ตำนานจอมราชันย์อหังการ -บทที่ 5 ผู้อาวุโสเหยาผู้ประพฤติตนประหลาด

โดย  Enjoybook

ตำนานจอมราชันย์อหังการ

บทที่ 5 ผู้อาวุโสเหยาผู้ประพฤติตนประหลาด

บทที่ 5 ผู้อาวุโสเหยาผู้ประพฤติตนประหลาด


เมื่อทราบว่าลู่เฉินไม่รู้เรื่องงานประลองสิบสำนัก ฉินหลินจึงได้อธิบายสิ่งที่เขารู้ให้อีกฝ่ายทราบ


ในปัจจุบัน แดนทักษิณามี แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดสามแห่งด้วยกัน โดยมีสำนักมากมายอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามนี้ ซึ่งสำหรับสำนักเก้าสุขสงบและสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าอยู่ในพื้นที่ของ ‘แดนศักดิ์สิทธิ์เมฆาสงัด’

ในแดนศักดิ์สิทธิ์เมฆาสงัดนั้น สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดจะถูกคัดเลือกจากบรรดาสำนักมากมายในทุก ๆ ร้อยปี ซึ่งจะคัดเลือกมาเพียงสิบสำนักเท่านั้น


และสิบสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดเหล่านี้จะได้รับความช่วยเหลือด้านทรัพยากร และรางวัลพิเศษจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งรางวัลพิเศษนี้ไม่อาจหามาได้ง่ายหรือครอบครองโดยสำนักทั่วไป ดังนั้นทุก ๆ ร้อยปี หลายสำนักจึงพากันลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมในการคัดเลือก


แต่สำนักเก้าสุขสงบไม่ได้เข้าร่วมมานานหลายร้อยปี เนื่องจากยังไม่มีผู้สมัครที่เหมาะสม


ในฐานะบุตรศักดิ์สิทธิ์แล้ว การเข้าร่วมงานในครั้งนี้ก็เพื่อทดสอบความสามารถของลู่เฉิน รวมทั้งเป็นการสร้างชื่อเสียงให้สำนักเก้าสุขสงบเพื่อดึงดูดผู้คน


เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลู่เฉินก็พลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้... ก็คือการเปิดจุดที่เก้า และ ‘เพาะปลูก’ รากวิญญาณขึ้นมาใหม่!


ลู่เฉินจึงหันไปกล่าวกับฉินหลิน "พาข้าไปที่นั่น..."


หลังจากฉินหลินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาก็จำได้ว่าแท้จริงแล้วลู่เฉินมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์ใด จึงหันไปกล่าวกับผู้เฒ่าอ้วนว่า "ข้าจะพาเขาไปสำรวจบริเวณโดยรอบก่อน!"


“ไม่คิดอยากลงจากเขาหรือ?” ผู้เฒ่าอ้วนสงสัย เมื่อเห็นว่าลู่เฉินไม่ได้ตั้งใจจะลงจากภูเขา


เมื่อได้ยินคำพูดที่แฝงไว้ด้วยน้ำใจในประโยคนี้ ลู่เฉินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกล่าวว่า "ข้าอยากจะเดินผ่อนคลายอารมณ์สักเล็กน้อย หากท่านมีสิ่งใด ก็สามารถฝากข้อความผ่านฉินหลินมาถึงข้าได้"


หลังจากได้ยินเช่นนั้น ผู้เฒ่าอ้วนก็จากไป


ฉินหลินพาลู่เฉินไปที่หอโอสถ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เนื่องจากในนี้มีทั้งสมุนไพร วัตถุดิบ และตัวยาอันล้ำค่ามากมายเก็บรักษาไว้ ...สิ่งของทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เฒ่าเหยา!


เนื่องจากขณะนี้ค่ำมืดแล้ว ประตูหอโอสถจึงปิด ทว่าแสงไฟจากชั้นสองกลับลอดออกมาให้เห็น ทำให้แน่ใจได้ว่าภายในนั้นต้องมีคนอยู่เป็นแน่


ฉินหลินพลันตะโกนขึ้นว่า "ผู้เฒ่าเหยา เปิดประตู!"


ทันใดนั้น ประตูหน้าหอก็เปิดออกอย่างกะทันหัน


“เข้าไปกันเถอะ!” ฉินหลินพาลู่เฉินเข้าไปในหออันมืดมิด


หากฉินหลินไม่ได้เดินนำลู่เฉินขึ้นไปชั้นบน ชายหนุ่มคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบันไดอยู่ที่ไหน


เมื่อพวกเขาไปถึงชั้นสอง ประตูบานหนึ่งซึ่งมีแสงลอดออกมาก็พลันเปิดออก


ขณะที่ฉินหลินกำลังจะเดินเข้าไป เสียงแหบห้าวในห้องก็ดังขึ้นว่า “มีอะไร?”


“ข้ามาที่นี่เพื่อขอสมุนไพรล้ำค่าสามอย่าง!” ฉินหลินกล่าวอย่างสุภาพ ในขณะที่คนในห้องคล้ายลังเลใจ “สมุนไพรอะไร สำหรับใคร?”


ฉินหลินเอ่ยชื่อสมุนไพรทั้งสามออกมาทีละชื่อ นามทั้งหมดที่กล่าวออกมาล้วนเป็นสมุนไพรล้ำค่าที่มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปีทั้งสิ้น


หลังจากเอ่ยจบ ฉินหลินก็ชี้ไปยังลู่เฉินซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง "สำหรับเขา!"


“ฉินหลิน เจ้าเป็นแพทย์ของสำนักเก้าสุขสงบ ข้าจึงเลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่ง*[1] ทว่าครั้งนี้สิ่งที่เจ้าขอนั้นล้ำค่ายิ่ง ดังนั้นข้าจึงขอถามว่า เจ้าคิดว่ากับตัวตนที่ยังอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณระดับห้า ...มันควรค่าแล้วหรือ?”


คำพูดนี้นับได้ว่าเป็นการดูถูกอย่างชัดเจน!


ฉินหลินถึงกับกังวลขึ้นมา "ผู้เฒ่าเหยา เขาเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเราแล้ว!"


“บุตรศักดิ์สิทธิ์? นี่เจ้ากำลังโกหกข้าอยู่หรือ?” อีกฝ่ายไม่เชื่อแม้แต่น้อย ฉินหลินจึงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง


ทันทีที่เล่าจบ ชายคนหนึ่งก็เดินออกมาจากในห้องนั้น


ชายที่เพิ่งเผยตัวออกมาคนนี้ แผ่นหลังของเขาค่อมลงเล็กน้อย ใบหน้ามีรอยแผลไฟไหม้ เส้นผมก็พองฟูรุงรังยิ่งนัก ดูแล้วน่ากลัวไม่น้อย


ทว่าไม่เพียงแค่นั้น บริเวณด้านขวาของลำคอ ยังมีแผลตุ่มหนองสีดำที่จวนใกล้จะแตกออกมาได้ทุกเมื่ออีกด้วย!


ฉินหลินเร่งแนะนำอีกฝ่ายให้ลู่เฉินรู้จักทันที “นี่คือผู้อาวุโสเหยา ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งหมด เขาอายุมากที่สุดเป็นอันดับสี่และทำหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการสมุนไพร รวมถึงวัตถุดิบล้ำค่าทั้งหลายที่มีความเกี่ยวข้องด้านการแพทย์!”


“เห็นได้ชัดว่าเจ้าฝึกถึงเพียงขั้นกลั่นลมปราณระดับห้าเท่านั้น และแม้แต่รากวิญญาณก็ยังไม่มี ดังนั้นแล้วด้วยวิธีใดกัน... ที่ทำให้กระบี่สยบเก้าทิศยอมรับในตัวเจ้า?” ผู้อาวุโสเหยาถามออกมาเพราะยังคงไม่เชื่อ


ลู่เฉินไม่ได้อธิบาย เพียงมองไปที่ผู้อาวุโสเหยาครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า "ท่านถูกวางยาพิษ และภายในสิบวันหลังจากนี้ พิษที่คอนั่นจะแพร่กระจายไปทั่วร่าง!"


ฉินหลินได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงและพูดว่า "เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?!"


“ล้อเล่น?” ลู่เฉินไม่ได้ล้อเล่น! เพราะถึงแม้ร่างกายของเขาจะอ่อนแอ แต่จิตวิญญาณของเขาก็ยังคงแข็งแกร่ง ส่งผลให้เขามีการรับรู้ที่เฉียบคม!


ดังนั้นในระยะใกล้เช่นนี้ หากชายหนุ่มอยากรู้ว่าคนผู้นั้นถูกวางยาพิษหรือไม่ และเป็นพิษชนิดใด เขาก็สามารถรับรู้ได้โดยง่าย!


ฉินหลินที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังนี้จึงได้อธิบายจากประสบการณ์อันยาวนานของตนเองว่า "ผู้อาวุโสเหยาเพียงทดลองยามากเกินไป พิษจึงสะสมอยู่ในร่างชั่วคราว ทว่าพิษพวกนี้จะไม่ทำให้ถึงกับเสียชีวิต เพียงแค่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเท่านั้น!"


“แน่ใจหรือ?” ลู่เฉินถามกลับ


ประโยคนี้ทำให้ฉินหลินรู้สึกถึงความผิดปกติทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขานึกถึงทักษะทางการแพทย์อันทรงพลังของลู่เฉิน!


ผู้อาวุโสเหยามองลู่เฉินด้วยความสงสัย “เจ้าจะบอกว่า ภายในสิบวัน ข้าจะถูกพิษนี้ทำร้ายจนตายอย่างนั้นหรือ?”


“ข้าสัมผัสได้ถึงพลังปราณในร่างกายของท่านที่ลดลงเล็กน้อย จนทำให้แม้แต่เคล็ดวิชาที่ใช้ก็ยังอ่อนแอลง ใช่หรือไม่?” ลู่เฉินถามกลับ ทำให้ดวงตาของผู้อาวุโสเหยาพลันเบิกกว้างด้วยความตกใจ “จ...จะ... เจ้ารู้ได้อย่างไร?”


“ข้ามีวิชาแพทย์อยู่นิดหน่อย!” คำตอบของลู่เฉินทำให้ผู้อาวุโสเหยามองฉินหลินด้วยความประหลาดใจ


ฉินหลินลังเลใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “เขานับว่ามีความรู้ด้านนี้อยู่บ้างจริง ๆ!”


ผู้อาวุโสเหยาได้ยินดังนั้นจึงรีบถาม “แล้วมีวิธีรักษาหรือไม่?”


“ข้าสามารถนำเนื้องอกที่คอออกได้ แล้วจะให้ใบสั่งยาแก่ท่าน ภายในสิบวันให้หลัง พิษในร่างกายของท่านจะถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์!” ลู่เฉินกล่าวอย่างมั่นใจ


ครั้นผู้อาวุโสเหยาได้ยินเช่นนั้น เขาก็ถามอย่างตื่นเต้น “จริงหรือ?”


"แน่นอน!"


“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอรบกวนด้วย!” ผู้อาวุโสเหยาแสดงท่าทีกระตือรือร้น ลู่เฉินจึงขอยืมเข็มเงินจากฉินหลิน ก่อนที่คนทั้งคู่จะพากันเดินเข้าไปภายในห้อง


เมื่อเข้ามาด้านใน ชายหนุ่มบอกให้ผู้อาวุโสเหยานั่งลง ส่วนฉินหลินนั้นยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก


แม้ว่าผู้อาวุโสเหยาจะเป็นคนออกปากให้รักษา แต่เขาก็ยังรู้สึกลังเลใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าลู่เฉินยังอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณระดับห้า


"บอกข้าที เจ้าเรียนรู้วิชาแพทย์มาจากที่ใด?!" ผู้อาวุโสเหยาถาม


“เรียนรู้ด้วยตนเอง!”


คำตอบของลู่เฉินทำให้ผู้อาวุโสเหยาตื่นตระหนก “แล้วเจ้าเคยพบหรือรักษาอาการเช่นนี้มาก่อนหรือไม่?”


"ไม่เคย!"


ครั้นได้ยินดังนั้น ผู้อาวุโสเหยาพลันลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ พลางจ้องลู่เฉินด้วยสีหน้าตระหนก “นี่เจ้า!”


“ถ้าท่านเชื่อข้า โปรดนั่งลง แต่ถ้าไม่... เช่นนั้นข้าก็บอกได้เพียงว่าสุดแล้วแต่ท่าน!”


ผู้อาวุโสเหยาได้ยินแล้วก็ยังคงรู้สึกลังเลใจ


ลู่เฉินมองไปรอบ ๆ และกล่าวอีกว่า “แต่ข้าต้องบอกไว้ก่อน หากท่านไม่รักษาภายในสิบวัน ท่านจะต้องตายอย่างแน่นอน!”


เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้อาวุโสเหยาก็ถึงกับผงะ ทว่าในที่สุดก็คล้ายกับว่าตัดสินใจได้ เขาจึงนั่งลงอย่างเชื่อฟังและถามว่า "เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร?"


“หันหลัง.. และอยู่นิ่ง ๆ!”


ผู้อาวุโสเหยานั่งหันหลังให้ลู่เฉินตามคำบอกของอีกฝ่าย และหลังจากที่ลู่เฉินฝังเข็มลงไปสองสามเล่ม ผู้อาวุโสเหยาก็รู้สึกง่วงแล้วหลับไปทันที


ลู่เฉินหยิบเข็มอีกสองสามเล่มออกมา และควบคุมให้พลังปราณไหลผ่านเข็มเหล่านี้ โคจรและผลักดันให้ปราณขับพิษในกายอีกฝ่ายออกมา


เช้าวันรุ่งขึ้น


ผู้อาวุโสเหยาลืมตาตื่นขึ้น ก่อนจะพบว่าตนเองนอนอยู่ที่มุมหนึ่ง เขาเริ่มกังวลขึ้นมาทันที


ครั้นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็พบว่าฉินหลินยืนอยู่ที่ประตู และกำลังส่งยิ้มมาให้เขา


"ข้าหลับไปตอนใดกัน?!"


ผู้อาวุโสเหยายังคงตื่นตระหนก "ข้าเผลอหลับไปงั้นหรือ เพราะเหตุใด?!"


“เพราะการล้างพิษ!”


“พิษ พิษในกายข้า?”


ทันใดนั้น ผู้อาวุโสเหยาก็พบว่าน้ำหนักบริเวณลำคอของตัวเองพลันหายไป เช่นเดียวกับตุ่มหนองบริเวณลำคอก็หดเล็กลง จากที่เคยมีขนาดเท่ากับกำปั้น ก็เหลือเพียงขนาดเท่าไข่เท่านั้น


เขาพูดอย่างตื่นเต้นว่า “มันเล็กลง มันเล็กลงจริง ๆ!"


ฉินหลินหยิบใบสั่งยาออกมา “เขาบอกว่า ตราบใดที่กินติดต่อกันสิบวันก็จะหายดี!”


“เขา แล้วเขาเล่า?” ผู้อาวุโสเหยาตื่นเต้น มือที่เอื้อมไปรับใบสั่งยาสั่นเทาเล็กน้อย


ฉินหลินพลันรู้สึกเขินอายหลังจากได้ยินคำถามของอีกฝ่าย เขาลังเลใจครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า "นี่..."



[1] ปิดตาข้างหนึ่ง : เป็นสำนวนจีน หมายถึง แสร้งทำเป็นไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น คล้าย ๆ กับสำนวนไทยที่ว่า เอาหูไปนา เอาตาไปไร่



รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว