วาสนาของปลาเค็ม 向师祖献上咸鱼-26.ไม่ใช่บอกว่า...

โดย  โปรเจคพิเศษ by Hongsamut

วาสนาของปลาเค็ม 向师祖献上咸鱼

26.ไม่ใช่บอกว่า...

เมื่อครู่ไม่ใช่เขาบอกว่าจะมาฆ่าคนหรอกหรือ?

คงไม่ใช่ว่าท่านปรมาจารย์จอมโหดได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของเธอเมื่อครู่นี้กระมัง ถึงรู้ว่าเธอหิวเลยพามากินอาหารที่นี่? ไม่...ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ภาพลักษณ์ของเขาในสายตาเธอไม่ได้ละเอียดอ่อนขนาดนี้!

ซือหม่าเจียวไม่สนว่าหญิงสาวจะคิดอย่างไร พอกล่าวจบก็คว้าผลไม้วิเศษสีแดงก่ำพวงหนึ่งขึ้นมาจากบนโต๊ะ จากนั้นบีบเม็ดของมันจนแตกในมือ น้ำสีแดงกระจายไปทั่วทุกทิศ ย้อมนิ้วมือของเขาจนแดงฉาน เขานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น บีบผลไม้เล่นทีละเม็ดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ไม่สนใจผู้อื่น

เลี่ยนถิงเยี่ยนรู้สึกว่าท่าบีบผลไม้ของเขาช่างคล้ายกับตอนที่เขาบีบหัวคนอื่นอย่างมาก

คนอื่นล้วนคุกเข่าอยู่ เหงื่อเย็นเยียบโซมกาย ในขณะที่เลี่ยนถิงเยี่ยนกลับนั่งอยู่ด้านข้าง เริ่มแทะเนื้อที่วางอยู่บนจาน ไม่รู้ว่าเป็นเนื้อของสัตว์ชนิดใดถึงปรุงได้เอร็ดอร่อยนัก ยามเคี้ยวอยู่ในปาก น้ำในเนื้อพลันทะลักออกมา รสชาติกลมกล่อมปลอบประโลมจิตใจอันเคร่งเครียดภายใต้สภาพแวดล้อมตึงเขม็งแบบนี้ให้สงบลงได้

เธอไม่เคยกินเนื้อที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน เสียดายที่ไม่มีข้าวด้วย หลังจากเริ่มกินไปได้สักพัก เจ้างูดำยักษ์ก็เลื้อยตรงมาหาแล้วใช้หัวดุนดันมือของเธอจากด้านข้าง

เลี่ยนถิงเยี่ยนยังจำได้ว่าพวกเขาสามคนต่างพึ่งพาอาศัยกันและกัน ผ่านวันเวลาอันยากลำบากร่วมกันมา เธอจึงคว้ากะละมังใบโตออกมา จากนั้นหยิบป้านสองสามอันส่งให้เจ้างูดำยักษ์ลองดมกลิ่นทีละป้าน ให้มันเลือกเอง ถึงอย่างไรเครื่องดื่มที่นี่ย่อมต้องดีกว่าน้ำไผ่ของเธออยู่แล้ว ยากยิ่งที่เจ้านายจะพาลูกน้องสองคนออกมากินข้าว แน่นอนว่าพวกเธอย่อมต้องกินแต่ของดีๆ

พอเจ้างูดำยักษ์เลือกหนึ่งในนั้นได้แล้ว เลี่ยนถิงเยี่ยนก็จัดการเทสุราลงกะละมังใบใหญ่ให้มันกินเองจนกว่าจะพอใจ

ตอนที่เธอทำเรื่องพวกนี้ ซือหม่าเจียวก็เหลือบมองมาแวบหนึ่ง เลี่ยนถิงเยี่ยนไม่รู้ว่าแววตาของเขามีความหมายอะไรแฝงอยู่กันแน่ เธอไม่มีวิชาอ่านใจคนเสียหน่อยจึงทำเป็นมองไม่เห็น จากนั้นลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าตัวเองต่อไป ถือเสียว่าเป็นบุฟเฟต์แล้วกัน กินให้มีความสุขก็พอ

เห็นได้ชัดว่าเจ้างูดำยักษ์ก็มีความสุขเช่นกัน มันแกว่งหางไปมา ทว่าความถี่คงจะมากไปจึงทำให้ท่านปรมาจารย์เดือดดาลขึ้นมาแล้ว ซือหม่าเจียวเขวี้ยงผลไม้เม็ดหนึ่งกระแทกหางเจ้างูดำยักษ์ หางของมันพลันแข็งทื่อไปทันที

เลี่ยนถิงเยี่ยนคิดในใจ ยังดีที่ตนเองกินอาหารเงียบๆ ไม่งั้นเกิดทำให้ท่านปรมาจารย์หนวกหูเข้า เป็นได้ถูกเขาเขวี้ยงผลไม้เข้าใส่เหมือนกันแน่

หญิงสาวกินเนื้อไปนิด กินผักไปหน่อย ดื่มน้ำผลไม้ไปอีกเล็กน้อย ท้ายสุดค่อยกินผลไม้ตบท้ายมื้ออาหาร

ซือหม่าเจียวบีบผลไม้ลูกสุดท้ายในมือเสร็จก็เอาชาอวิ๋นฉาป้านหนึ่งที่อยู่ข้างกายมาล้างมือจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน

เจ้างูดำยักษ์พลันแบกเขาและเลี่ยนถิงเยี่ยนขึ้นบนหลังอีกครั้งก่อนจะจากไปอย่างมีความสุข เลี้ยวไปยังสถานที่ที่ซือหม่าเจียวต้องการจะไปในตอนแรก

รอจนพวกเขาจากไปแล้วทั่วทั้งบริเวณยังคงไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวไปแสนนาน ศิษย์พี่เทียนผู้มีศักดิ์ฐานะสูงสุดเด้งตัวขึ้นมาเป็นคนแรก เผยสีหน้าซับซ้อน ต่อมาคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นแล้วมองหน้ากันไปมา

“นั่นคือฉือฉางเต้าจวิน...ท่านปรมาจารย์จริงหรือ?” มีคนเอ่ยถามเสียงแผ่วระโหย

“เมื่อครู่เขาไม่ได้ฆ่าคน ไม่ใช่บอกว่า...”

“เอาล่ะ เลิกเอ่ยถึงเรื่องนี้ได้แล้ว ศิษย์น้องหวู่ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

ศิษย์น้องหวู่ที่หัวแช่อยู่ในบึงตะกายขึ้นมาพร้อมหยาดน้ำเต็มหน้า ตลอดทั้งร่างสั่นสะท้าน มองไปยังศิษย์พี่เทียน “ศิษย์พี่ใหญ่ท่านปรมาจารย์...”

ศิษย์พี่เทียนกลับเดินจากไปด้วยฝีเท้าเร่งร้อนโดยไม่ได้เอ่ยแม้แต่ประโยคเดียว เขาต้องรีบนำเรื่องนี้ไปบอกท่านปู่ของตน ไหนเลยจะยังว่างมาสนใจบรรดาศิษย์น้องที่มาร่วมงานเลี้ยงอยู่อีก

ทางด้านเจ้าสำนักก็พากันเริ่มตื่นตัวหลังจากทราบข่าวว่าซือหม่าเจียวออกจากเขาป๋ายลู่หยา พฤติกรรมของซือหม่าเจียวไม่อาจคาดเดาได้ ไม่มีใครรู้ว่าชายผู้นั้นคิดจะทำอะไร เขาเคยคิดจะส่งคนไปติดตามข้างกายซือหม่าเจียวเพื่อจะได้ล่วงรู้ความเคลื่อนไหวทุกขณะ ทว่าซือหม่าเจียวกลับไม่ใช่คนที่ทนการสอดแนมของผู้อื่นได้ เขาจึงเปลี่ยนแผนให้คนคอยจับตามองแทน ทำให้ข่าวสารที่ได้รับชะงักงันไปบ้าง

ระหว่างทางที่รุดไปยังลานหลิงเหยียนชาน เจ้าสำนักได้ฟังเทียนหวู่อิ๋นเอ่ยถึงการกระทำของซือหม่าเจียวที่บุกเข้าไปในงานเลี้ยงบุปผาของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ตอนนั้นศิษย์เห็นอย่างชัดเจนขอรับ ฉือฉางเต้าจวินโปรดปรานศิษย์หญิงผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่แยแสพวกศิษย์เลยสักนิด เพียงรอสตรีผู้นั้นกินเสร็จก็จากไปทันที” เทียนหวู่อิ๋นเอ่ยต่อ “เคยได้ยินท่านปู่กล่าวว่าฉือฉางเต้าจวินถูกกักขังไว้มานานปี เขาจึงอาฆาตแค้นพวกเราบรรดาแปดมหาตำหนักยิ่งนัก เหล่าผู้อาวุโสที่ย่างเท้าขึ้นไปบนเขาซานเซิ่งชานก่อนหน้านี้ล้วนสิ้นชีพจนหมด ทว่ายามนี้พอมาคิดดูแล้ว เขากลับไม่ได้กระหายการฆ่าฟันขนาดนั้น คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ต่อให้มีคนเอ่ยวาจาอุกอาจจาบจ้วงเขาในตอนแรกก็ไม่มีเรื่องอันใดเช่นกัน”

เจ้าสำนักเผยรอยยิ้มเรียบๆ เอ่ยน้ำเสียงแฝงนัย “ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลซือหม่าผู้นี้ กระทั่งข้าก็ไม่อาจทำความเข้าใจเขาได้อย่างถ่องแท้ ความคิดความอ่านของเขายิ่งไร้ผู้ใดจะล่วงรู้ได้”

ซือหม่าเจียวมุ่งหน้าไปยังลานหลิงเหยียนชานซึ่งเป็นลานประลองยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง มันตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาในใจกลางสำนักเกิงเฉินเซียนฝู่ มักจะมีบรรดาศิษย์ชั้นยอดของแปดมหาตำหนักและสายสาขาของเจ้าสำนักมาทำการประลองแลกเปลี่ยนฝีมือกัน

สถานที่แห่งนี้มีขนาดใหญ่ ถึงขนาดจุคนหลายพันเข้าไปแล้วยังดูโล่งกว้าง เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น ลานหลิงเหยียนชานที่เดิมทีครึกครื้นพลันเงียบกริบในพริบตา

เลี่ยนถิงเยี่ยนค้นพบแล้วว่าหากท่านปรมาจารย์ไปยังที่ใดที่นั่นก็จะวังเวงทันที ชื่อเสียของเขาขจรขจายไปทั่ว ดูสิทำเอาศิษย์พวกนี้แตกตื่นกันไปหมด แต่ละคนล้วนใบหน้าซีดเผือด

เธอแค่มองก็เข้าใจแล้ว ท่านปรมาจารย์คงต้องการจะก่อเรื่องราวใหญ่โต จัดการเก็บกวาดขุมกำลังของรุ่นต่อไปให้สิ้นซาก ไม่รู้ว่าเขาเตรียมจะลงมือทีละคนหรือว่าทีละกลุ่มกันแน่ เธอชักเริ่มเสียใจขึ้นมาหน่อยๆ แล้วที่เมื่อครู่ตนเองกินมากจนเกินไป

ซือหม่าเจียวนั่งลงบนบันไดขั้นบนสุดด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปยังศิษย์สองคน “พวกเจ้าสองคนมาจากสายไหน?”

ศิษย์สองคนเดินออกมา ดูท่ามีความสามารถอยู่บ้าง หลังตั้งสติได้พวกเขาก็รีบรักษามาดเอาไว้ รายงานสายสาขาที่สังกัดและชื่อแซ่ของตนด้วยท่าทีเยือกเย็นไม่มากไม่น้อยจนเกินไป

ซือหม่าเจียวกล่าวต่อ “พวกเจ้าขึ้นไปบนลาน ประลองความเป็นความตายกันสักตั้ง”

ศิษย์สองคนนั้นหันมาสบตากันแวบหนึ่ง สีหน้าออกจะย่ำแย่อยู่บ้าง พวกเขาสังกัดตำหนักต่างกันทว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองตำหนักกลับไม่เลว หากจะให้พวกเขาต่อสู้เป็นตาย ไม่ว่าฝ่ายไหนเกิดเรื่องขึ้นล้วนไม่สะดวกจะชี้แจง แต่ในเมื่อซือหม่าเจียวเอ่ยปากแล้วพวกเขาที่เป็นชนรุ่นเยาว์ย่อมไม่อาจฝ่าฝืน ที่สำคัญก็คือพวกเขาสู้ท่านปรมาจารย์ที่อยู่ด้านบนไม่ได้เช่นกัน

คนทั้งสองเดินขึ้นไปบนลานประลอง พวกเขาคิดจะถ่วงเวลาอีกสักหน่อย รอจนผู้อาวุโสเบื้องบนที่สามารถจัดการได้มาถึง บางทีอาจจะยังพอมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้บ้าง หลังจากต่อสู้กันไป
สักพัก คนทั้งสองต่างก็ไม่ได้ใช้ฝีมือที่แท้จริง ซือหม่าเจียวคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแต่ไม่ได้บันดาลโทสะ เพียงเอ่ยมาอีกประโยค “ปรากฏผลแพ้ชนะภายในหนึ่งก้านธูป หากว่าเสมอ พวกเจ้าสองคนก็ตายไป
พร้อมกัน”

ตอนนี้เลี่ยนถิงเยี่ยนถึงรู้ว่าเขาไม่ได้มาเพื่อฆ่าคน แต่มาเพื่อชมความสนุกสนานที่เห็นคนอื่นฆ่าฟันกันต่างหาก


ศิษย์ชั้นยอดพันกว่าคนในลานประลองมีผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลใหญ่ในสำนัก

นับแต่ถือกำเนิดก็มีพรสวรรค์ที่ดีกว่าและมีแหล่งทรัพยากรเพื่อใช้ในการบำเพ็ญที่มากมายยิ่งกว่า ถือว่ายืนอยู่บนจุดเริ่มต้นของผู้ที่จะประสบความสำเร็จขั้นสุดยอด ไม่ว่าผู้ใดก้าวออกมาก็ล้วนเป็นคนที่บรรดาพรรคเล็กพรรคน้อยข้างนอกไม่กล้าอาจเอื้อมทั้งนั้น แค่สะบัดมือคราเดียวก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของผู้คนนับไม่ถ้วนได้ ทว่าวันนี้ยามอยู่ต่อหน้าฉือฉางเต้าจวิน พวกเขากลับกลายเป็นเพียงมดปลวก ราวกับสลับฐานะกันไปเสียแล้ว

ซือหม่าเจียวนั่งอยู่บนบันไดหยกอย่างสบายอารมณ์ส่วนคนอื่นๆ แม้ภายนอกจะดูเย่อหยิ่งไปสักหน่อย ทว่าหลังจากผ่านการสั่งสอนโชกเลือดมานับครั้งไม่ถ้วนก็ไม่มีใครกล้าเห็นเขาไม่สำคัญอีกต่อไป ยิ่งคนที่มีฐานะมีความสามารถและเจ้าวางแผนด้วยแล้วยิ่งไม่กล้าล่วงเกินเขาอย่างโจ่งแจ้ง เพราะพวกเขาล่วงรู้ความลับมากกว่าศิษย์ทั่วไปจึงยิ่งหวาดหวั่นและเกรงกลัวซือหม่าเจียวผู้นี้ขึ้นไปอีก

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว