“เกิดอะไรขึ้น ทำไมวุ่นวายแบบนี้ ? ”
“ไม่รู้เหมือนกัน เราไปดูกันเถอะ”
“ปะ เร็วเข้า ! ”
ความจริงแล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เย่หลินเถามาเป็นผู้ตัดสินของบริษัทในการคัดเลือกเด็กฝึก เมื่อได้ยินเสียงที่วุ่นวายดังมาจากชั้นสาม และได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายอย่างกับอยู่ในตลาดสด เย่หลินเถาและหลิวจือเซียจึงกระซิบกระซาบกันเบา ๆ
เมื่อพวกเขาขึ้นไปถึงชั้นสาม พวกเขาก็พบกับบรรยากาศตรงหน้า
พระเจ้า ภาพตรงหน้ามันช่างวุ่นวายเสียจริง !
ทางเดินทั้งชั้นสามเต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัด แม้แต่ทางเข้าก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งยืนอยู่อีกด้วย
“นี่คือนักศึกษาของวิทยาลัยการละครฮัวเซีย ที่มารับการคัดเลือกเป็นเด็กฝึกงั้นหรือ ? ”
หลิวจือเซียถึงกับต้องยืนเขย่ง มองดูกลุ่มคนมากมายที่ยืนต่อแถวบริเวณทางเดิน คาดว่าอย่างน้อยต้องมีประมาณ 600 คนแน่
ให้ตายเถอะ 600 คน นี่คือจำนวนที่มีอยู่ตอนนี้ เขาเชื่อว่าหลังจากข่าวที่ว่าบริษัทเวิ่นซิงเอนเตอร์เทนเมนต์รับสมัครเด็กฝึกออกไป ผู้คนจะทยอยมากันเรื่อย ๆ เกรงว่าบางทีอาจจะเกิน 1,000 คนซะด้วยซ้ำ
หลิวจือเซียรู้สึกเสียใจ ทำไมเขาไม่ยอมปฏิเสธอย่างเด็ดขาดตั้งแต่แรก ทำไมเขาจะต้องตามมาที่นี่ด้วย ?
หลายคนต้องการแสดงความสามารถ แล้วต้องใช้เวลานานขนาดไหนถึงจะดูจนหมด ?
“ใช่ นี่ยังนับว่าน้อยนะ ! ” หวางฉีเคยชินเสียแล้ว “ถ้าไม่ใช่เพราะการรับสมัครมีตั้งแต่บ่ายวันนี้ไปจนถึงวันพรุ่งนี้ล่ะก็ เกรงว่าคนคงเข้าแถวจนไปถึงชั้นหนึ่งได้เลย”
หลิวจือเซียประเมินความบ้าคลั่งของนักศึกษาเหล่านี้ต่ำเกินไป !
“ไปกันเถอะ อย่ามัวแต่ตกตะลึงกันอยู่เลย” หลางเวิ่นซิงที่เห็นภาพนี้มาจนชินตา ดังนั้นเขาจึงลากหลิวจือเซียเดินหน้าต่อไป
โชคดีที่หวางฉีเปิดทางไว้ให้ เหล่านักเรียนจึงหลีกทางให้กับพวกเขา
“ผอ. หวางสวัสดีครับ / ผอ. หวางสวัสดีค่ะ ! ”
ฐานะของหวางฉีนั้นถือว่าใช้ในวิทยาลัยการละครฮัวเซียได้ดีทีเดียว เพราะนักศึกษาทุกคนล้วนแต่ทักทายเขาแทบจะตลอดทาง
และหวางฉีเองก็ไม่ทำให้ใครขุ่นเคืองเช่นกัน เมื่อเหล่านักศึกษาทักทายเขา เขาก็จะยิ้มตอบกลับอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้ว่าเขามีนิสัยเช่นนั้นจริงหรือว่าเขาเสแสร้งกันแน่
“เฮ้ พวกเราดูคนนั้นสิ ใช่เย่หลินเถาหรือเปล่า ? ”
“บ้าน่า เป็นเขาจริง ๆ ด้วย ใช่แล้ว เขาเป็นศิลปินของบริษัทเวิ่นซิงเอนเตอร์เทนเมนต์ เขาคงมาทำหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินใจครั้งนี้แน่เลย”
“แล้วคนข้าง ๆ นั่นล่ะ ? ใช่คนที่ร้องเพลง ‘ได้เจอเธอพอดี’ หรือเปล่า ? ”
“ฉันจำได้ว่าเขาก็อยู่วิทยาลัยการละครเขตฮัวเซียเหมือนกัน เพียงแค่เขาใกล้จะจบแล้ว ! ”
“จบกัน ทุกครั้งก็รับคนแค่ 10 คนเท่านั้น ตอนนี้เขามาอยู่ที่นี่ ถ้างั้นก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่น่ะสิ ! ”
ในระหว่างทาง นักศึกษาบางคนก็จำเย่หลินเถาและหลิวจือเซียได้ แต่ทัศนคติที่พวกเขามีต่อคนทั้งสองกลับแตกต่างกัน คนหนึ่งคืออิจฉาและชื่นชม อีกคนคือริษยาและมองอย่างเป็นศัตรู
หลิวจือเซียผู้น่าสงสารไม่ได้รู้ตัวเลยว่า เพียงแค่เขาโผล่มาก็พบกับคลื่นความเกลียดชังเสียแล้ว
..................
เมื่อเดินไปถึงปลายทางเดิน พวกเขาก็มองเห็นโรงละครขนาดเล็กตั้งอยู่
เมื่อผลักประตูเข้าไป ทันใดนั้นโรงละครเล็ก ๆ ที่ดูประณีตก็ปรากฏสู่สายตาทุกคน
โรงละครมีขนาดประมาณ 200 ตารางเมตร ขนาดพอ ๆ กันกับโรงภาพยนตร์ มีที่นั่งมากมายเต็มโรงละคร เฉพาะแถวที่ใกล้เวทีเท่านั้นที่จะเป็นเก้าอี้โซฟากว้างหลายตัว ด้านหน้ามีโต๊ะเป็นแถวพร้อมกับไมโครโฟน มีน้ำแร่ กระดาษ และปากกาวางอยู่
หน้าโรงละครแห่งนั้น มีเวทีเล็ก ๆ ประมาณ 30 ตารางเมตร มีครบทั้งแสงสีเสียง และม่าน ฯลฯ
ตอนนี้มีคนสี่คนนั่งอยู่ในโรงละครเล็ก พวกเขากำลังนั่งอยู่บนโซฟาแถวหน้า
ทั้งสี่คน สองคนนั่งอยู่ด้านข้างมีอายุราวสามสิบต้น ๆ ส่วนสองคนที่นั่งอยู่ตรงกลางดูอายุประมาณสี่สิบกลาง ๆ พวกเขาคงจะเป็นกรรมการจากบริษัทเวิ่นซิงเอนเตอร์เทนเมนต์
หลางเวิ่นซิงพาหลิวจือเซียและเย่หลินเถาเดินไปจนถึงด้านหน้า
“ประธานหลาง ! ”
เมื่อเห็นเจ้านายกำลังเดินเข้ามา กรรมการทั้งสี่คนแถวหน้าก็ลุกขึ้นยืน
“อืม พวกคุณมากันเร็วมาก” หลางเวิ่นซิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาพาหลิวจือเซียออกมาและกล่าวขึ้นว่า “ผมขอแนะนำให้พวกคุณรู้จัก เขาชื่อว่าหลิวจือเซีย เป็นศิลปินคนใหม่ของบริษัทเรา ! ”
เอ่ยจบ หลางเวิ่นซิงก็ชี้ไปที่ทั้งสี่คน และแนะนำคนเหล่านั้นให้กับหลิวจือเซีย
“หูอี้ฟาน เขาคือผู้จัดการมือทองของแผนกผู้จัดการบริษัทเรา ฉางหยวน ครูสอนการแสดงพิเศษ อู่เล่ย ครูสอนร้องเพลง และคนสุดท้าย...”
เมื่อกล่าวถึงในตอนนั้น หลางเวิ่นซิงก็หยุดไปชั่วขณะ เขาแนะนำต่อว่า “นี่คือหานจวิ้นชิง ผู้อำนวยการด้านการแต่งเพลงของบริษัทของเรา ! ต่อไปถ้านายมีอะไรไม่เข้าใจ นายสามารถไปปรึกษาผอ.หานได้เลย”
เมื่อได้ยินว่าชายคนนี้คือหานจวิ้นชิง หลิวจือเซียก็พิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียดทันที
เขาเป็นชายวัยกลางคน อายุประมาณ 45 ปีรูปร่างอ้วนและเตี้ย หัวล้าน จมูกทรงเหยี่ยว สวมแว่นตาทรงกลมขอบทอง
ผู้จัดการส่วนตัว การแสดง ร้องเพลง บวกกับผู้อำนวยการด้านการแต่งเพลง ทีมกรรมการนี้ช่างเข้มงวดจริง ๆ
ทั้งสี่คนตรงหน้าต่างก็เป็นผู้อาวุโส หลิวจือเซียจึงวางตัวเองในฐานะรุ่นน้อง พลางทักทายว่า “สวัสดีครับทุกท่าน ในอนาคตพวกเราคงจะได้ร่วมงานกัน หากมีอะไรที่ผมทำพลาดไปก็ขอให้บอกกันตรง ๆ ได้เลยนะครับ ! ”
“สวัสดี สวัสดี ! ”
คนอื่น ๆ ต่างก็ทักทายกลับเช่นกัน มีเพียงหานจวิ้นชิงที่แค่มองดูหลิวจือเซียด้วยสายตาเรียบ ๆ ราวไม่อยากใส่ใจหลิวจือเซีย
หลิวจือเซียก็เข้าใจเรื่องนี้ดี เขาคือคนที่โด่งดังจากอินเตอร์เน็ตเพียงชั่วข้ามคืน การที่หานจวิ้นชิงเป็นคนในวงการดนตรีที่อยู่ระดับแนวหน้าจะดูถูกเขาก็เป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นหลิวจือเซียจึงไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย
“ประธานหลาง เราเริ่มกันเลยดีไหม ? ” หลังจากปรายตามองหลิวจือเซีย หานจวิ้นชิงก็ถามความเห็นหลางเวิ่นซิง
“อืม” หลางเวิ่นซิงพยักหน้า “คราวนี้เถาจื่อก็จะร่วมในการตัดสินด้วย จือเซียจะเป็นแขกรับเชิญพิเศษ ส่วนผมพวกคุณไม่ต้องสนใจ คิดเสียว่าผมไม่มีตัวตนก็แล้วกัน”
“ครับ”
การจะให้เย่หลินเถามาเป็นกรรมการนั้น หานจวิ้นชิงไม่ขัดข้องใด ๆ เพราะเย่หลินเถาเป็นดาราชั้นแนวหน้าและความสามารถในการแสดงก็โดดเด่น แต่แขกพิเศษนั้นหมายความว่าอย่างไร ? จะให้เด็กที่ไม่มีประสบการณ์อย่างนั้นมาเป็นแขกรับเชิญพิเศษเนี่ยนะ ?
แน่นอนว่าหานจวิ้นชิงแค่คิดในใจเท่านั้น เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ผู้อำนวยการหวาง ให้นักศึกษาเข้ามาได้ครับ พวกเราจะเริ่มกันแล้ว” หานจวิ้นชิงโบกมือให้กับหวางฉี
หวางฉีพยักหน้า สั่งให้คนยืนอยู่ที่ประตู จากนั้นก็เริ่มเรียกนักศึกษาขึ้นมาทีละคน
นักศึกษากลุ่มแรกจำนวน 10 คน พวกเขารออยู่ข้างเวทีตามลำดับ
เพื่อความยุติธรรม การรับสมัครเด็กฝึกของบริษัทเวิ่นซิงเอนเตอร์เทนเมนต์ครั้งนี้ จึงอนุญาตให้ถ่ายวิดีโอได้
คนแรกที่ขึ้นเวทีคือผู้ชายวัย 20 ปี ร่างผอมสูง ผมทรงเดทล็อค คิ้วเข้มตาโต มีลักษณะร่าเริง
“สวัสดีครับอาจารย์ทุกท่าน ผมชื่อจางหยาง นักเรียนปี 2 สาขาการแสดงเอกละครเวทีของวิทยาลัยการละครเขตฮัวเซีย”
ชายหนุ่มโค้งคำนับให้กับพวกหานชุนจิงและเอ่ยว่า “วันนี้ผมจะมาร้องเพลงครับ”
“นายมีทำนองมาด้วยหรือเปล่า ? ” อู๋เล่ยถาม
เป้าหมายของบริษัทเวิ่นซิงเอนเตอร์เทนเมนต์คือต้องร้องเพลงพร้อมดนตรี และการแสดงบนเวทีได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีแต่แบบนี้จึงจะสามารถมองความเข้าใจในศิลปะของพวกเขาได้
จางหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ผมได้ส่งทำนองให้กับทีมงานที่คุมเครื่องเสียงแล้วครับ เพลงที่ผมจะร้องในวันนี้เป็นเพลงของอาจารย์จางฮัว ชื่อว่า ‘พวกเรายังมีความฝัน’”
“อืม เริ่มแสดงได้เลยครับ” อู๋เล่ยกล่าว
“ทีมเครื่องเสียง เริ่มได้ ! ”
จางหยางหยิบไมโครโฟนขึ้นและพูดออกมา ทันใดนั้นเสียงดนตรีก็ดังขึ้น ก่อนที่จางหยางจะเริ่มร้องขึ้น
“เมื่อเราติดอยู่ในความทุกข์ยาก
พวกเราอาจจะเข้มแข็งขึ้นไหม ?
ความฝันในวัยเด็ก
หรือเป็นเพราะวันเวลาที่ผ่านพ้นไป...
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว