Love Over Size : รักเธอเกินพิกัด-ตอนที่ 22 มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

โดย  chocmilk

Love Over Size : รักเธอเกินพิกัด

ตอนที่ 22 มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

อันที่จริงม่อนฟ้ารู้ดีอยู่แล้วล่ะว่าทำไมเมื่อเย็นวานธรรมธรถึงชิงหนีกลับก่อนแถมยังไม่มารับเธอในตอนเช้าอีก ซึ่งทั้งหมดม่อนฟ้าเป็นคนขอเขาไว้เองเพราะไม่อยากมีปัญหาในภายหลัง

“คนนี้หรอวะ แจ่มเลย” ชาติชัยพูดขณะดูรูปถ่ายในมือถือกับภูวดล

“น้องแคท ม.5/4” ธรรมธรพูดอย่างภูมิใจนำเสนอ

ม่อนฟ้าไม่เข้าใจพวกผู้ชายเลยจริงๆ ว่าการมีแฟนมันมีอะไรน่าโอ้อวดนักหนา เธอเห็นหลายคู่ที่ใช้เวลาจีบกันไม่นาน สุดท้ายพอเป็นแฟนกันก็เลิกกันทุกที ไม่ต้องดูตัวอย่างไกลที่ไหน ดูได้จากเพื่อนชายของเธอทั้งสองนี่ละ

สำหรับธรรมธร ม่อนฟ้ายังพอเข้าใจได้ว่าด้วยหน้าตาของเขานั้นสามารถดึงดูดสาวๆ เข้ามาได้ไม่ยาก แต่ไม่น่าเชื่อว่าชาติชัยที่หน้าตาอาจไม่โดดเด่นเท่าไหร่ แต่ด้วยดีกรีนักกีฬาโรงเรียนก็สามารถดึงดูดสาวๆ เข้ามาได้ไม่แพ้กัน เพียงแต่ว่าสาวๆ ที่เข้ามาหาธรรมธรดูจะมีความกล้ามากกว่า ทำให้เขาแทบไม่ต้องทำอะไรก็มีผู้หญิงเข้ามาหาไม่เว้น ส่วนภูวดลนั้นม่อนฟ้าขอยกเว้นไว้คนหนึ่งแล้วกัน จากจำนวนเพื่อนชายทั้งสามคน ภูวดลดูเป็นสุภาพบุรุษมากที่สุดแล้วในสายตาม่อนฟ้า แถมยังเป็นประธานนักเรียนอีกต่างหาก สาวๆ ที่ปลื้มเขาส่วนใหญ่จึงเป็นเด็กเรียนซะมากกว่า แต่ม่อนฟ้าก็ยังไม่เคยเห็นเขาชอบผู้หญิงคนไหนเลย ครั้งหนึ่งม่อนฟ้ายังเคยคิดว่าเขาอาจเป็นพวกรักเพศเดียวกันหรือเปล่า แต่ทั้งธรรมธรและชาติชัยต่างยืนยันหนักแน่นว่าเขาเป็นชายแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งสรุปแล้วเธอคือผู้หญิงหนึ่งเดียวท่ามกลางชายหนุ่มฮอตติดระดับต้นๆ ของโรงเรียน ที่แย่กว่านั้นคือหน้าตารูปลักษณ์ของเธอช่างดูไม่คู่ควรที่จะอยู่กลุ่มพวกเขาเอาเสียเลย

“อย่างงี้ก็อยู่ห้องเดียวกับน้องเพลินน่ะสิ” ภูวดลเอ่ยขึ้นเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้

ธรรมธรพนักหน้า ม่อนฟ้าแอบสังเกตเห็นสีหน้าลำบากใจของเขานิดๆ เมื่อได้ยินชื่อดังกล่าว หญิงสาวพลันนึกถึงนักเรียนรุ่นน้องที่เธอเห็นหน้าห้องเมื่อวานนี้

“นี่แกจบกับน้องเพลินแล้วแน่นะ” ม่อนฟ้าถามอย่างไม่สบายใจนัก

“จริงสิ ทำไม แกคิดว่าฉันจะคบซ้อนหรือไง”

ม่อนฟ้ามองแววตาจริงจังของเขาก็รู้ทันทีว่าเขาพูดความจริง ถ้าอย่างนั้นผู้หญิงคงเป็นฝ่ายไม่ยอมจบเองสินะ

“เปล่า” ม่อนฟ้าปฏิเสธ แต่ในใจก็ยังไม่คลายกังวล

“แกไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่มีวันคบผู้หญิงสองคนพร้อมกันเด็ดขาด” ธรรมธรยืนยันหนักแน่น

แม้จะยังรู้สึกคลางแคลงใจ แต่ม่อนฟ้าก็เชื่อในสิ่งที่เพื่อนชายพูด เขาไม่เคยโกหกเธอและเขาก็ไม่เคยทำเช่นนั้นจริงๆ เขาไม่ใช่คนที่จะคบซ้อนแต่เขาเป็นแค่คนที่รักง่ายหน่ายเร็ว เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่สาวๆ จะยังตัดใจจากเขาไม่ได้

“อืม” หญิงสาวพยักหน้าตอบ

ธรรมธรยิ้มออกมาอย่างคลายกังวลเมื่อม่อนฟ้าเชื่อในตัวเขา บ่อยครั้งที่คนรอบข้างตัดสินตัวเขาจากสิ่งที่เห็นผ่านสายตาและคำพูดที่ได้ยินจากคนอื่น แต่หากจะมีใครสักคนที่รู้จักตัวตนและเข้าใจเขาจริงๆ คนคนนั้นก็คือม่อนฟ้า เพื่อนสาวที่เติบโตด้วยกันมาเกือบหกปีคนนี้ ขอเพียงแค่ม่อนฟ้าเชื่อเขา คนอื่นจะว่าอย่างไรธรรมธรก็ไม่สนใจ เพราะในชีวิตของเขามีคนสำคัญอยู่เพียงไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็คือเธอ

“แน่ใจนะว่าจะไม่กลับพร้อมกัน” ธรรมธรหันมาถามเพื่อนสาวข้างกายหลังหมดคาบเรียนวิชาสุดท้ายของวันนี้

“อืม ไม่อยากโดนผู้หญิงของแกตบเอา ไม่คุ้มว่ะ” ม่อนฟ้าส่ายหัวไปมายืนกรานหนักแน่น

“บอกแล้วไงว่าฉันไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่ แกเลิกกลัวได้แล้ว”

“ฉันไม่ได้กลัว แต่ไม่อยากมีปัญหาต่างหาก แค่เดินกับแกฉันก็รู้สึกไม่ปลอดภัยแล้ว โอ๊ย!” ม่อนฟ้าร้องเสียงหลงเมื่อธรรมธรยื่นมือมาผลักศีรษะเธอจนหน้าหงาย

“คิดมาก” ธรรมธรว่าพลางลุกขึ้นยืน

“ตามใจแล้วกัน” แล้วเขาก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่คิดเซ้าซี้ให้เสียเวลา เพราะรู้ดีว่าทำเช่นนั้นไปก็เปล่าประโยชน์

“วันนี้ฉันซ้อมบาส ไปส่งแกไม่ได้นะโว้ย” ชาติชัยรีบออกตัวแล้วเก็บของออกจากห้องไปทันที

ในห้องเหลือแต่ภูวดลที่เก็บหนังสือเข้ากระเป๋าอย่างไม่รีบร้อน เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไปส่งเธอไม่ได้อยู่แล้ว เป็นที่รู้กันว่าเขาต้องทำงานคณะกรรมการนักเรียนอยู่ที่โรงเรียนจนค่ำทุกวัน สรุปคือวันนี้เธอต้องกลับเองคนเดียวสินะ

ม่อนฟ้าเดินออกจากห้องอย่างเซ็งๆ สายตาทอดมองท้องฟ้าที่ดูครึ้มฝน หญิงสาวเอี้ยวตัวเปิดกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบร่มพับออกมา ในจังหวะนั้นเองที่สายตาหลังแว่นหนาสังเกตเห็นเพลินตายืนอยู่ สายตาของหญิงสาวรุ่นน้องมองต่ำลงไปข้างล่างตึกเรียน ม่อนฟ้าจึงหันมองตามลงไป

ภาพที่ปรากฏเบื้องล่างคือธรรมธรกำลังเดินหยอกล้อกับสาวรุ่นน้องอีกคนออกจากโรงเรียนไป หญิงสาวหันกลับมามองเพลินตาอีกครั้งด้วยความไม่สบายใจ


ตั้งแต่กลับจากโรงเรียน ช่วยแม่ปิดร้าน ออกมาซื้อของหน้าปากซอย และตอนนี้ที่เธอกำลังเดินกลับบ้านอยู่นั้น ม่อนฟ้าก็ยังคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องที่เห็นเมื่อตอนเย็น เธอควรทำอย่างไรดี เธอควรบอกให้ธรรมธรกลับไปคุยกับเพลินตาให้รู้เรื่อง หรือเธอควรปล่อยให้เวลาช่วยเยียวยาเอง แต่ถ้าเธอบอกธรรมธร เพลินตาอาจจะทำให้ธรรมธรมีปัญหากับผู้หญิงคนใหม่ แต่ถ้าเธอไม่บอกแล้วพวกเขามามีปัญหากันทีหลังมันจะไม่ยิ่งแย่หรอ แล้วหากตอนนั้นมาถึง คนที่แย่กว่าต้องเป็นเธอแน่นอน

ม่อนฟ้าก้มมองโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอปรากฏชื่อของธรรมธร เหลือเพียงแค่กดโทรออกเท่านั้น หญิงสาวเจ้าเนื้อกระชับร่มในมือแน่นอย่างตัดสินใจ นิ้วอ้วนป้อมกดลงไปที่ปุ่มสีเขียวเพื่อโทรออก

ตี๊ด...ตี๊ด... เสียงปลายสายดังเคล้าเสียงสายฝนที่โปรยปราย

ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายสาย หญิงสาวกดวางแล้วลองโทรอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ทันที่เธอจะได้เอาโทรศัพท์แนบหู

“โอ๊ย!!”

เพล้ง!!

เสียงวัตถุแตกกระแทกพื้นดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างของหญิงสาวเซไปข้างหลังจากการชนเข้าอย่างแรง ตรงข้ามกับเธอนั้นคือผู้ชายค่อนข้างมีอายุที่มีอาการมึนเมาซึ่งล้มลงไปกับพื้นด้วยแรงชนหรือฤทธิ์แอลกอฮอล์ ม่อนฟ้าเองก็ไม่มั่นใจ

“เดินยางงายห๊า” ชายอาวุโสกว่าโวยวายเสียงดังขณะพยายามลุกขึ้น

“หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ” ม่อนฟ้ารีบถลาเข้าไปยกมือไหว้ขอโทษ แต่เมื่อหญิงสาวยื่นมือไปจะช่วยพยุง ชายสูงวัยกว่ากลับสะบัดแขนออกอย่างแรงจนม่อนฟ้าลื่นล้มลงก้นกระแทกพื้น

“โอ๊ย!” ม่อนฟ้าร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทว่ามันไม่ได้มาจากความเจ็บปวดบริเวณก้นหรือที่ขาซึ่งกระแทกพื้น หากแต่เป็นความรู้สึกปวดแปลบที่บริเวณฝ่ามือ

ม่อนฟ้าก้มลงดูที่มือของตนและพบว่ามีเลือดสีแดงไหลผสมปนไปกับน้ำฝนที่ตกลงมา ใกล้กันนั้นคือเศษขวดเบียร์ที่แตกกระจาย สงสัยจะหล่นลงแตกตอนที่เดินชนกัน

“มายต้อง ดูสิ ของของฉานเสียหายโหมดแล้วเนี่ย เหนม้าย” ชายสูงวัยยืนโซเซชี้ไปที่กองเศษขวดโดยไม่สนใจม่อนฟ้าที่บาดเจ็บสักนิด

“จ่ายค่าเสียหายมาซาดีๆ” ชายอาวุโสยื่นมือออกมาตรงหน้าหญิงสาวแล้วขยับนิ้วไปมา

“ค่าเสียหาย!?” ม่อนฟ้าทวนคำที่ได้ยินอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง อะไรกัน เดินชนกันแค่นี้ถึงกับต้องเรียกค่าเสียหายกันเลยงั้นหรอ ถ้าเช่นนั้นคนที่ควรเรียกน่าจะเป็นเธอมากกว่าไม่ใช่หรือไง

“ทามมั้ย ทำของของฉานเสียหายแถมยางทามฉานเจ็บตัวอีก มานก็ต้องมีค่าทามขวัญโว้ย จ่ายมาซะดีๆ เร็ว” ชายสูงวัยกระดิกนิ้วเร่ง

“มันไม่มากไปหน่อยหรอลุง ลุงก็ไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อย” เธอซะอีกที่เป็นมากกว่า หญิงสาวอยากพูดออกไปเสียเหลือเกิน แต่ก็เลือกที่จะเก็บไว้ในใจด้วยไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด

“มายเปนด้ายงาย ตัวยางกะช้าง ชนทีตัวแทบกระเด็น จ่ายมาอายอ้วน”

ตอนแรกม่อนฟ้าก็คิดว่าคงพอคุยกันได้ หากเธอยอมเงียบสักคนเรื่องก็คงจะจบได้ไม่ยาก แต่ดูท่าเรื่องจะไม่จบง่ายๆ แล้วละ ถึงม่อนฟ้าจะไม่เคยคิดว่าความอ้วนของตนเป็นปมด้อย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะใช้เป็นข้ออ้างแล้วโยนความผิดให้กันแบบนี้ อ้วนแล้วมันผิดตรงไหนห๊ะ

“อ้าวลุง อ้วนแล้วทำไม ถึงหนูจะอ้วนหนูก็ไม่เคยเมาแล้วพาลคนอื่นเหมือนลุงหรอก”

“คายเมา พูดหายมานดีๆ นะเว้ย”

“ก็ลุงนั่นแหละเมา เมามากด้วย หนูพูดดีพอยัง”

“ม่ายดี ฉานม่ายด้ายเมาเว้ย ม่ายเมา ม่ายเมา” ชายสูงวัยโบกไม้โบกมือปฏิเสธพร้อมกับร่างที่เซไปเซมา

นี่อ่ะนะไม่เมา ม่อนฟ้าถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ สภาพนี้ต่อให้เถียงทั้งคืนก็ไม่มีทางจบหรอก ม่อนฟ้าจึงต้องพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้ ตัดใจล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบเศษเหรียญเงินทอนจากการซื้อของเมื่อครู่ยัดใส่มือเหี่ยวย่น

“หนูมีแค่นี้แหละ” พูดจบเธอก็เดินไปหยิบร่มสีเหลืองลายเป็ดแล้วเดินผ่านชายอาวุโสกว่าไปอย่างไม่สนใจ

“แค่นี้มานจาปายพออารายว่ะ เฮ้ย” เสียงตะโกนไล่หลังดังประสานกับเสียงสายฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสาย

ม่อนฟ้าไม่คิดหันกลับไปมองแม้แต่หางตา ‘อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา’ คำพระท่านคงเหมาะแก่การนำมาใช้ในสถานการณ์นี้เป็นที่สุด


ม่อนฟ้าเดินตัวเปียกโชกกลับมาถึงบ้าน ทว่าหญิงสาวกลับต้องประหลาดใจเมื่อไฟในร้านยังเปิดอยู่ทั้งที่ร้านปิดไปนานแล้ว

หญิงสาวนั่งลงถอดเชือกรองเท้าอย่างเมื่อยล้า ล้มลงเมื่อตะกี้นี้เล่นเอาปวดไม่น้อยเลยทีเดียวแฮะ ม่อนฟ้าคลึงนิ้วไปมาบริเวณก้นกบขณะยันตัวเองลุกขึ้น

“ม่อน!”

ทันใดนั้นประตูร้านก็พลันเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของธรรมธร

“คุณน้าครับ ม่อนกลับมาแล้วครับ” ธรรมธรตะโกนหน้าตาตื่นเข้าไปข้างในร้าน ก่อนที่สุดาจะเดินหน้าตื่นตามออกมาอีกคน

“ม่อนกลับมาแล้วหรอลูก”

ม่อนฟ้ามองหน้าผู้เป็นแม่สลับกับเพื่อนชายอย่างงงๆ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าเนี่ย...


เมื่อหัวค่ำธรรมธรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายจากม่อนฟ้า แต่กลับไม่ได้ยินเสียงจากต้นสายนอกจากเสียงสายฝน เขาจึงคิดว่าเพื่อนสาวคงเผลอโทรออกโดยไม่ได้ตั้งใจจึงจะวางสาย แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังแว่วมาจากปลายสาย

‘หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ โอ้ย!’ แล้วสายก็ตัดไป เมื่อเขาโทรกลับปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อได้ ด้วยความร้อนใจธรรมธรจึงโทรหาสุดาและได้รู้ว่าม่อนฟ้าออกไปข้างนอกซึ่งตอนนี้ยังไม่กลับมา ธรรมธรเริ่มกระวนกระวายใจจึงรีบนั่งรถแท็กซี่จากโรงภาพยนตร์มายังร้านขนมไทยในทันที

ม่อนฟ้าหยิบโทรศัพท์มือถือสวมกรอบลายเป็ดสีเหลืองในสภาพเปียกโชกจนไม่น่าใช้งานได้ออกมาจากกระเป๋า

“ตกลงแกไปมีเรื่องกับใครมา” ธรรมธรถามอย่างร้อนใจ

“ก็คนเมาแถวนั้นแหละ เผอิญเดินไม่ระวังเลยชนกันเข้า”

“แล้วมันทำอะไรแกหรือเปล่า”

“เปล่า แค่มีปากเสียงนิดหน่อย” ม่อนฟ้าตอบเสียงอ่อนขณะค่อยๆ ใช้มืออีกข้างปิดแผลที่โดนแก้วบาดไว้

“แน่ใจนะ” สุดาถามย้ำ

“จ้ะแม่ ไม่มีอะไรจริงๆ” ม่อนฟ้ายืนยันหนักแน่นกับผู้เป็นแม่ ได้ยินเช่นนั้นสุดาจึงค่อยคลายกังวลลง

“งั้นก็ดีแล้ว ขอบใจธรรม์มากนะลูกที่เป็นห่วงเพื่อน ดึกมากแล้ว น้าไม่รบกวนแล้วล่ะ”

“เอ่อ... พอดีผมมีเรื่องการบ้านจะถามม่อนนิดหน่อย ผมขอคุยกับม่อนอีกสักแป๊บนะครับ” ธรรมธรเอ่ยขออนุญาตซึ่งสุดาก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร

“แต่อย่าดึกมากนักนะ เดี๋ยวที่บ้านเขาจะเป็นห่วง เราเองก็เหมือนกัน เสร็จแล้วรีบขึ้นไปอาบน้ำสระผมเสียด้วยล่ะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา” สุดาหันมาสั่งบุตรสาวก่อนขึ้นไปชั้นบน

ม่อนฟ้ามองตามผู้เป็นแม่ขึ้นบันไดไปจนลับสายตา หญิงสาวเผลอผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ นึกว่าจะโดนจับได้ซะแล้ว ขืนแม่รู้ว่าเธอบาดเจ็บมาด้วยละก็มีหวังเรื่องไม่จบแค่นี้แน่

“เอามือมานี่” ธรรมธรว่าพลางดึงมือเจ้าเนื้อไปสำรวจดู

ม่อนฟ้ารีบดึงมือกลับทันทีด้วยกลัวเขาจะรู้ ทว่าตอนนี้เธอคงปิดเขาไม่ได้เสียแล้ว เมื่อธรรมธรจับมือเจ้าเนื้อหงายขึ้น

“นี่อ่ะนะไม่เป็นไร” ธรรมธรหันมาดุเพื่อนสาวเมื่อเห็นแผลบนฝ่ามือก่อนจะเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมา

“คราวหลังก็ระวังตัวหน่อย อย่าซุ่มซ่ามให้มันมากนักเข้าใจไหม” เขาว่าพลางใช้สำลีชุบน้ำเกลือล้างทำความสะอาดแผลให้อย่างพยายามเบามือที่สุด

แม้ปากจะบ่นซะยืดยาวแต่ชายหนุ่มก็ยังคงตั้งใจทำแผลให้เธออย่างระวัง แม้กระทั่งตอนที่หญิงสาวร้องแสบขณะทายาใส่แผลสด ชายหนุ่มก็ยังก้มลงเป่าเบาๆ ด้วยเชื่อว่าจะช่วยคลายความแสบลง ม่อนฟ้าได้แต่นั่งนิ่งมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม

เธอบอกแล้วว่าเขาไม่ใช่คนที่จิตใจหยาบกระด้าง ไม่สนใจความรู้สึกของใครอย่างที่คนอื่นๆ คิด แต่จะมีสักกี่คนกันนะที่ได้เห็นเขาในมุมอ่อนโยนเช่นนี้

“ว่าแต่แกโทรหาฉันทำไม มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

ธรรมธรหันมาถามหญิงสาว ทันใดนั้นเองที่รอยยิ้มละมุนของม่อนฟ้าค่อยๆ หุบลง


ม่อนฟ้าเดินเข้าโรงเรียนโดยกุมมือที่มีผ้าก๊อซปิดแผลด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่รู้ทำไมพอนึกถึงภาพที่ธรรมธรบรรจงทำแผลให้เธออย่างใส่ใจแล้วถึงต้องยิ้มออกมาทุกที สงสัยเพราะนานๆ ทีเธอจะได้เห็นภาพเขาในมุมอ่อนโยนแบบนั้นเลยรู้สึกปลื้มปริ่มเป็นพิเศษ

ชาติชัยซึ่งเพิ่งมาถึงโรงเรียนเช่นกันเห็นเพื่อนสาวเดินยิ้มแย้มผ่านไปอย่างอารมณ์ดีแล้วนึกครึ้มอยากจะแกล้งขึ้นมาเลยย่องเดินตามม่อนฟ้ามาเงียบๆ ก่อนจะโผล่พรวดไปตรงหน้าเธอ

“แฮ่!” ชาติชัยแลบลิ้นทำหน้าหลอกหวังให้ตกใจ ทว่านอกจากม่อนฟ้าจะไม่ตกใจแล้ว หญิงสาวยังหันมายิ้มให้เพื่อนชายอีกด้วย

เกิดอะไรขึ้น!? ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“หวัดดี” ม่อนฟ้ายกมือทักทายแล้วเดินผ่านชาติชัยไป

“เฮ้ยเดี๋ยว นี่แกไม่สบายหรือเปล่า” ชาติชัยก้าวเท้าตามไป ไม่ตกใจก็ว่าแปลกแล้ว กล่าวทักทายด้วยท่าทางแบบนี้ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่

“ฉันสบายดี”

ม่อนฟ้าตอบประโยคเดียวกันนี้เป็นสิบครั้งได้แล้วมั้ง ทว่าชาติชัยก็ยังไม่ยอมเชื่อเธอ เขามั่นใจว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่เพื่อนสาวถึงได้เพี้ยนไปขนาดนี้

“อาการแปลกๆ แบบนี้ อย่าบอกนะว่ามีผู้ชายมาจีบแกน่ะ” ชาติชัยเดาไปเรื่อย แต่นั่นกลับทำให้ม่อนฟ้าฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

เธอจะดีใจทำไมกัน...

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้มีอะไรพิเศษสักหน่อย ธรรมธรก็แค่ทำในฐานะเพื่อนเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะแสนดีแค่ไหน สุดท้ายไม่ว่ายังไงเธอกับเขาก็คือเพื่อนกัน ระยะห่างของความสัมพันธ์ไม่ควรมีความรู้สึกแปลกประหลาดนี้เข้ามาปะปนสิ แล้วนี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่

“นั่นไง จริงๆ ด้วย มีผู้ชายมาจีบแกใช่ไหม” ชาติชัยเห็นหญิงสาวนิ่งเงียบไปจึงทึกทักตีความเอาเอง

“ใคร ใครมันมาจีบแก เดี๋ยวพวกฉันสกรีนให้เอง ผู้ชายเดี๋ยวนี้มันไว้ใจไม่ได้ แกอย่าหลงคารมมันง่ายๆ นะเว้ย”

ม่อนฟ้าหันมองเพื่อนที่พูดไม่เว้นวรรคให้แทรกแล้วส่ายหน้าอย่างระอา นี่เขาลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน แถมคุณลักษณะที่พูดมาแต่ละอย่างก็เข้าตัวทั้งนั้น แล้วเธอจะไว้ใจเพื่อนตัวเองได้ไหมเนี่ย

“เฮ้ย ไอ้ภูร์” ขณะที่กำลังยืนคุยอยู่นั้น ชาติชัยหันไปเห็นภูวดลวิ่งผ่านไปพอดีจึงตะโกนเรียกออกไป

ภูวดลหยุดวิ่งตามเสียงเรียก เขาหันมาทางเพื่อนทั้งสองด้วยท่าทีร้อนรน

“มีอะไรหรือเปล่า” ม่อนฟ้าถาม

ดวงตาคู่เล็กของภูวดลหันไปทางตึกเรียนของชั้นมัธยมปลายแทนคำตอบ

ม่อนฟ้ากับชาติชัยหันตามไปด้วยความสงสัย และภาพที่เห็นก็ทำเอาเธอกับเขาถึงกับตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ เมื่อบนดาดฟ้าของอาคารเรียนนั้นมีร่างใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่

“เพลินตา!”

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว