ตำนานจอมราชันย์อหังการ -บทที่ 59 ดวงตาภูตผีที่เห็นภาพต่างออกไป

โดย  Enjoybook

ตำนานจอมราชันย์อหังการ

บทที่ 59 ดวงตาภูตผีที่เห็นภาพต่างออกไป

ตอนที่ 15


ไป๋ซิงใช้หลักการจากวิชาการหมุนเวียนพลังในการโคจรพลังกฎเกณฑ์ธาตุแสงตามเส้นชีพจรในร่างกายของเขา

เขาฝึกเคล็ดการหมุนเวียนพลังเพื่อใช้กับพลังกฎเกณฑ์ธาตุแสงให้โคจรไปตามเส้นชีพจรในร่างกายเหมือนกับลมปราณ แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นกับน่าตกใจยิ่งกว่านั้น เขาสามารถใช้พลังกฎเกณฑ์ธาตุแสงได้ดียิ่งขึ้น และทำให้ร่างกายของเขานั้นมีคุณสมบัติของธาตุแสงด้วย

ตอนนี้เขาสามารถหมุนเวียนพลังกฎเกณฑ์ธาตุแสงตามเส้นลมปราณต่างๆได้สูงสุด 5 รอบ ทำให้เขามีพลังเหนือกว่าคนที่อยู่ระดับเดียวกัน 2 เท่านี่คือข้อดีของเคล็ดวิชาการหมุนเวียนพลัง

ไป๋ซิงฝึกอยู่สักพักเขาก็เข้านอน

แสงแดดยามเช้าไป๋ซิงลุกขึ้นทำกิจวัตรประจำวันตามปกติและออกไปบริเวณสนามฝึกซ้อมของเขา เขาหยิบตำราทั้ง 2 เล่มขึ้นมา 1 กระบี่หยาดน้ำแข็งโปรย 2 วิชาหมุนเวียนพลัง

ติ้ง ติ้ง

เรียนรู้กระบี่หยาดน้ำแข็งโปรย

เรียนรู้วิชาหมุนเวียนพลัง

ไป๋ซิงกดเรียนรู้อย่างรวดเร็วมีแสงสว่างออกมาจากตำราทั้ง 2 เล่มและแสดงให้เห็นการฝึกวิชาทั้งสองนี้อย่างรวดเร็วในจิตสำนึกของเขาเหมือนกับเขาฝึกฝนพวกมันมาหลายสิบปีเริ่มตั้งแต่วิชาหมุนเวียนพลังเป็นการหมุนเวียนพลังสะสมไว้ในแต่ละรอบและปลดปล่อยออกมาหรือสามารถหมุนเวียนพลังต่างๆหลอมรวมเข้ากับร่างกายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในด้านต่างๆขึ้นหลายเท่าแล้วใช้ออกในท่วงท่าต่างๆตามตั้งแต่ผู้ใช้สามารถคิดค้นและต่อยอดเคล็ดวิชานั้นได้

ส่วนเพลงกระบี่หยาดน้ำแข็งโปรยนั้นมีด้วยกัน 8 ท่าแบ่งออกเป็นท่าถ้าทั้ง 8 นั้นสามารถใช้ได้ทั้งรับและรุก ท่าที่ 1 ฟาดฟันน้ำแข็ง ท่าที่ 2 พายุน้ำแข็ง ท่าที่ 3 โรงศพน้ำแข็ง ท่าที่ 4 หยาดน้ำแข็งโปรยปราย ท่าที่ 5 โล่น้ำแข็ง ท่าที่ 6 นทีเยือกแข็ง ท่าที่ 7 เสาน้ำแข็งพันปี ท่าที่ 8 ออร่าเยือกแข็ง

ไป๋ซิงฝึกกระบี่หยาดน้ำแข็งโปรยร่ายรำตั้งแต่กระบวนท่าแรกไปจนถึงกระบวนท่าสุดท้ายเขาฝึกอย่างนี้ตลอดทั้ง3วัน 3วันที่ผ่านมาเขาฝึกใช้ได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ

ตอนเช้าของวันที่ 4 หลังจากสำเร็จเพลงกระบี่แล้วเขาติดตามบิดามารดาทั้งสองและท่าน ไป๋หูออกจากตัวเมืองมุ่งหน้าสู่สังเวียนอสูร

สังเวียนอสูร เป็นสถานที่ที่มีความกว้างขวางใหญ่โตกว่า300เมตร ความยาวของมันหลายกิโลเมตรสังเวียนอสูรก็ยังแบ่งออกเป็น2ส่วน คือส่วนของกรงเหล็กขนาดมหึมาซึ่งใช้เป็นสถานที่ที่ทำการต่อสู้ และส่วนของถ้ำอันมืดมิดที่มีประตูเหล็กปิดไว้อย่างแน่นหนานั้นซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและสัตว์อสูรที่ถูกจับขังเอาไว้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อใช้สำหรับต่อสู้

ดังนั้นสังเวียนอสูรจึงตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองเพื่อป้องกันความปลอดภัยของประชากรหรือเหตุสุดวิสัย

ภายในสังเวียนอสูร

ไป๋ซิงเดินอยู่ในสังเวียนอสูรเขาสำรวจพื้นที่บริเวณโดยรอบอย่างละเอียด เขาพบกับผนังทั้ง 4 ด้านประกอบขึ้นจากโลหะขนาดใหญ่สีดำทะมึนสูงขึ้นไปเหนือศีรษะเป็นโซ่เหล็กดำที่ขึงไขว้กันไปมาอย่างถี่ยิบหนาแน่น

“สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างให้ไร้ซึ่งทางหลบหนี” น้ำเสียงเยียบเย็นเป็นเอกลักษณ์ของบิดาเขาดังขึ้น “ลูกกรงทั้งสี่ด้านหลอมสร้างจาก ‘เหล็กกล้าวารีทมิฬ’ โลหะชนิดนี้แข็งแกร่งทนทาน แม้แต่ยอดฝีมือระดับเหนือธรรมชาติขั้นต้นยังยากจะทำลายลงได้ โซ่ที่ขึงอยู่ด้านบนก็หลอมสร้างจากเหล็กกล้าชนิดเดียวกัน ด้วยความสำเร็จของเจ้าในตอนนี้ ต่อให้ใช้ ‘กายาเทพอสูรว่างเปล่า’ ก็คงต้องใช้เวลาประมาณสิบชั่วลมหายใจเข้าออกจึงจะสามารถฝ่าออกจากสถานที่แห่งนี้ไปได้”

“เจ้าต้องระวังตัวให้ดี” เหม่ยเฟิ่งกำชับด้วยความห่วงใย จิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่ ‘ท่านไป๋หู’ ก็ส่งเสียงคำรามให้กำลังใจเขา

ไป๋ฉีชี้มือขึ้นไปเหนือโซ่เหล็ก “ทางด้านบนยังมีที่นั่งสำหรับชมการต่อสู้ พวกเราจะชมดูจากที่นั่น” พูดเสร็จสองสามีภรรยาและจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่ก็ไปยังที่นั่งคนดูเพื่อรับชมการต่อสู้

สัตว์ร้ายส่วนใหญ่เมื่อบรรลุถึงขั้นเหนือธรรมชาติก็จะกลายเป็นสัตว์อสูรเต็มตัว มีอิทธิฤทธิ์สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้เช่นเดียวกับ ‘ท่านเฮยเซ่อ’ แต่ในหมู่พวกมันก็มีเผ่าพันธุ์ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ เช่น ‘สัตว์เทพอสูร’ ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตที่สืบทอดสายเลือดของเทพอสูรอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่ยุคอดีต พวกมันล้วนแล้วแต่มีพละกำลังและภูมิปัญญาสูงส่งกว่าสัตว์ร้ายทั่วไป ทว่ายิ่งมีสายเลือดบริสุทธิ์ก็ยิ่งยากที่จะกลายร่าง สัตว์เทพอสูรบางชนิดจวบกระทั่งบรรลุถึงระดับสาวกตำหนักม่วงหรือปรมาจารย์หมื่นสำแดงก็ยังไม่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ท่านไป๋หูคือสัตว์เทพอสูรประเภท ‘จิ้งจอกเก้าหางวารีวิสุทธิ์’ ซึ่งจะกลายร่างหรือพูดได้เมื่อบรรลุระดับตำหนักม่วงแล้วเท่านั้น

ตอนที่ไป๋ซิงยังเรียนวิชากับไป๋หยูทุกเช้า ท่านไป๋หูซึ่งมีฝีมือในระดับเหนือธรรมชาติจะทำหน้าที่ติดตามดูแลอยู่เคียงข้างและเฝ้าพิทักษ์ความปลอดภัยให้แก่ไป๋ซิง จิ้งจอกเก้าหางวารีวิสุทธิ์มีนิสัยอ่อนโยนตามธรรมชาติทั้งยังรักใคร่ไป๋ซิงอย่างมาก จึงให้ความรักเอ็นดูไป๋ซิงเป็นอย่างยิ่ง ไป๋ซิงเองก็ให้ความเคารพสนิทสนมกับท่านไป๋หูผู้นี้มาก

“ข้าจะพยายามให้ดีที่สุดพวกท่านโปรดวางใจ” ไป๋ซิงยิ้มตอบ

หลังจากมองดูบุคคลทั้งสามออกจากกรงไปยังที่นั่งสำหรับชมการต่อสู้ ไป๋ซิงก็เริ่มเดินสำรวจไปรอบด้านอีกครั้ง ยิ่งดูเขายิ่งอดมิได้ที่จะเชื่อมโยงสังเวียนอสูรแห่งนี้กับสนามต่อสู้เพื่อความบันเทิง อย่างสังเวียนการต่อสู้ของโลกที่จากมา เพียงแต่ผู้ที่ลงมือต่อสู้กับสัตว์ร้ายในที่นี้มิใช่ทาสนักรบ หากแต่เป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลไป๋ ที่นั่งชมด้านบนก็มิได้อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาวุ่นวาย หากมีไว้เฉพาะสำหรับญาติและผู้อาวุโสของตระกูลเท่านั้นที่อนุญาตให้เข้าชมการต่อสู้ได้

นอกจากพวกบิดามารดาของพวกเขาแล้วก็ไม่มีใครอยู่ในสังเวียนอสูรแห่งนี้

เสียงของโซ่ตรวนที่ถูกสะบัดกระชากและเสียงขู่คำรามอันโกรธแค้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สายโซ่เหล็กกล้าที่ขึงตรึงอยู่ด้านบนของกรงขังสั่นกระทบกันเกรียวกราว ส่งฝุ่นผงร่วงโปรยลงสู่พื้นดิน

ทันทีที่ได้ยินเสียงไป๋ซิงพลันสะดุ้งตื่นขึ้นจากห้วงความคิด เขาหันขวับจ้องมองเข้าไปในความมืดของถ้ำโพรงที่เชื่อมต่อกับกรงหลังนี้

ปรากฏเป็นร่างมหึมาที่ปกคลุมไปด้วยขนสีเงินยวงก้าวย่างออกมาจากความมืดมิด เสียงของไป๋ฉีดังลงมาจากที่นั่งชมด้านบน “ข้าเป็นผู้เลือกคู่ต่อสู้ที่สมศักดิ์ศรีนี้ให้แก่เจ้าเอง นี่คือ ‘สุนัขป่าจันทรา’ หนึ่งในสัตว์ร้ายที่มีสายเลือดของเทพอสูร”

ท่ามกลางเสียงหลุดร่วงของโซ่ที่พันธนาการรอบร่างของสุนัขป่าจันทรา ไป๋ซิงรีบปลุกปลอบสมาธิกำลังของตนเองให้ตื่นตัวถึงขีดสุด อย่างน้อยสัตว์ร้ายที่เบื้องหน้าก็ยังคงอยู่ในระดับธรรมชาติขั้นสูงสุดเท่านั้น มิใช่สัตว์เทพอสูรที่บรรลุถึงระดับเหนือธรรมชาติอย่างท่านไป๋หู

ถึงอย่างไรสัตว์ร้ายที่มีสายเลือดของเทพอสูรก็ร้ายกาจอยู่ดี

สุนัขป่าจันทราพลันส่งเสียงหอนอันหวนโหย ร่างที่เป็นอิสระก้าวออกมายืนภายใต้แสงสว่างของกรงขัง

มันเป็นสัตว์ร้ายที่งดงามสง่า ร่างสูงราวสองเมตรปกคลุมไปด้วยขนสีเงินงดงามเป็นประกาย แววตาฉลาดล้ำแสดงถึงสติปัญญาที่มิได้ด้อยไปกว่ามนุษย์ มันรู้ดีว่าในวันนี้หลงเหลือทางเลือกเพียงสองทาง นั่นคือสังหารมนุษย์ที่เบื้องหน้าเพื่อมีชีวิตรอดต่อไปหรือถูกมนุษย์ผู้นี้สังหาร

“ในเมื่อท่านพ่อคิดว่าข้าสามารถต่อกรกับมันได้” กระบี่ปรากฏขึ้นในมือข้างขวาของไป๋ซิงยิ้มขึ้นมา “ข้าก็จะเอาชนะมันให้ดู”

สุนัขป่ายักษ์ตัวนี้ดูไปมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่าห้าพันกิโลกรัม แต่ขาเรียวยาวทรงพลังทั้งสี่กลับช่วยให้มันก้าวเดินเข้ามาอย่างคล่องแคล่วว่องไวเข้าหาไป๋ซิง ไป๋ซิงเองก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนด้อย กุมกระชับกระบี่คู่มือสืบเท้าเข้าหาสัตว์ร้ายที่เบื้องหน้าทีละก้าวอย่างไม่กลัวเกรง

ระยะห่างระหว่างคนและสัตว์ร้ายลดน้อยลงทุกขณะ ดวงตาสองคู่ส่องประสานไม่มีใครยอมใคร

การเคลื่อนไหวของสุนัขป่าจันทราพลันคำรามลั่นกลับกลายจากสง่างามเป็นป่าเถื่อน ร่างที่กำลังเหยาะย่างเปลี่ยนเป็นโถมเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็วจนหลงเหลือเพียงเงาสีเงินจาง กรงเล็บยาวคมกริบโผล่พ้นออกจากอุ้งเท้าทั้งสี่ ตรงเข้าหาไป๋ซิง

ไป๋ซิงเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจดั่งสายฟ้า ร่างท่อนบนบิดเบี่ยงเล็กน้อยหลบเลี่ยงจากท่าตะปบที่จู่โจมเข้ามา กระบี่ในมือแทงสวนออกไปดุจสายฟ้า ทั้งแม่นยำทรงพลังทั้งดุดันอำมหิต ตั้งใจอาศัยแรงโถมจู่โจมของสุนัขป่าจันทรากรีดผ่าลำตัวของมันเองออกเป็นสองส่วน

ทว่าเพียงคมกระบี่สัมผัสเป้าหมายสีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนไป ที่แท้ขนหนาของสุนัขป่าจันทรากลับแฝงแรงสะท้อนอันอ่อนนุ่มจนกระบี่ของเขาไม่อาจทะลวงผ่าน ขณะเดียวกันพวงหางอันทรงพลังกลับวกกวาดเข้าใส่ในแง่มุมและความรวดเร็วที่มิอาจหลบหลีก ด้วยปฏิกริยาของไป๋ซิงยังทำได้เพียงวกกระบี่กลับมาขวางไว้เท่านั้น

ราวกับถูกฟาดหวดด้วยแส้ขนาดยักษ์ เขาปล่อยตัวไปตามแรงปะทะเพื่อลดความเสียหายทั้งคนทั้งกระบี่ปลิวกระเด็นเข้าปะทะกับกรงจนผนังเหล็กดำทั้งผืนสั่นสะท้านอย่างรุนแรง สุนัขป่าจันทราไม่หยุดยั้งรั้งรอ มันเปล่งเสียงขู่คำรามสะท้านขวัญ ร่างมหึมากระโจนติดตามเข้าใส่ กรงเล็บอันคมกริบตบฟาดลงมาอย่างหักโหม

ไป๋ซิงก็ไม่ได้นิ่งนอนใจใช้ท่าร่างเงาอัสนีลหลบหลีกออกมา เหลือไว้เพียงภาพติดตาบนผนังเหล็กกล้าอันแข็งแกร่งกลับปรากฏรอยกรงเล็บลากผ่านเป็นทางยาว

สุนัขป่าจันทราหยุดลง กระบวนท่ากวาดหางกระแทกเป็นหนึ่งในไม้ตายปลิดชีวิตของมัน แต่มนุษย์ผู้นี้นอกจากจะไม่ได้รับบาดเจ็บแล้ว ยังหลบหลีกจากกระบวนท่าสังหารที่ตามหลังได้อีก นี่ทำให้มันต้องประเมินคู่มือตรงหน้าใหม่อีกครั้ง

“น่าหวาดเสียวนัก นี่มันเสียวกว่ารถไฟเหาะอีกนะเนี่ย หากเป็นนักรบทั่วไป ต่อให้ขวางกระบี่ต้านรับไว้ทัน แต่แรงกระแทกของกระบวนท่าเมื่อครู่ยังรุนแรงพอที่จะบดขยี้อวัยวะภายในให้แหลกเหลวหมดสิ้น การจะกำจัดมันคงมีแต่ต้องพึ่งพากายาเทพอสูรเท่านั้น”

หลายปีมานี้พลังปราณของไป๋ซิงก็ขึ้นสู่ขั้นสูงสุดของระดับธรรมชาติแล้วเช่นกัน แต่การประมือเมื่อครู่ แสดงแน่ชัดว่าปราณกระบี่ของเขายังไม่อาจแทงทะลุขนสุนัขป่าได้ ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์

ไป๋ซิงส่งเสียงตวาดก้อง ลมหายใจที่ระบายออกปรากฏเป็นคลื่นพลังที่สั่นสะท้านมวลอากาศโดยรอบ พลังงานกฎเกณฑ์ธาตุแสงในร่างกายโคจรอย่างบ้าคลั่ง พลังแห่งแสงเกิดการแตกปะทุ เปล่งประกายสีขาวจางๆออกมาจากรอบกายของเขา

สุนัขป่าจันทรารับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่อันตราย มันส่งเสียงคำรามแหบต่ำ ดวงตาทั้งคู่จับนิ่งอยู่บนร่างสีแดงตรงหน้า กล้ามเนื้อทั่วร่างถูกปลุกกระตุ้นให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะระเบิดพลังออกมาได้ทุกเมื่อ

เขารับรู้ได้ถึงแรงกดดันจากสุนัขป่าจันทรา ออร่าแห่งแสง พลังแห่งแสงค่อยๆหลอมรวมเข้ากับกระบี่ของเขาอย่างช้าๆ

“ในที่สุดเด็กน้อยก็ยอมใช้ ‘กายาเทพอสูรว่างเปล่า’ ” เหม่ยเฟิ่งหัวเราะเบาๆ “ก่อนหน้านี้เขายังพยายามจะไม่ใช้มันออก”

ไป๋ฉีพยักหน้า “นี่คือสาเหตุที่ข้าเจาะจงเลือกสุนัขป่าจันทรา สัตว์ร้ายตัวนี้มีสายเลือดเทพอสูร ขนของมันหนาและแข็งแกร่งจนพลังปราณระดับธรรมชาติไม่อาจทำอะไรมันได้ ข้าต้องการให้ลูกของเราใช้พลังทั้งหมดของกายาเทพอสูรว่างเปล่าในการต่อสู้ครั้งนี้”

“แล้วท่านคิดว่าลูกของเราจะเอาชนะมันได้หรือไม่”

“ชนะสิเพราะพลังของกายาเทพอสูรของเขานั้นเลื่อนระดับมาเป็นขั้นที่2แล้ว”

“อะไรนะท่านจะบอกว่าลูกของเรานั้นอยู่ในขอบเขตระดับเหนือธรรมชาติแล้วอย่างนั้นเหรอ”

“ระดับเหนือธรรมชาติในอายุแค่สิบกว่าปีในเขตปกครองของตระกูลเรานั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแม้แต่ตัวท่านเองในอายุ 10 กว่าปีก็ไปถึงระดับนั้นไม่ได้”

“เรื่องนี้เงียบไว้ก่อน”

*********************************************************************

ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม

ช่องทางyoutube ด้วยนะครับ

ช่อง เล่าไปเรื่อย Channel

https://www.youtube.com/channel/UCq0jhJfgu3BFHkCtMgcTBcQ

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว