“ไปหลงโจวกันทั้งบ้านหรือเจ้าคะ?” ฝูหรงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
“ใช่ เป็นคำสั่งของเสด็จย่าที่ยื่นข้อเสนอต่อฝ่าบาทว่าถ้าอยากให้ท่านเดินทางไปบวงสรวงฟ้าดินที่หลงโจวด้วย ก็ขอฝ่าบาทมีพระบรมราชานุญาตให้คนสกุลฝูทั้งหมดได้เดินทางร่วมขบวนเสด็จด้วย นัยว่าไปหลงโจวคราวนี้...เสด็จย่าหมายจะให้พวกเราได้เที่ยวพักผ่อน หลังจากต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในหยางโจวมาหลายปี” ฝูหมิงพูดอย่างอารมณ์ดี คีบแก้มปลานึ่งซีอิ้วกินอย่างเอร็ดอร่อย
ฝูหมิงอารมณ์ดีมากถึงขั้นที่ไม่ใส่ใจว่าหยางผิงกำลังเติมเครื่องปรุงรสใส่ชามน้ำซุปของตนอยู่เพื่อเพิ่มรสชาติให้กับน้ำซุปรสชาติจืดชืดที่ฝูหมิงเป็นคนลงมือทำต่อหน้าต่อตา โดยเครื่องปรุงนี้เสี่ยวจือเป็นคนนำใส่ถาดแล้วยกมาให้หยางผิงใช้เป็นการส่วนตัว ซึ่งฝูหรงกับจินซื่อมองการกระทำเช่นนี้ของหยางผิงเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
ฝูหรงถามต่อไปอีกว่า “แล้วอาผิงไปกับเราด้วยได้ใช่ไหมเจ้าคะ ท่านพ่อ?”
“ได้สิ” ฝูหมิงตอบยิ้มๆ “เรื่องคดีในหยางโจวช่วงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของไป๋จางไปก่อนได้”
“เยี่ยมเลย” ฝูหรงหันมามองสามีตาพริบพราว ก่อนจะยกมือป้องหูกระซิบบอกเขาอย่างซุกซนว่า
“พอออกเดินทางไปหลงโจว เราก็สามารถร่วมหอกันในรถม้าได้แล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่”
“แค่ก แค่ก แค่ก!” ขาหมูตุ๋นที่เพิ่งเคี้ยวลงคอเกิดติดคอหยางผิงกระทันหัน จนเขาต้องทุบหน้าอกอยู่หลายครั้ง ฝูหรงเองก็ตกใจรีบช่วยลูบหลังให้เขาอย่างห่วงใย
พอขาหมูร่วงสู่กระเพาะ หยางผิงก็เงยหน้ามองภรรยาตัวแสบที่ยิ้มแหยเพราะรู้ว่าตนทะลึ่งตึงตังมากไปหน่อยด้วยสายตาดุเข้ม แต่ฝูหมิงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร กลับชี้นิ้วพูดจาเยาะเย้ยว่า
“สมน้ำหน้า รสชาติน้ำซุปข้าดีอยู่แล้ว เจ้าอยากปรุงรสเพิ่ม ก็สมควรจะสำลักน้ำซุปรสชาติฝีมือเจ้าที่ไม่ได้เรื่องแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
หยางผิงได้แต่ตีหน้าสงบ พูดอย่างจำยอมว่า “ท่านพ่อตากล่าวได้ถูกต้องแล้ว แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยังชอบปรุงรสชาติเพิ่มอยู่ดี”
“เจ้า!” ฝูหมิงได้แต่มองใบหน้าเรียบเฉยของหยางผิงอย่างหงุดหงิด คิดจะต่อว่าอีกสักประโยคสองประโยคแต่กับถูกจินซื่อยัดขาไก่ย่างเข้าปากเสียก่อน จึงได้แต่เคี้ยวขาไก่พลางค้อนภรรยาคนงามประหลับประเหลือก
เมื่อทุกคนกินข้าวเย็นเสร็จ ก็พากันกลับเรือนเพื่อเตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จะนำไปยังหลงโจวด้วย
ฝูหรงนั่งมองหยางผิงวางบันทึกคดีของท่านปู่ลงใส่กล่องไม้สักยี่สิบเล่มได้ด้วยสายตาฉงนฉงาย
“ท่านพี่...เราไปอยู่ที่หลงโจวไม่กี่วันเองนะเจ้าคะ เหตุใดจึงขนหนังสือไปอ่านมากมายถึงเพียงนี้”
“ใครว่าข้ากับเจ้าจะต้องตามขบวนเสด็จกลับมาด้วยเล่า ข้าจะถือโอกาสนี้ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กับเจ้าอย่างเต็มที่เสียที หลังจากถูกบิดาเจ้าขัดขวางมาตลอดสามวันเต็มๆ”
พอหยางผิงพูดตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ ฝูหรงก็อายม้วนตวน รีบคว้าหนังสือปักษาวสันต์ที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงวางลงไปในกล่องหนังสือของสามีด้วย
“เล่มนี้...พวกเราจะลืมไม่ได้เจ้าค่ะ” นางบอกเขินๆ
หยางผิงเองก็อายจนหน้าแดงเถือกไม่แพ้กัน รีบปิดกล่องหนังสือก่อนบ่าวคนใดจะเข้ามาเห็น แค่เสี่ยวจือรู้ความลับนี้หยางผิงก็ไม่กล้าจะมองหน้าบ่าวคนนี้ได้เต็มตาสักครั้ง
แล้วหยางผิงก็หันมามองภรรยาตัวน้อยด้วยสายตาชนิดหนึ่ง สายตาคู่นั้นร้อนแรงในความคิดของฝูหรง จนทำให้เนื้อตัวนางสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ที่เจ้าพูดว่าจะร่วมหอในรถม้าน่ะ เจ้าหมายความตามนั้นจริงๆหรือ?”
หน้าของฝูหรงแดงแจ๋ขึ้นมาทันที “ท่าน...ท่านพี่คงมิได้คิดจะทำจริงๆหรอกนะเจ้าคะ”
ทว่าหยางผิงกลับพยักหน้าอย่างแรง “ทำสิ...โอกาสดีๆแบบนี้จะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร”
“ท่านพี่” ฝูหรงร้อง หน้าร้อนซู่ “ไม่อายบ่าวไพร่หรืออย่างไรเจ้าคะ?”
“ทีวันนั้นที่เจ้ากลั่นแกล้งข้าเจ้ายังไม่เห็นอายเลย ข้าเสียอีก...เกือบจะถูกเสด็จย่าเจ้าเฆี่ยนจนหลังลาย ดังนั้น...ความแค้นครั้งนี้ข้าจะเอาคืนเจ้าทบต้นทบดอกทีเดียว” พูดจบ หยางผิงก็เดินมาช้อนร่างงามที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ให้ฝูหรงได้ทันตั้งตัว
“ว้าย...ท่านพี่ ท่านคิดจะทำอะไรเจ้าคะ?”
“ฝึกซ้อม”
“ฝึกซ้อม?”
“ใช่ ข้าจะฝึกใช้ท่าที่เหมาะสมกับการร่วมหอในรถม้าที่เตียงนี้ไปก่อน!”
“กรี๊ด ท่านพี่ ท่านลามกที่สุด!”
“เจ้านั่นแหละตัวลามกยิ่งกว่าข้าเสียอีก” หยางผิงย้อนกลับกลั้วหัวเราะ
ฝูหรงมองค้อนเขาตาเขียวปัด ก่อนจะยอมรับจูบเร่าร้อนของสามีด้วยความเต็มใจ
แล้วฝูหมิงก็พานางร่วมค่ำคืนวสันต์กับตนอย่างเร่าร้อนตลอดทั้งคืน
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว