You Are Mine รักนาย...แฮมสเตอร์ของฉัน [นิยายแปล]

ตอนที่ 2 (11)

“ใต้เท้าซูเหวย” หลี่เสียงซูและหลี่เสียงเซ่อสองพี่น้องประสานมือตัวแข็งทื่อ ไม่คิดว่าจะมีวันหนึ่งที่ตัวเองต้องเดินทางมากรมสืบสวนคดีเพียงเพื่อเรื่องเล็กน้อย

ซูเหวยมองใบหน้าทั้งสองคนที่ไม่คุ้นตามากนัก หากไม่ใช่เพราะผู้ช่วยกระซิบบอกว่าทั้งสองคนเป็นใคร เขาต้องไม่รู้แน่นอนเพราะขุนนางขั้น 5 และขุนนางขั้น 6 ที่ไม่มีบทบาทในราชสำนักมาโผล่ที่กรมสืบสวนคดีที่แสนวุ่นวายของเขาเพื่ออะไร

หลี่เสียงซูเหงื่อไหลพลั่ก ภายใต้สายตาบังคับของบุตรสาว เขาไม่กล้าปฏิเสธ ภาพในความฝันนางมีชีวิตไม่ต่างจากองค์หญิงในวังหลวง แต่ตอนนี้นางกลับต้องมาทุกข์ลำบากเพราะบิดาไร้ความสามารถ

ช่างเถิด ๆ นางต้องการอะไร เขามีหน้าที่ปฏิบัติตามก็พอ

หลี่เซียงซูประสานมือค้อมหัวลงต่ำเอ่ยถามตามคำพูดที่บุตรสาวสอน “คารวะใต้เท้าซู พวกเรามีเรื่องอยากสอบถามว่าหากบิดาจากไป แคว้นเยี่ยนกำหนดให้บ้านใหญ่สามารถไล่ครอบครัวของน้องชายที่เกิดจากอนุภรรยาออกจากจวนได้หรือไม่ขอรับ”

“เหลวไหล!!” ซูเหวยโมโหจนทุบโต๊ะเสียงดัง ปัง! ชาวบ้านบางส่วนที่ตามมาดูและเดินผ่านมาสะดุ้งตกใจแอบมองเข้ามาด้านในว่ากรมสอบสวนคดีมีขุนนางคนไหนประพฤติผิดบ้าง

ซูเหวยใบหน้าเขียวคล้ำพูดไม่ออก เจ้าพวกนี้คิดว่าราชสำนักวุ่นวายไม่มากพอหรือคิดว่างานของตัวเองยังน้อยเกินไปหรือไม่ วันนี้ว่าง ๆ จึงมาเดินเล่นกรมสืบสวนคดีของเขา

“ต่อให้บิดาจากไป บ้านใหญ่ก็ไม่สามารถไล่ทายาทสายรองออกจากจวนได้” ซูเหวยตอบเสียงเรียบ

รีบ ๆ ตอบ รีบจากไปได้แล้ว เขายังมีงานอีกมากมาย

เดิมที ซูเหวยก็คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระเรื่องหนึ่ง ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะได้เจอการสอบสวนและการตัดสินคดีที่จดจำไม่เคยลืม

“ได้ ๆ ขอรับ รบกวนใต้เท้าแล้ว” หลี่เสียงเซ่อรีบตอบ หันไปถลึงตาใส่น้องสามว่าต้องมากรมสืบสวนคดีให้ได้เลยหรือ

หลี่เสียงซูห่อไหล่ส่งสายตาให้บุตรสาวเพราะเขาทำเต็มที่แล้วจริง ๆ แค่ไม่ถูกไล่ออกจากจวนนางยังต้องการอะไรอีก

หลี่ซูเมิ่งเห็นบิดาไม่สามารถพึ่งพาได้จึงพยายามยืดตัวเอ่ยถามด้วยตัวเอง “คารวะใต้เท้าซู วันนี้ท่านก็เห็นแล้วว่าท่านลุงใหญ่และท่านป้าใหญ่ต้องการไล่พวกเราออกมาจากจวนให้ได้ หากพวกเรากลับไปไม่ใช่อยู่อย่างยากลำบากหรอกหรือเจ้าคะ” พูดจบประโยคก็แอบใช้เท้าเขี่ยก้างปลาสองก้างให้ล้มลง

หญิงสาวหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา “พวกท่านดูสิเจ้าคะว่าพวกเราอยู่อย่างยากลำบากแค่ไหน บ้านใหญ่รังแกกันจนเกินไปแล้ว ใต้เท้าซูผู้สูงส่งเจ้าคะ ท่านดูสิว่าน้องชายของข้าที่ตอนนี้อายุ 6 ขวบแล้วยังมีร่างกายผอมแห้งน่าสงสารไม่ต่างจากเด็กน้อยวัย 3 ขวบ”

“พี่รอง ข้าแข็ง...” หลี่เป่าเหวินจะพูดแย้งก็รีบหุบปากอย่างรวดเร็ว เขากำลังจะร้องบอกว่าตัวเองแข็งแรงและวิ่งอ้อมเรือนได้สามรอบแล้ว แต่พอพี่สาวจ้องมาจึงไม่กล้าพูดอีก

หลี่ซูเมิ่งเขี่ยก้างปลาอีกตัวแทน กระซิบเสียงเย็น “ร้องไห้”

เด็กน้อยแม้จะไม่เข้าใจแต่เชื่อฟังคำสั่งของพี่รองราวกับเป็นคำประกาศิต ทั้งสองดั่งสื่อใจถึงกัน พอคนหนึ่งเข้าใจอีกคนก็เข้าใจทันที หลี่เป่าหลินและหลี่เป่าเหวินร้องไห้เสียงดังจนชาวบ้านส่งเสียงซุบซิบนินทาและมองหลี่เสียงเซ่อดูถูก

ซูเหวยกุมขมับ ขุนนางบ้านไหนบ้างไม่มีอนุภรรยา เขาก็มีอยู่หลายคนและยังมีทายาทเช่นกัน แต่ก็ไม่เคยดูแลบุตรชายและบุตรสาวจนผอมแห้งแบบนี้ “หลี่เสียงเซ่อ!!”

“ใต้เท้า ข้าไม่ได้ทำผิดนะขอรับ” หลี่เสียงเซ่อรีบแก้ตัว

หลินว่านซื่อร้อนรนรีบร้องบอก “ใช่ ๆ ไม่ใช่ความผิดของพวกเรานะเจ้าคะ เป็นเพราะน้องสามนำเงินไปเลี้ยงหญิงสาวข้างนอกหรือเปล่า เขาก็เป็นขุนนางเหมือนกันไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

“หลี่เสียงซู!!!” ซูเหวยรู้สึกว่าประโยคนี้มีเหตุผลจึงถามกลับ

“ไม่มีขอรับ ข้าไม่มีหญิงสาวอื่นข้างนอก ขะ…ข้า...” หลี่เสียงซูอ้ำอึ้งประหม่าจนพูดไม่ทัน

หลินว่านซื่อเห็นโอกาสรีบตะโกนเสียงดังกว่าเดิม “พวกเจ้าสร้างเรื่องหลอกลวงให้คนอื่นเข้าใจบ้านใหญ่ผิดแล้ว น้องสาม เจ้าไม่พอใจบ้านใหญ่ใช่หรือไม่”

“ป้าสะใภ้สามเจ้าคะ ไม่ใช่ว่าเบี้ยหวัดของท่านพ่อ ท่านลุงใหญ่ และท่านปู่ เก็บไว้ในคลังส่วนกลางหรือเจ้าคะ อืม…เหมือนว่าท่านแม่เคยบอกข้าให้ไปรับเงินจากพ่อบ้านในทุกเดือนนี่เจ้าคะ ได้กลับมาเพียงเดือนละ 3 ตำลึงเงินเท่านั้น”

3 ตำลึงเงินมีค่าเท่าไหร่อย่างนั้นหรือ

ก็ซื้อซาลาเปาได้แค่ 100 ลูกเท่านั้นอย่างไรล่ะ

ชาวบ้านกระซิบกระซาบกันเสียงดังมากกว่าเดิม เบี้ยหวัดของขุนนางจ่ายเป็นรายปี ต่อให้เป็นเพียงขุนนางขั้น 6 ก็ควรมีมากกว่า 36 ตำลึงเงินหรือไม่

หลินว่านซื่ออ้าปากพะงาบ ๆ เพราะว่านางเป็นคนสั่งให้พ่อบ้านจ่ายเงินเดือนให้บ้านสามราคานี้จริง หลี่เสียงเซ่อถลึงตามองฮูหยินเอกของตัวเองด้วยความไม่พอใจ

แม้จะโมโหแต่เขาก็เป็นถึงขุนนางในกรมพิธีการ ดังนั้นการพลิกลิ้นจึงเป็นเรื่องที่เขาถนัดไม่มากก็น้อย “แต่ว่าเรื่องอาหารและสิ่งของจำเป็นต้องใช้ พ่อบ้านก็ส่งให้ทุกเดือนไม่ใช่หรือ”

ชาวบ้านและซูเหวยได้ยินก็พยักหน้าก่อนจะดูถูกดูแคลนครอบครัวบ้านสาม เป็นแค่บุตรชายที่เกิดจากอนุในเรือน คิดอยากจะเรียกร้องเอาอะไรให้วุ่นวาย ฮูหยินใหญ่ใจดีไม่ทำให้ชีวิตลำบากก็นับว่าพวกเขาเมตตามากพอแล้ว

หลี่ซูเมิ่งรู้ว่าวันนี้ตนเองเดินหมากผิด เพราะในสายตาของทุกคน บ้านสามก็คือบ้านของเมียน้อยดี ๆ นี่เอง ชายกระโปรงถูกกระตุกเบา ๆ นางจึงก้มลงมองเห็นน้องชายสองคนยังไม่หยุดร้องไห้และพยายามส่งสายตาถามว่าให้พวกเขาหยุดได้หรือยัง

หญิงสาวโมโหจนเขี่ยก้างปลาสองชิ้นออกห่าง เด็กน้อยสองคนจึงต้องร้องไห้ต่อไปทั้งที่เหนื่อยแล้ว

“หลี่เสียงซู เจ้ายังมีคำแย้งอะไรอีกหรือไม่” ซูเหวยถามเสียงเย็นตอนนี้เขารู้สึกเบื่อหน่ายมากพอแล้ว

“ข้า...” เสียงยังไม่ออกจากปากชายเสื้อก็ถูกห้ามเพราะหลี่อันเฉิงไม่อยากให้น้องสาวก่อเรื่องอีก แค่บ้านใหญ่ยอมให้พวกเขากลับเข้าไปในบ้าน น้องรองอย่าได้ก่อเรื่องอีกเลย เขาไม่รู้ว่าน้องรองไม่สบายจนนิสัยเปลี่ยนไปหรือไม่ อีกไม่นานก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว นางควรจะใช้ชีวิตอย่างสงบในห้องไม่ใช่หรือ

หลี่ซูเมิ่งดึงเสื้อกลับโมโหจนหายใจติดขัด ไม่ได้เรื่อง!! นางก็ไม่ชอบเมียน้อยเหมือนกัน แต่มารดามันเถิด ใครให้บิดาในชาตินี้ของนางเป็นบุตรชายที่เกิดจากอนุกันล่ะ

“ใต้เท้าเจ้าคะ ท่านก็เห็นแล้วว่าบ้านใหญ่และบ้านสามไม่ถูกกัน พวกเขาต้องการไล่เราออกจากจวน ชาวบ้านทุกคนต่างเป็นพยานให้ได้เจ้าค่ะ” หลี่ซูเมิ่งรู้ว่าคิดจะใช้ความเห็นใจของทุกคนมาชนะคดีคงไม่ได้แล้ว

ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาว่านางร้ายกาจแล้วกัน

ชาวบ้านทุกคนเห็นเด็กสาวมองมา ตามด้วยสายตาเยียบเย็นของใต้เท้ากรมสืบสวนคดีจึงรีบเงียบเสียงค่อย ๆ พยักหน้าด้วยความหวาดกลัว พวกเขาเพียงมาดูความสนุกเท่านั้น ไม่คิดจะทำให้ขุนนางขั้นสูงไม่พอใจ

ซูเหวยขมวดคิ้วมองดรุณีใบหน้าซีดขาวด้วยความไม่ชอบใจ กำลังจะสั่งให้นางหยุดพูดนางก็แย่งเขาพูดก่อนแล้ว

“ตามกฎระเบียบของแคว้นเยี่ยนไม่มีกำหนดว่าบ้านใหญ่สามารถไล่ทายาทสายรองคนไหนก็ตามออกจากจวนได้ และยังมีขุนนางหลายคนอาศัยอยู่ในจวนหลังใหญ่เป็นครอบครัวเดียวกัน ได้ยินคำพูดของนักปราชญ์บอกว่า เลี้ยงดูผู้น้อย ผดุงผู้เฒ่า การแยกบ้านแยกตระกูลเป็นเรื่องที่น่าละอายไม่ใช่หรือเจ้าคะ” คำพูดฉะฉานต่างไปจากหญิงสาวทุกคนในเมืองหลวง

ดวงตาหงส์จ้องมองซูเหวยจนเขาขนลุกซู่ พอนางโยนคำถามมา ตนเองก็รีบพยักหน้าตอบคำถามของนางอย่างไม่รู้ตัว

“แต่ว่า ชาวบ้านหลายคนหรือขุนนางชั้นผู้น้อย เพราะปัญหาเรื่องพื้นที่ของจวนและพื้นที่ของเรือนทำให้พวกเขาจำเป็นต้องแยกบ้านออกจากเรือนใหญ่ เพื่อให้พี่ชายคนโตเป็นคนดูแลบุพการีใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ชาวบ้านหลายคนแอบพยักหน้าตามในใจ ซูเหวยก็ลืมตัวพยักหน้าตอบเช่นกัน

“แต่ว่าหากหัวหน้าครอบครัวเสีย สมบัติของครอบครัวก็ควรแบ่งให้ทายาททุกคนไม่ใช่หรือเจ้าคะ” หลี่ซูเมิ่งขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจนิดหน่อย เพราะทายาทที่ว่านี้มีเพียงผู้ชายเท่านั้น ส่วนผู้หญิงหากออกเรือนไปแล้วก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป

“เจ้า!!”

“เจ้ารอง”

บ้านใหญ่และบ้านสามร้องเสียงดังด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าดรุณีน้อยยังไม่พ้นพิธีปักปิ่นจะพูดถึงเรื่องสมบัติออกมาอย่างไร้ยางอาย แม้แต่ขุนนางขั้นสูงอย่างซูเหวยยังไม่ชอบใจเพราะในสายตาของบัณฑิต เงินทองเป็นสิ่งที่น่าอับอายที่สุด

หลี่ซูเมิ่งแค่นเสียงหยัน หากพูดด้วยภาษาของนาง ในสายตาของคนมีการศึกษาก็คงคิดว่าเรื่องเงินทองพูดขึ้นมาแล้วช่างไร้รสนิยมจริง ๆ

น่าขัน วันนี้นางต้องได้สมบัติกลับไปไม่มากก็น้อย

เพราะในมือของนางไม่มีเงินสักตำลึงเลย!!!!

“ท่านลุงใหญ่เจ้าคะ ถึงอย่างไรท่านปู่ก็จากไปแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะแบ่งสมบัติให้บ้านสามอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่เจ้าคะ” หลี่ซูเมิ่งรู้ว่าตัวเองสามารถกดดันใครได้มากที่สุด

หลินว่านซื่อใบหน้าดำคล้ำ ในใจรู้ว่าสามีต้องตอบว่าอย่างไรแน่นอน

“เหอะ เป็นเพียงเด็กสาวกลับพูดถึงเรื่องเงิน หากต้องการก็เอาไปสิ” หลี่เสียงเซ่อหัวเราะดูถูก ไม่คิดว่าสิ่งที่เด็กสาวพูดออกมาจะขอเงินเท่านั้น

ซูเหวยเห็นว่าสุดท้ายจบปัญหาด้วยการใช้เงินจึงไม่สนใจอีก

หลังจากนั้นก็ถือว่าง่ายแล้ว ภายใต้การควบคุมและการคำนวณอันชาญฉลาดของหลี่ซูเมิ่งและการช่วยเหลือจากกองสืบสวนคดี แม้จำนวนเงินที่ได้มาจะแบ่งสัดส่วนน้อยกว่าบ้านใหญ่และบ้านรอง แต่ในมือของนางก็มีสมบัติอย่างน้อยก็ 500 ตำลึงเงิน

ในใจหลี่ซูเมิ่งรู้สึกอัดอั้นและปวดใจนิดหน่อย

มีวันที่นางดีใจเพียงเพราะเงินไม่กี่ตำลึงเท่านั้นเองหรือ

หญิงสาวเดินออกมาจากกองสืบสวนคดีก่อนจะมองไกลออกไปถึงความวุ่นวายในเมืองหลวง รถม้าที่นางไม่คุ้นเคย บ้านเรือนที่สร้างจากไม้รูปทรงโบราณเคยเห็นแค่ในหนังสือและอินเทอร์เน็ตเท่านั้น

มือเรียวยื่นออกมา เห็นชุดที่สวมใส่ไม่คุ้นเคยและออกไปทางสีซีดไร้สีสัน ในใจก็ยิ่งห่อเหี่ยว สถานที่โบราณแบบนี้ไม่มีอะไรที่นางคุ้นเคยเลย

หญิงสาวเหลียวมองรอบกายเห็นชาวบ้านต่างส่งสายตามองนาง บ้างดูถูก บ้างสงสัย บ้างเย้ยหยัน หรือยังมีคำนินทาว่านางเป็นเด็กสาวที่เห็นแก่เงิน และทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าขุนนางของเมืองหลวงอีกด้วย

ที่มากที่สุดคือ นางไม่เหมือนสตรีคนอื่นในเมืองหลวง เป็นหญิงสาวสติฟั่นเฟือนไปแล้ว

หลี่ซูเมิ่งกำเงินในมือแน่น เศษเงินที่อยู่ในมือทั้งร้อนทั้งเย็นเฉียบ เหมือนแบกรับชีวิตทั้งชีวิตของนางเอาไว้ ในใจรู้สึกหวาดกลัวและกังวลนิดหน่อยว่าตนเองสามารถอยู่ที่นี่อย่างสงบสุขได้จริงหรือ

“น้องรอง ไปกันเถิด” น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือความอ่อนโยนร้องเรียกจากด้านหลัง ขาทั้งสองข้างถูกอะไรบางอย่างเกาะไว้แน่น

หลี่ซูเมิ่งก้มลงมองเห็นก้างปลาสองคนกำลังกอดขาตนเอง ดวงตาของพวกเขาสว่างใสแต่กลับผอมแห้งจนน่าใจหาย ผิวซีดเหลืองราวกับเด็กขาดสารอาหารแต่ในสายตาชาวบ้านที่คุ้นเคยกับความยากลำบากก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่าสงสารอะไร

หญิงสาวหันกายกลับไปมองหลี่อันเฉิง พี่ใหญ่ใสซื่อคนนั้น

เห็นบิดามารดากำลังมองนางด้วยความเป็นห่วง

ชุดที่ทั้งสามคนใส่ซีดจนจำสีเดิมไม่ได้ ไม่รู้ว่าซักมากี่ครั้งและปะชุนมากี่ครั้งแล้ว บิดาที่อายุน้อยกว่าชาติก่อนมากแต่กลับมีผมหงอกสีขาวแซมเล็กน้อย มารดาที่เป็นถึงคุณนายตระกูลหลี่มือทั้งสองข้างถูกดูแลอย่างดีโดยช่างมืออาชีพ ทั้งเนียนนุ่มและอ่อนวัย เทียบไม่ได้กับมือหยาบกร้านเพราะทำงานหนักมานานหลายปีเช่นตอนนี้เลย

หลี่ซูเมิ่งก้มลงเช็ดหยาดน้ำตาที่อยู่หางตา เก็บตำลึงเงินที่นางใช้ศักดิ์ศรีแลกมาไว้ในอกเสื้อด้วยความหนักอึ้ง ก่อนจะลากเอาก้างปลาสองตัวเดินไปหาทั้งสามคน

ในใจคิดว่า...ถึงจะลำบากไปสักหน่อย แต่นางต้องทำให้ครอบครัวของตนเองมีอำนาจเหมือนเมื่อก่อนให้ได้ เหตุการณ์วันนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว

นับจากนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์มาชี้นิ้วดูถูกนางและครอบครัวของนางอีก

หลังจากที่ครอบครัวบ้านตระกูลหลี่จากไปแล้ว ซูเหวยก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนไม่อยากอ่านเอกสารอีก แต่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังทำให้เขาไม่กล้าทำตัวเกียจคร้าน ชายสูงวัยรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วก่อนจะประสานมือโค้งกายลงต่ำระดับเอว “เสียเวลาให้องค์ชายต้องรอนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เขาลืมไปเลยว่าในห้องเก็บเอกสารของกรมสืบสวนคดีมีองค์ชายเก้ามาตรวจเอกสารอยู่ ชายที่ถูกเรียกว่าองค์ชายโบกมือไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ดวงตาพญาอินทรีก้มลงมองลายมือชื่อของครอบครัวตระกูลหลี่ที่ผู้ช่วยบันทึกข้อความเก็บไว้เป็นหลักฐาน

......หลี่ซูเมิ่ง......


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว