านเพื่อนผู้หญิงในห้องแทน สุดาเองไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรเพราะบุตรสาวได้โทรมาขออนุญาตแล้ว เมื่อเห็นม่อนฟ้ามีท่าทางเหนื่อยล้ากลับมาจึงคิดว่าลูกคงทำงานหนักอย่างที่พูดไว้จริงๆ หล่อนจึงปล่อยให้ลูกขึ้นไปพักผ่อนบนห้องโดยไม่ซักไซ้ถามอะไรให้มากความ

“แน่ใจนะว่าไปทำงานไหว” สุดาถามขึ้นเมื่อเห็นม่อนฟ้าเดินลงบันไดมา

“จ้ะ ม่อนเกรงใจเขา เมื่อวานก็ลางานมาแล้วหนึ่งวัน”

อาจด้วยเพราะยังไม่หายคิดมากเรื่องซินหมิง รอยยิ้มที่ควรสดใสเหมือนเคยเลยดูเฝื่อนผิดปกติ สุดาเดินเข้าไปลูบเรือนผมของบุตรสาวอย่างเป็นห่วง

“เราไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้ก็ได้ เรื่องเงินเดี๋ยวแม่...”

“แม่ เราตกลงกันเรื่องนี้แล้วนะ” ม่อนฟ้ารีบดึงมือกร้านมากุมไว้

“ม่อนไหว แล้วม่อนก็เต็มใจทำด้วย วันนี้แค่เพลียนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ม่อนฟ้ายื่นหน้าไปหอมแก้มผู้เป็นแม่ฟอดใหญ่พร้อมฉีกยิ้มกว้าง

“ม่อนไปก่อนนะ”

ม่อนฟ้าทำทีร่าเริงแล้วเดินออกจากร้าน หญิงสาวรู้ว่าผู้เป็นแม่ต้องยืนมองเธออยู่จนลับสายตาแน่ เธอจึงเดินไปโดยไม่หันกลับมามองด้วยไม่สามารถปั้นหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ ทั้งที่ในใจหนักอึ้งด้วยเรื่องมากมายจนแทบก้าวขาไม่ไหว


ตอนแรกม่อนฟ้ากลัดกลุ้มใจเรื่องธรรมธร แต่แทนที่เธอจะสบายใจขึ้นเมื่อสามารถติดต่อเขาได้ หญิงสาวกลับต้องมากลุ้มใจเรื่องของซินหมิงแทน และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะทำม่อนฟ้าจนปัญญาจริงๆ ลำพังหากเป็นเพื่อนชายคนอื่นม่อนฟ้ายังพอรู้ว่าจะทำยังไงให้อีกฝ่ายหายโกรธ แต่สำหรับซินหมิงมันไม่ใช่อย่างนั้น เธอกับเขาถือว่ารู้จักกันผิวเผิน เราต่างไม่รู้เรื่องอะไรของกันและกันเลย แม้จะผจญเรื่องเสี่ยงอันตรายมาด้วยกันบ่อยครั้งก็ตามที มีเพียงอย่างเดียวที่เธอรู้ก็คือเขาเกลียดธรรมธรมากและเธอก็ได้ทำเรื่องที่เขาเกลียดที่สุดลงไปแล้ว

“ถ้าเป็นเธอ เธอจะทำยังไง” ม่อนฟ้าถามหมวยเพื่อนซึ่งให้คำปรึกษาเธอได้ทุกเรื่อง ม่อนฟ้าจึงมั่นใจว่าครั้งนี้เธอจะได้รับคำแนะนำดีๆ เหมือนทุกครั้ง

“ไม่เห็นจะยาก ก็ไปขอโทษเขาสิ” หมวยตอบพลางเช็ดโต๊ะไปด้วย

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ”

“ทำไม”

ม่อนฟ้าไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานและเมื่อคืนให้หมวยฟัง เธอเล่าเพียงแต่ว่าเธอทำเรื่องที่ทำให้ซินหมิงโกรธเอามากๆ ซึ่งหมวยเองก็ไม่ได้ซักไซ้ถามอะไร ม่อนฟ้าจึงสบายใจเสมอเวลามาปรึกษาเพื่อนคนนี้

“ก็ฉันทั้งผิดคำพูด ผิดสัญญา แถมยังทำเรื่องที่เขาไม่ชอบที่สุดอีก ตอนนี้เขาคงไม่อยากมองหน้าฉันด้วยซ้ำ” ม่อนฟ้านึกถึงตอนที่เขาเดินออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่เหลียวกลับมามองแล้วได้แต่ทอดถอนใจ เธอจะทำยังไงดี

“งั้นก็ขอโทษแบบไม่ต้องให้เขาเห็นหน้าสิ”

“ไม่เห็นหน้า? ยังไง”

ม่อนฟ้าหันมองเพื่อนซึ่งให้คำแนะนำ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยกไหล่ทั้งสองเหมือนไม่รู้เช่นกัน ม่อนฟ้าเลยเริ่มไม่แน่ใจว่าที่หมวยพูดมานั้นคือคำแนะนำจริงๆ หรือเพื่อนเพียงพูดลอยๆ ขึ้นมากันแน่

แล้วจะขอโทษเขายังไงล่ะ โอ๊ยยยย

ม่อนฟ้ายกมือขึ้นยีหัวตัวเองแล้วทิ้งศีรษะอันหนักอึ้งลงบนโต๊ะที่เพิ่งเช็ดเสร็จอย่างคิดไม่ตก

ตี๊ด~ตี๊ด~

โทรศัพท์มือถือในชุดผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้มสั่นเตือน ม่อนฟ้าซึ่งยังคงอยู่ท่าเดิมล้วงมือขึ้นมากดรับโดยไม่สนใจดูชื่อบนหน้าจอด้วยซ้ำ เวลาเครียดแล้วพลังงานในตัวเธอมักจะถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้เสมอเลย

“ฮัลโหล” ม่อนฟ้ากรอกเสียงลงไปก่อนที่ร่างซึ่งทิ้งตัวหมดแรงจะดีดตัวขึ้นในทันใด

“ธรรม์”


“โทษทีนะที่ชวนแกออกมาหลังเลิกงานแบบนี้” ธรรมธรบอกเพื่อนสาวทันทีที่เธอหย่อนก้นลงนั่งข้างเขาในสวนสาธารณะใกล้บ้าน

“ไม่เป็นไร” ม่อนฟ้าตอบพลางลอบมองใบหน้าซึ่งทอดมองไปยังผิวน้ำมืดสลัวตรงหน้า แสงไฟส่องสว่างให้เห็นความเศร้าสร้อยในดวงตาคู่นั้น ดวงตาซึ่งไม่เคยมองมาทางนี้ แม้ม่อนฟ้าจะพยายามมองไปอย่างไม่ละสายตาก็ตาม

ความเงียบเข้าคั่นกลางบทสนทนาของทั้งคู่ ก่อนที่ธรรมธรจะเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยขึ้นก่อน

“เมื่อคืนสภาพฉันคงแย่มากเลยสินะ”

“เออ มาก” ม่อนฟ้าตอบตามตรง ดวงตาคู่โตหันไปทอดมองผืนน้ำ

ธรรมธรได้แต่หัวเราะเยาะตัวเองในลำคอ

“ขอบใจนะม่อน”

“อืม ไม่เป็นไร” ม่อนฟ้าตอบรับ สายตายังคงมองตรงไปข้างหน้าแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาก็ตาม

เธอกลัว กลัวว่าหากหันไปมองเขา เธอจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เหมือนเมื่อคืนที่เธอเกือบ... แค่คิดม่อนฟ้าก็โกรธตัวเองแทบแย่แล้ว

เมื่อเห็นเพื่อนสาวทำหน้าบู้บี้คล้ายหงุดหงิดอะไรบางอย่างเขาจึงเอ่ยปากถามขึ้น

“เป็นอะไร”

“ห๊ะ” ม่อนฟ้าหันมาถามทันทีอย่างลืมตัว แต่เมื่อสบสายตาซึ่งจ้องมองมาเธอก็รีบหันกลับไปอย่างไว

“เปล่า” หญิงสาวปฏิเสธ

“แน่นะ”

“อือ ไม่ต้องมาห่วงฉันหรอก ห่วงตัวแกเองเหอะ หายเศร้าแล้วหรือไง” ม่อนฟ้าแสร้งเปลี่ยนเรื่อง

“ยัง” ธรรมธรตอบอย่างเซ็งๆ

“เคยแต่ทำคนอื่นอกหัก พอโดนหักอกเองบ้างโคตรเจ็บเลยว่ะ” เขาว่าพลางทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนล้า

ดวงตาคู่โตเหลียวมองคนข้างกายแวบหนึ่ง ม่อนฟ้าอยากรู้เหลือเกินว่าความเจ็บปวดของเขามันจะเท่ากับความเจ็บปวดของเธอหรือเปล่านะ

“อกหักแค่นี้ไม่ทำให้ตายหรอกน่า” ม่อนฟ้าบอกอีกฝ่ายพร้อมกับบอกเตือนตัวเองเช่นกัน

ใช่ มันไม่เคยมีใครตายเพราะอกหักซะหน่อย

“แกรู้ได้ไง ฉันนี่แหละกำลังจะตาย”

“ถ้าแกตาย มันก็ตายเพราะแกไม่รักตัวเองต่างหาก ไม่ใช่เพราะคนอื่นไม่รักแก”

ถึงม่อนฟ้าจะไม่เคยมีความรัก แต่เธอก็เชื่อมั่นมาเสมอว่าความรักคือสิ่งสวยงาม สิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกและใครสักคนหนึ่งได้ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเมื่อมีความรักไม่ใช่เพราะความรักหรอก แต่เกิดจากความคาดหวังต่างหาก หวังว่าความรักจะคงอยู่ตลอดไป หวังว่าอีกฝ่ายจะหันกลับมารักตนบ้างเหมือนอย่างที่เธอหวังอยู่ในตอนนี้ หากจะตายก็คงเป็นเพราะเราไม่ยอมรับความจริงมากกว่า

ธรรมธรจ้องมองเพื่อนสาวอย่างประหลาดใจ ปกติม่อนฟ้าจะเป็นฝ่ายตำหนิไม่ก็ตักเตือนเขาในยามที่ทำอะไรตามอำเภอใจจนทำร้ายความรู้สึกของคนอื่น แต่ในยามที่เขาเป็นฝ่ายถูกกระทำเสียเองคราวนี้ เธอก็ยังสามารถปลอบใจเขาได้ทั้งที่ตัวเองไม่มีประสบการณ์เรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำจนเขาจึงอดทึ่งไม่ได้

“พูดอย่างกับเคยอกหัก เคยมีความรักกับเขาหรือไง” ธรรมธรแกล้งถาม

“ทำไมจะไม่เคย ฉันก็เป็นอยู่นี่ไง” มีแต่เขาเท่านั้นแหละที่ไม่รู้อะไรเลย ม่อนฟ้าหันไปตั้งใจจะต่อว่าเขาชุดใหญ่ แต่เมื่อหันมาแล้วพบว่าธรรมธร

กำลังจ้องมองเขม็งมา ทันใดนั้นม่อนฟ้าก็พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ทันทีว่าตัวเองพลาดไปแล้ว

“นี่แกอกหักหรอ” ธรรมธรถามด้วยความตกใจ

“ปะ...เปล่า” ม่อนฟ้ารีบปฏิเสธอย่างลนลาน

“โกหก แกกับฉันไม่เคยมีความลับต่อกัน บอกมาใคร” ธรรมธรรุกถาม

เพื่อนรักของเขามีความรักครั้งแรกทั้งทีทำไมเขาถึงไม่รู้ แล้วยิ่งไอ้หมอนั่นซึ่งเป็นใครไม่รู้มาทำเพื่อนตนเสียใจแบบนี้ด้วยแล้ว ธรรมธรยอมไม่ได้ ยังไงเรื่องนี้เขาก็ต้องรู้ หากเป็นผู้ชายไม่ดีเขาจะได้จัดการเอาคืนสักทีสองทีให้มันได้รู้กันไป มาทำกับเพื่อนรักของเขาอย่างนี้ได้อย่างไร

“แกไม่ต้องรู้หรอก” ม่อนฟ้าตอบปัดไป รู้ว่าปฏิเสธไปธรรมธรก็ไม่เชื่ออยู่ดี ปล่อยให้ชายคนนั้นเป็นปริศนาไปท่าจะดีกว่า

“ต้องรู้ดิวะ ใคร บอกมา”

ม่อนฟ้ามองหน้าธรรมธรที่ยังคงต้องการอยากรู้อย่างลำบากใจ

“แกอยากรู้จริงๆ หรอ”

ธรรมธรพยักหน้ายืนกรานหนักแน่น ม่อนฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกเรียกความกล้า

เอาวะ เป็นไงเป็นกัน!

“คนที่ฉันชอบ เขาคนนั้น...”

หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง หากเขามองลึกเข้ามาในดวงตาคู่นี้เขาอาจจะได้คำตอบโดยไม่ต้องรอฟังคำตอบจากปากของเธอก็ได้ แต่เพราะเขาไม่เคยมอง ไม่สิ เขามอง ตอนนี้เขาก็มองอยู่ แต่เขาไม่เคยคิดสนใจมันต่างหาก เขาเลยไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่เขาจะรับรู้มัน

ดวงตาคู่โตกดเปลือกตาลงอย่างตัดสินใจ

“เอาไว้ฉันค่อยบอกแกทีหลังแล้วกัน”

ร่างเจ้าเนื้อลุกพรวดขึ้นทันทีโดยไม่ให้ธรรมธรทันตั้งตัว

“แกดีขึ้นแล้ว งั้นฉันกลับก่อนนะ”

“เฮ้ย เดี๋ยวม่อน”

ม่อนฟ้าเดินจ้ำอ้าวต่อไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกทัดทานของเพื่อน แค่นี้เธอก็ไม่รู้จะมองหน้าเขายังไงแล้ว ขอเวลาไปตั้งหลักก่อนแล้วกัน

ความรักไม่เคยทำให้ใครตายจริงๆ ใช่ไหม หญิงสาวยกมือขึ้นทาบหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองเพื่อถามคำถามนี้ให้มั่นใจ และมีเพียงจังหวะการเต้นของหัวใจเท่านั้นที่บอกเธอว่าตอนนี้เธอยังมีชีวิตอยู่


นี่ล่ะมั้งคำโบราณที่ว่า ‘ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก’

ลำพังแค่ความรู้สึกวุ่นวายใจของตัวเองก็ทำม่อนฟ้าเอาตัวแทบไม่รอด ไหนจะเรื่องซินหมิง แถมเมื่อคืนเธอก็ดันปล่อยชนวนระเบิดฆ่าตัวเองอีก มาโรงเรียนเธอยังต้องเจอปัญหาทะเลาะกันของเพื่อนทั้งสองอย่างธรรมธรกับชาติชัย ชีวิตเธอมันจะยุ่งเหยิงเกินไปแล้วนะ

“เฮ้ยชาติ นั่งนี่” ภูวดลกวักมือเรียกชาติชัยที่กำลังถือจานข้าวอยู่

ชาติชัยเหลือบมองธรรมธรซึ่งนั่งอยู่ข้างม่อนฟ้าแล้วตั้งท่าจะเดินผ่านไป ในจังหวะนั้นเขาหันไปเห็นซินหมิงกำลังเดินหาที่นั่งอยู่พอดี ชาติชัยเลยเอ่ยทักขึ้น

“ซินหมิง”

เจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียก แวบหนึ่งที่ม่อนฟ้าเห็นว่าสายตาคู่คมนั้นมองผ่านเธอไป

“นั่งด้วยกันสิ”

คำชวนของชาติชัยทำเอาทั้งม่อนฟ้า ธรรมธร และภูวดลชะงักในทันใด

ซินหมิงมองเพื่อนร่วมสายชั้นทั้งสามคนซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วอย่างลังเลใจ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงรีบรับคำชวนและนั่งลอยหน้าลอยตาให้ธรรมธรเจ็บใจเล่น ทว่าครั้งนี้คนที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเขากลับไม่ใช่ธรรมธร แต่เป็นหญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มนั้นต่างหาก

“ไม่อ่ะ”

“เฮ้ย มานั่งด้วยกันดิวะ” ชาติชัยมัดมือชกเข้าไปกอดคอซินหมิงแล้วลากมานั่งที่โต๊ะ

ซินหมิงมีท่าทีขัดขืนเล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่าเรื่องทั้งหมดเขาไม่ใช่คนผิด เพราะฉะนั้นแล้วเขาไม่จำเป็นต้องหลบหน้าใคร อีกอย่างเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทั้งธรรมธรและม่อนฟ้าจะทำอย่างไรเมื่อเขานั่งร่วมโต๊ะด้วย

ธรรมธรมองเพื่อนรักและคู่อริเดินกอดคอมานั่งตรงหน้าแล้วได้แต่กัดฟันกรอด ก้มลงตักข้าวเข้าปากแล้วเฉหันมองทางอื่นอย่างพยายามไม่ใส่ใจ

ซินหมิงเหยียดยิ้มมุมปาก เขาคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ตัดสินใจมานั่งตรงนี้ เจ็บใจซินะที่เห็นเพื่อนรักของตัวเองเห็นคนอื่นดีกว่า คนอย่างนายมันไม่สมควรมีเพื่อนตั้งแต่แรกแล้ว

ม่อนฟ้าหันมองธรรมธรที่นั่งเงียบด้วยความเป็นห่วงจนเผลอหันมาจะต่อว่าซินหมิงที่กำลังเล่นสงครามประสาทบนโต๊ะอาหารอยู่ แต่เมื่อสบตากับดวงตาคู่คมซึ่งจ้องเธอเขม็ง ม่อนฟ้าก็จำต้องสงบท่าทีลงแล้วตักข้าวเข้าปากเงียบๆ เพราะตัวเองยังมีชนักติดหลังอยู่เหมือนกัน

“ขอบใจนะเว้ยที่วันก่อนมาร่วมทีมด้วย ถ้าไม่ได้นายพวกเราคงแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ลงแข่ง” ชาติชัยตั้งใจพูดขึ้นเสียงดังหมายให้กระทบธรรมธร

“ไม่เป็นไร เพื่อนกันก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว จริงไหมธรรม์” ซินหมิงว่าพลางหันมาถามธรรมธรที่เริ่มจะมีท่าทีหมดความอดทน

ม่อนฟ้าเอื้อมมือไปจับมือซึ่งกำหมัดแน่นของธรรมธรให้เขาใจเย็นลงโดยหารู้ไม่ว่าการกระทำของตนนั้นอยู่ในสายตาของใครอีกคนตลอดเวลา

ไม่ว่ายังไงเธอก็เลือกยืนข้างมันอยู่ดีสินะ ซินหมิงกัดฟันข่มความโกรธไว้

“ถามไปก็เสียเวลา มันไม่สนใจเรื่องของคนอื่นหรอกนอกจากเรื่องตัวเอง” ชาติชัยจ้องมองธรรมธรตาเขียวอย่างไม่ปิดบังความขุ่นเคืองในใจ

ทันใดนั้นเอง ธรรมธรซึ่งนั่งเงียบมานานลุกพรวดขึ้นอย่างหมดความอดทน

“นี่มึงจะเอายังไงวะไอ้ชาติ” เรื่องทั้งหมดเขารู้ตัวว่าเขาผิด เขายอมรับและขอโทษไปแล้ว แต่อีกฝ่ายเลือกที่จะไม่ฟังเขาเองต่างหาก แล้วจะมาพูดอย่างนี้ให้มันได้อะไรขึ้นมา

“กูไม่เอาไงหรอกเว้ย กูแค่ไม่อยากมีเพื่อนอย่างมึงแล้ว” ชาติชัยลุกขึ้นชี้หน้าธรรมธรแล้วเดินออกจากโต๊ะไป

“เฮ้ยชาติ” ภูวดลมองหน้าเพื่อนทั้งสองสลับกันไปมาอย่างชั่งใจก่อนจะตัดสินใจวิ่งตามชาติชัยออกไป

ม่อนฟ้าแตะแขนเพื่อนชายให้สงบสติอารมณ์ ธรรมธรแตะมือเพื่อนสาวเชิงรับรู้ความหวังดี

“ฉันขออยู่เดียวนะ” เขาว่าแล้วก็เดินออกไปอีกทาง

ม่อนฟ้าได้แต่มองตามเพื่อนรักทั้งสองเดินแยกทางกันอย่างกังวลใจ ไม่ว่าจะทางไหนก็คือเพื่อนของเธอทั้งคู่

ขณะที่ม่อนฟ้ากำลังคิดไม่ตกกับเรื่องของเพื่อน หางตาก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่าง เมื่อหันมองแล้วพบว่าร่างสูงใหญ่กำลังเดินไปอีกทาง ม่อนฟ้าจึงรีบเดินตามออกไปอย่างรวดเร็ว

“ซินหมิง” หญิงสาวตะโกนเรียกชายหนุ่ม ทว่าเขากลับไม่สนใจหรืออาจจะไม่ได้ยิน ม่อนฟ้าจึงเปลี่ยนเป็นวิ่งไปดักหน้าเขาไว้แทน เขาถึงได้ยอมหยุด

“ฉันขอโทษ”

ซินหมิงเฉมองไปทางอื่นเป็นการแสดงอย่างชัดเจนว่าไม่รับคำขอโทษจากหญิงสาว แต่ม่อนฟ้าไม่ยอมแพ้ ยังไงเธอก็ต้องทำให้เขายอมยกโทษให้เธอให้ได้

“ฉันขอโทษทั้งเรื่องที่ผิดคำพูดกับนาย แล้วก็เรื่อง... เรื่องที่ทำให้นายโมโหนั่นด้วย” ม่อนฟ้าเลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อซึ่งจะกระตุ้นอารมณ์ของอีกฝ่าย

“แต่เรื่องนั้นฉันอธิบายได้นะ มันจำเป็นจริงๆ วันนั้นธรรม์มันเพิ่งอกหักมาแล้วก็ไม่มีที่ไป นายบอกฉันเองนี่ว่าห้ามฉันกลับบ้าน ฉันก็เลยพาเขามาพักที่ห้องนาย” ม่อนฟ้าหลุบตาลงต่ำอย่างสำนึกผิด

“ฉันขอโทษนะที่ทำให้นายไม่พอใจ แต่ฉันก็อยากให้นายเข้าใจฉันบ้างเหมือนกัน”

“แค่นี้ใช่ไหม” ซินหมิงถามเสียงเรียบเฉยจนม่อนฟ้าไม่รู้ว่าเขาได้ตั้งใจฟังสิ่งที่เธอพูดบ้างหรือเปล่า

“นายจะไม่พูดอะไรหน่อยหรอ จะว่าหรือด่าฉันก็ได้”

หากอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาตอบโต้มาสักหน่อยเธอก็ยังพอเดาทางได้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่นี่เขาเล่นนิ่งเงียบแบบนี้แล้วเธอจะไปต่ออย่างไรล่ะ

“ไม่ล่ะ ถึงฉันพูดอะไรไปเธอก็ไม่ฟังอยู่ดี ฉันไม่อยากเสียเวลาพูด”

ม่อนฟ้าเหมือนโดนปาก้อนหินใส่หน้า หญิงสาวรู้สึกชาและร้าวไปหมดจนทำอะไรถูก

“พูดจบแล้วใช่ไหม ฉันจะได้ไป” ซินหมิงว่าพลางเดินผ่านหญิงสาวอวบอ้วนไปอย่างไม่สนใจ

ม่อนฟ้าที่ถูกเมินอย่างไร้เยื่อใยได้แต่ยืนนิ่งอย่างหงุดหงิด ทั้งที่เธอพูดดีด้วยขนาดนี้แล้วเขายังไม่ยอมฟังกันอีก

จะเล่นอย่างนี้ใช่ไหม ได้ แล้วจะได้รู้กันว่าใครแน่กว่าใคร

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว