หลังจากได้มาอยู่ในโลกใหม่ วันเวลาก็ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือน
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาลี่หงใช้ชีวิตอยู่แต่ในจวน ตื่นเช้ามาก็ออกไปเดินและวิ่งรอบเรือน วิ่งเสร็จก็ไปทานอาหารร่วมกับทุกคน
จากนั้นก็ใช้เวลาพูดคุยกับมารดาและน้องสาว แล้วจึงไปขลุกตัวอยู่กับกองหนังสือมากมาย เมื่อบิดาและพี่ชายกลับมาเจ้าตัวก็จะใช้เวลาอยู่กับทั้งสองคนจนกว่าจะแยกย้ายกันพักผ่อน
ช่วงแรกที่ทุกคนในจวนเห็นลี่หงออกมาเดินและวิ่งก็แตกตื่นกันไม่น้อย เกรงว่าเจ้าตัวจะเป็นลมล้มพับไปกลางทาง แต่ทุกคนก็ต้องแปลกใจเพราะนอกจากจะไม่เป็นลมล้มพับแล้ว ยังลากทุกคนที่แอบดูให้ออกมาวิ่งด้วยกัน
การกระทำของลี่หงสร้างความแปลกใจให้แก่ทุกคนในจวนไม่น้อย แต่ทุกคนต่างก็ยินดีที่คุณหนูของของพวกตนมีร่างกายที่แข็งแรง ทั้งยังพากันออกมาเดินและวิ่งร่วมกันทุกเช้า
การอ่านตำราต่างๆ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทำให้ลี่หงได้รู้ว่าโลกใบใหม่นี้เป็นโลกที่อยู่เหนือจินตนาการของตนไปมาก แม้จะรู้ว่าโลกนี้มีสัตว์อสูร มีการต่อสู้ มีการใช้ลมปราณที่เหนือจินตนาการ แต่เมื่อยิ่งได้อ่านหนังสือและตำราต่างๆ ก็ยิ่งตื่นตาตื่นใจ จนเจ้าตัวอยากออกไปดูชมด้วยตาตนเองเป็นอย่างมาก
ทั้งยังทำให้ทราบถึงอาณาจักรที่ตนอาศัยอยู่ในตอนนี้ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรมังกรทะยาน อาณาจักรมังกรทะยานแห่งนี้เป็นอาณาจักรขนาดเล็ก มีพื้นที่ในปกครองน้อยที่สุดในทวีปปราณฟ้า มีเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองเพียงเก้าหัวเมืองได้แก่ เมืองหมอกม่วง เมืองหมอกมายา เมืองศิลาเพลิง เมืองผาหมอก เมืองไผ่เขียว เมืองม่านหมอก เมืองผาหยก และเมืองหยกฟ้า
นอกจากอาณาจักรมังกรทะยานแล้ว ทวีปปราณฟ้าแห่งนี้ยังมีอาณาจักรอื่นๆ อีกห้าอาณาจักรและสามพื้นที่พิเศษได้แก่ อาณาจักรเมฆาคราม อาณาจักรวายุคราม อาณาจักรวิหกเพลิง อาณาจักรพยัคฆ์คำราม และอาณาจักรเหยี่ยวทมิฬ
ส่วนพื้นที่พิเศษทั้งสามแห่งนั้นได้แก่ป่าอสูรร้อยราชันย์ ป่าที่เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์อสูรระดับสูงนานาชนิด ทั้งยังเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในทวีปแห่งนี้ เมื่อเทียบกับอาณาจักรมังกรทะยานแล้วป่าอสูรร้อยราชันย์มีพื้นที่มากกว่าถึงห้าเท่า
พื้นที่พิเศษแห่งที่สองคือทะเลสาบร้อยราชันย์ เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่มีพื้นที่มากกว่าอาณาจักรมังกรทะยานเกือบสามเท่า ทั้งยังมีเกาะแก่งนับร้อยเกาะ แต่ละเกาะล้วนเต็มไปด้วยสัตว์อสูรระดับสูงนานาชนิด
พื้นที่พิเศษทั้งสองแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางทวีปปราณฟ้า กินพื้นที่ถึงหนึ่งในสี่ของพื้นที่ทั่วทั้งทวีป ด้วยเหตุนี้ทำให้อาณาจักรทั้งหก จึงต้องตั้งอยู่ชายขอบของทวีปล้อมรอบพื้นที่พิเศษทั้งสองแห่ง
ส่วนพื้นที่พิเศษแห่งสุดท้ายคือดินแดนซากอสูร ดินแดนแห่งนี้อยู่ติดกับอาณาจักรมังกรทะยานทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นดินแดนที่แห้งแล้งจนพืชพรรณไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ทั่วทั้งพื้นที่ยังเต็มไปด้วยซากสัตว์อสูรและซากปรักหักพังของบ้านเรือน ทั้งยังมีสภาพอากาศที่ร้อนระอุจนผู้คนไม่สามารถอยู่อาศัยได้
ด้วยสาเหตุหลากหลายประการ ทำให้พื้นที่ของทั้งหกอาณาจักรเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์มากนัก หากเทียบกับป่าอสูรร้อยราชันย์หรือผืนป่าอื่นๆ ที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วทั้งทวีป
แม้จะเป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่มีอาณาจักรใดคิดย่างกรายเข้าไปยึดครองพื้นที่ในป่าอสูรร้อยราชันย์แม้แต่อาณาจักรเดียว ส่วนสาเหตุล้วนเกิดจากในอดีตทวีปปราณฟ้าแห่งนี้มีอาณาจักรทั้งหมดเจ็ดอาณาจักร
แต่ด้วยความทะเยอทะยานของผู้ปกครองอาณาจักรแห่งหนึ่ง ได้กรีธาทัพขนาดใหญ่นำพาเหล่าทหารและจอมยุทธนับแสนนายบุกเข้าไปในป่าอสูรร้อยราชันย์ หมายจะยึดครองพื้นที่เพื่อขยายดินแดนและเก็บเกี่ยวทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่ในป่าอสูรร้อยราชันย์
จนบุกรุกไปถึงถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูรระดับราชันย์ตัวหนึ่ง จากนั้นไม่ถึงครึ่งวันกองทัพนับแสนก็ถูกสัตว์อสูรตัวดังกล่าวและฝูงสัตว์อสูรใต้อาณัติไล่ล่าสังหารจนสิ้น ส่วนตัวผู้นำหรือจักรพรรดินั้นสามารถหลบหนีมาจนถึงอาณาจักรได้
แต่ด้วยความเคียดแค้นที่ถูกมนุษย์ต่ำต้อยบุกรุกที่อยู่ของตน ทั้งยังสังหารเหล่าลูกสมุนไปมากมาย สัตว์อสูรตัวดังกล่าวจึงนำพาฝูงสัตว์อสูรหลายพันหลายหมื่นตัวตามมาแก้แค้นถึงอาณาจักร ทำให้อาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปปราณฟ้าในตอนนั้นต้องล่มสลายผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้อาณาจักรซากอสูรถูกลบออกจากแผนที่ทวีปปราณฟ้าและกลายเป็นดินแดนซากอสูรที่ไร้ซึ่งผู้คนอยู่อาศัยมาจนถึงทุกวันนี้
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาณาจักรต่างๆ ก็ไม่มีความคิดที่จะขยายอาณาเขตหรือรุกล้ำเข้าไปยังป่าอสูรร้อยราชันย์แม้แต่อาณาจักรเดียว ได้แต่เข้าไปหาสมุนไพร ทรัพยากรและล่าสัตว์อสูรในเขตป่าชั้นนอกเท่านั้น รวมไปถึงค่ายสำนักต่างๆ ก็เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ในป่าอสูรร้อยราชันย์ ยังคงเป็นพื้นที่ลึกลับที่เต็มไปด้วยอันตรายและทรัพยากรระดับสูงมากมาย
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แม้ลี่หงจะตื่นเต้นกับโลกใบนี้ แม้จะอยากออกไปท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ ตามที่ตำราระบุไว้ แต่ก็ไม่อยากจากครอบครัวไปไหนไกล
ทว่าไม่อยากก็ต้องจากไป เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ท่านมหาเทพกำหนดไว้ ทำให้ลี่หงจึงต้องจำใจจากลาครอบครัว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ได้บอกกล่าวเรื่องนี้กับใครแม้แต่คนเดียว
ตอนนี้ลี่หงได้แต่กระวนกระวายใจจนนอนไม่หลับ หากพรุ่งนี้ตนหายไปทุกคนย่อมแตกตื่นและเป็นห่วงตนมาก สุดท้ายเจ้าตัวจึงตัดสินใจบอกกล่าวกับบิดาและมารดาของตน
คิดได้ดังนั้น ลี่หงก็ไม่รอช้ารีบตรงไปยังเรือนใหญ่ทันที แต่เมื่อมาถึงก็พบว่าทั่วทั้งเรือนนั้นมืดมิดไม่มีแสงสว่างใดสาดส่องออกมา เจ้าตัวจึงหันหลังกลับเพราะคิดว่าบิดามารดาคงนอนหลับเรียบร้อยแล้ว แต่ระหว่างทางกลับเรือนก็มีเสียงเรียกดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“หงเอ๋อร์ เจ้าออกมาทำอะไรดึกดื่นป่านนี้” ได้ยินดังนั้นลี่หงจึงหันไปตามเสียงเรียก พบกับหลิวลี่หยางที่ยืนกอดอกจ้องมองมาทางตนด้วยสายตาตำหนิ
“อ๊ะ! ท่านพี่ยังไม่นอนหรือเจ้าคะ” พูดจบลี่หงก็ส่งยิ้มให้แก่พี่ชายตน
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย ตอบพี่มาดีๆ” ลี่หยางพูดขึ้น พลางหรี่ตาจ้องมองน้องสาวตนด้วยสายตาคาดคั้น
“เอ่อ! น้องนอนไม่หลับเจ้าค่ะ เลยออกมาเดินเล่นแล้วท่านพี่ล่ะเจ้าคะ ออกมาทำอะไรดึกดื่นแบบนี้พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้าไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ได้ยินดังนั้นลี่หยางก็ถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ! พี่ก็นอนไม่หลับเหมือนกัน ช่วงนี้มีแต่เรื่องให้ขบคิดมากมาย พี่เลยออกมาเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายแล้วก็มาเจอเจ้านี่แหละ” เมื่อได้ยินดังนั้นลี่หงก็นึกสงสารอยู่ไม่น้อย ช่วงนี้พี่ชายตนต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืด กลับจวนมาอีกทีก็พลบค่ำแล้ว
“ท่านพี่เราไปนั่งคุยกันที่ศาลาริมน้ำดีกว่าเจ้าค่ะ ยืนคุยกันแบบนี้น้องชักจะเมื่อยแล้ว” ร่างบางพูดขึ้นพร้อมกับเดินนำพี่ชายของตนไปที่ศาลาริมน้ำทันที เมื่อมาถึงศาลาริมน้ำลี่หงก็นั่งลงกับพื้นศาลาฝั่งที่ติดกับสระบัว ทางด้านลี่หยางเมื่อเห็นน้องสาวนั่งกับพื้นตนก็นั่งลงข้างๆ
“คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงสวยจังเลยนะเจ้าคะ” เมื่อเห็นพี่ชายนั่งลงข้างๆ ลี่หงก็พูดขึ้น พร้อมกับจ้องมองไปยังดวงจันทร์ที่เฉิดฉายอยู่บนฟากฟ้า
ทางด้านลี่หยางเมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาวก็เงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์เช่นกัน ทั้งสองจ้องมองพระจันทร์ดวงโตที่ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวอยู่นาน เมื่อประกอบกับเสียงของเหล่าแมลงน้อยใหญ่ที่ขับขานบทเพลงธรรมชาติ ทำให้การเฝ้ามองดวงจันทร์ของสองพี่น้องล้วนเงียบสงบไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดออกมา ทั้งสองได้แต่เฝ้ามองและดื่มด่ำกับบรรยากาศในยามค่ำคืนอย่างเงียบงัน ไม่นานลี่หงก็พูดขึ้นทำลายความเงียบ
“ท่านพี่ หากพรุ่งนี้น้องไม่อยู่ ฝากท่านพี่ดูแลทุกคนด้วยนะเจ้าคะ” เมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาว ลี่หยางก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
“เจ้าอย่าพูดแบบนี้อีกเข้าใจไหมหงเอ๋อร์ พี่ไม่ยอมให้เจ้าไปไหนไกลหรอก พี่จะคอยดูแลเจ้าและทุกคนเอง” ได้ยินดังนั้นลี่หงก็รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในใจ
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่” ลี่หงหันไปพูดกับพี่ชายของตนด้วยรอยยิ้ม ทันทีที่ลี่หยางเห็นรอยยิ้มเจิดจ้าของน้องสาวก็ต้องชะงักกับรอยยิ้มตรงหน้า ภาพรอยยิ้มที่เจิดจ้าราวกับนางเซียนจากสรวงสวรรค์ที่ลงมาปลอบประโลมปัดเป่าความเศร้าหมองให้แก่ผู้คน
พลันความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันของเจ้าตัวก็จางหายไปทันที ด้วยรอยยิ้มที่เจิดจ้าของน้องสาวตนบวกกับใบหน้าที่สวยสดงดงามและแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา ยิ่งทำให้รอยยิ้มนั้นงดงามยิ่งกว่ารอยยิ้มใดที่ตนเคยเห็น ยิ่งยามที่มีสายลมพัดพานำกลิ่นดอกบัวที่หอมละมุนในสระกระจายฟุ้งไปทั่ว
เมื่อกลิ่นหอมของดอกบัวต้องจมูก ยิ่งทำให้ลี่หยางเคลิบเคลิ้มกับบรรยากาศและความงดงามของน้องสาวจนรู้สึกร้อนรุ่มในใจ ความรู้สึกที่ได้เผชิญหน้ากับหญิงงามที่ตนไม่เคยพบพาน ความรู้สึกที่ไม่เคยสนเท่ห์หญิงใด ความรู้สึกที่ชาด้านต่อสตรีที่เคยมี
ทว่าตอนนี้กลับเริ่มพังทลาย ด้วยรอยยิ้มของน้องสาวที่งดงามราวนางฟ้านางสวรรค์ ลี่หยางในตอนนี้ราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนหรือละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพี่ชายลี่หงก็ยิ้มร่าออกมาเจิดจ้า โดยไม่รู้ตัวว่าที่แห่งนั้นหาได้มีแค่พวกตนอยู่เพียงสองคน
ทางด้านหลิวหลี่เฉินหลังจากภรรยานอนหลับก็ออกมาเดินเล่น ในหัวพลางคิดถึงเรื่องราวของบุตรสาวคนโตและเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตระกูลในช่วงที่ผ่านมา รู้ตัวอีกทีตนก็มาหยุดอยู่ด้านหน้าศาลาริมน้ำแห่งนี้แล้ว เมื่อรู้สึกตัวตนก็เห็นบุตรสาวกับบุตรชายคนโตนั่งดูพระจันทร์อยู่ด้วยกัน
ตนจะเข้าไปหาแต่ก็ยับยั้งชั่งใจเพื่อรอดูว่าทั้งสองจะพูดคุยอะไรกัน เฝ้าดูอยู่นานก็ไม่มีคำพูดออกมาจากปากทั้งสองคนแม้แต่คำเดียว ในขณะที่ตนกำลังจะก้าวเดินไปหาทั้งสองก็ต้องหยุดชะงักเพราะคำพูดของบุตรสาว ที่บาดลึกเข้าไปในจิตใจของตน
แต่เมื่อได้สติคืนมาก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง เนื่องจากรอยยิ้มที่เจิดจ้าของบุตรสาว รอยยิ้มที่ตนไม่ได้พบเห็นมานาน รอยยิ้มที่ทำให้ตนเผลอจ้องมองอยู่นาน ทางด้านลี่หงหลังจากส่งยิ้มให้พี่ชายสายตาก็มองเห็นบุคคลที่สามที่ยืนอยู่ด้านนอกศาลา
“อ๊ะ! ท่านพ่อก็นอนไม่หลับหรือเจ้าคะ” พูดจบลี่หงก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาบิดาของตน ด้วยเสียงพูดของลี่หงทำให้ทั้งสองตื่นจากภวังค์
เมื่อได้สติกลับคืนมา สองพ่อลูกก็สบตากันทันที ทำให้ทั้งสองต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า ‘จะไม่ให้ชายใดได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้ของหงเอ๋อร์เด็ดขาด’
“อืม! พ่อนอนไม่ค่อยหลับน่ะ ว่าแต่เจ้าเถอะออกมาเดินเล่นดึกดื่นแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” หลิวหลี่เฉินพูดขึ้น พลางเอื้อมมือลูบหัวของบุตรสาวของตนด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น
“ท่านพ่อมาก็ดีเลยเจ้าค่ะ ลูกนึกว่าจะไม่ได้เอ่ยลาท่านพ่อแล้วเสียอีก” เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรสาว หลิวหลี่เฉินก็ขมวดคิ้วมุ่น
“หงเอ๋อร์เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง พ่อไม่ให้เจ้าจากพ่อไปไหนทั้งนั้น อย่าพูดแบบนี้อีกเข้าใจไหม” พูดจบหลิวหลี่เฉินก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยท่าทางไม่พอใจ
“ใช่ พี่ก็ไม่ให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น” ลี่หยางก็ไม่ยอมแพ้พลางเอ่ยห้ามอีกคน ทั้งที่ตนยังไม่ได้อธิบายให้ทั้งสองได้ฟังเลยแม้แต่น้อยว่าเหตุใดตนถึงได้พูดแบบนั้น แต่ทั้งสองกลับค้านหัวชนฝาซะแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านพี่ เราไปคุยกันที่เรือนของลูกดีกว่าเจ้าค่ะ” ลี่หงพูดขึ้นแล้วกอดแขนทั้งสองคนกึ่งลากกึ่งบังคับให้ทั้งสองเดินตามตนกลับเรือน ระหว่างทางก็คิดหาหนทางเกลี้ยกล่อมทั้งสองไปด้วย
เมื่อมาถึงเรือน ลี่หงก็พาทั้งสองคนเข้าไปยังห้องโถงในเรือน จากนั้นจึงเดินไปปิดประตูและหน้าต่างทุกบาน การกระทำของลี่หงสร้างความแปลกใจแก่ทั้งสองไม่น้อย เมื่อปิดประตูและหน้าต่างทุกบานจนแล้วเสร็จ ลี่หงก็เดินตรงมายังโต๊ะที่ทั้งสองนั่งอยู่
“ท่านพ่อ ท่านพี่ พรุ่งนี้! ไม่สิ! คืนนี้ท่านอาจารย์ของลูกจะมารับ เพื่อพาลูกไปรักษาตัวและฝึกฝนวิชากับท่าน” เมื่อลี่หงพูดจบ ความเงียบก็คืบคลานเข้ามาในห้องโถงทันที ผ่านไปหลายลมหายใจหลิวหลี่เฉินที่ได้สติกลับมาก่อนก็พูดขึ้นด้วยความตกใจ
“ที่ลูกพูดหมายความว่ายังไงหงเอ๋อร์ แล้วอาจารย์ที่ลูกพูดถึงเป็นใครมาจากไหน ลูกมีอาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ละ แล้วลูกจะไปได้ยังไง! พ่อไม่ให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น” เมื่อเห็นอาการของบิดาลี่หงก็ถอนหายใจออกมา
“ลูกรู้เจ้าค่ะว่าท่านพ่อเป็นห่วงลูกมาก แต่ท่านพ่อก็รู้ว่าที่ผ่านมาร่างกายลูกอ่อนแอแค่ไหน ทั้งยังไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้อีก แต่ตอนที่ลูกหมดสติท่านอาจารย์เดินทางผ่านมาที่จวนของเราพอดี แล้วท่านก็ได้เข้ามาดูอาการป่วยของลูก ช่วงที่ผ่านมาท่านยังคอยแวะเวียนมาดูแลและรักษาลูกจนหายดี ไม่อย่างนั้นลูกก็คงไม่แข็งแรงเหมือนทุกวันนี้หรอกเจ้าค่ะ อีกทั้งท่านยังบอกว่าท่านจะรับลูกเป็นศิษย์และจะรักษาเส้นชีพจรให้ลูกด้วย” ลี่หงพูดขึ้นตามสิ่งที่ตนเองได้คิดไว้ เพื่อที่จะโน้มน้าวบิดาและพี่ชายของตน ทำให้ลี่หงเลือกที่จะโกหกทั้งสองคนแทนที่จะบอกความจริงออกไป
“ท่านพ่อว่ามันไม่ดีหรือเจ้าคะ จากนี้ไปลูกก็จะได้ไม่ต้องเป็นภาระให้ใครอีก ลูกจะได้ฝึกยุทธ์ลูกจะแข็งแรงขึ้นไม่ป่วยไข้อีก ลูกจะสามารถดูแลตนเองไม่ให้ใครมาข่มเหงรังแกได้ ที่สำคัญลูกก็จะได้ดูแลท่านพ่อท่านแม่และทุกคนได้ มันไม่ดีหรือเจ้าคะท่านพ่อ” หลังจากลี่หงชักแม่น้ำทั้งห้ารวมถึงมหาสมุทรและแผ่นฟ้ามาหว่านล้อม
จนทั้งคู่ได้แต่นิ่งค้างจะเถียงก็ไม่ได้จะคัดค้านก็จนใจ เรียกได้ว่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก น้ำท่วมปากทั้งพ่อทั้งลูกกันเลยทีเดียว
เมื่อได้คำพูดของลี่หง ทั้งสองคนก็มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ทั้งแปลกใจที่มีคนนอกเข้ามาในจวนของตนโดยที่ไม่มีใครรับรู้ ไม่ว่าจะคิดยังไงทั้งสองคนก็ยังเคลือบแคลงในคำพูดของลี่หงอยู่ไม่น้อย
“หะ หงเอ๋อร์ แล้วลูกจะรู้ได้ยังไงว่าอาจารย์คนที่ลูกพูดถึงจะสามารถช่วยลูกได้” หลิวหลี่เฉินพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง ใจหนึ่งก็ดีใจที่พอมีหนทางรักษาเส้นชีพจรของบุตรสาวตนได้ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากให้บุตรสาวของตนจากไปไหนไกล ทั้งยังไม่ไว้วางใจคนที่บุตรสาวตนบอกว่าเป็นอาจารย์
“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงลูกหรอกเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์เก่งมากเลยนะเจ้าคะ ขนาดยื้อชีวิตลูกจากปรโลกได้ แค่รักษาเส้นชีพจรและสั่งสอนลูกเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับท่านอาจารย์หรอกเจ้าค่ะ” ได้ยินดังนั้นทั้งคู่ก็ถึงกับพูดไม่ออก ทุกคำพูดของลี่หงทั้งสองล้วนประจักษ์มากับตา เพราะหลังจากเจ้าตัวฟื้นขึ้นมาก็มีร่างกายที่แข็งแรงขึ้นดังที่พูดจริงๆ
“เมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วพ่อก็ไม่ห้าม แต่ว่าเจ้าจะเดินทางไปยังไง แล้วแม่ของเจ้าล่ะ หากนางรู้เข้าพ่อว่านางไม่อนุญาตให้เจ้าไปแน่นอน” เมื่อไม่รู้ว่าจะปฏิเสธบุตรสาวตนยังไง หลิวหลี่เฉินจึงเอาภรรยาของตนมาอ้าง เพื่อให้บุตรสาวตนทบทวนอีกครั้ง
“ลูกหวังว่าท่านแม่จะเข้าใจลูกเจ้าค่ะ” หลี่เฉินเมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาวตนก็ต้องถอนหายใจ ในขณะนั้นเองลี่หยางก็พูดขึ้น
“หงเอ๋อร์ แล้วเรื่ององค์ชายรองล่ะเจ้าจะเอายังไง” ทันทีที่หลิวหลี่เฉินได้ยินคำพูดของลี่หยางก็หันไปจ้องด้วยสายตาคาดโทษ จนเจ้าตัวต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเจอสายตาพิฆาตจากผู้เป็นพ่อ
“เรื่องหมั้นหมายไร้สาระแบบนั้นลูกไม่สนใจแม้แต่น้อย เดิมทีลูกก็หาได้มีใจให้องค์ชายรองไม่ หากไม่ใช่เพราะราชโองการบ้าบอนั่น องค์ชายรองก็ไม่อยู่ในสายตาลูกหรอกเจ้าค่ะ เมื่อโอกาสมาแล้วท่านพ่อต้องรีบคว้าเอาไว้นะเจ้าคะ รีบหาทางถอนหมั้นให้มันเป็นเรื่องเป็นราวเถอะเจ้าค่ะ หึ! กลับมาแม่เมื่อไหร่จะเอาคืนให้เข็ดเลย” ประโยคหลังลี่หงได้แต่พึมพำกับตนเอง พร้อมกับปลดปล่อยรังสีอำมหิตออกมาโดยไม่รู้ตัว
การกระทำและคำพูดของลี่หง ไม่สามารถเล็ดลอดประสาทการได้ยินของทั้งสองคนไปได้ เมื่อได้ยินคำพูดและสัมผัสถึงรังสีอำมหิตที่ลี่หงปลดปล่อยออกมา ทั้งสองก็มองหน้ากันด้วยความตกใจ ในใจทั้งสองคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ‘น่ากลัวสุดๆ’ ในขณะที่ลี่หงคุยกับบิดาและพี่ชายอยู่นั้นเสียงของท่านมหาเทพก็ดังขึ้นมาในหัว
“เจ้าจะคุยกันอีกนานไหมยัยหนู จะล่ำลาอะไรกันนักหนา ข้าให้เวลาเจ้าอีกหนึ่งเค่อเท่านั้น” เมื่อได้ยินเสียงของมหาเทพ ลี่หงก็แย้มยิ้มออกมาก่อนจะมองหน้าบิดาและพี่ชายตน
“ท่านพ่อ ท่านพี่ ใกล้ถึงเวลาอาจารย์จะมารับลูกแล้ว ลูกคงต้องฝากท่านพ่อกับท่านพี่ดูแลท่านแม่ หรงเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์ด้วยนะเจ้าคะ”
“หงเอ๋อร์ลูกค่อยไปพรุ่งนี้ไม่ได้รึ ลูกจะไม่คิดบอกกล่าวแม่ของลูกก่อนรึไง” เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นพ่อ ลี่หงก็มีสีหน้าที่สลดลง แต่ก่อนที่ลี่หงจะพูดอะไรลี่หยางก็พูดแทรกขึ้นมา
“ข้าว่าคงไม่ต้องแล้วล่ะท่านพ่อ จริงไหมขอรับท่านแม่” พูดจบลี่หยางก็หันหน้าไปทางประตูเรือนที่ปิดสนิท ทันทีที่ลี่หยางพูดจบ ประตูก็เปิดออกพร้อมกับสตรีวัยกลางคนก้าวเดินเข้ามาในห้องโถง
“ฮึ่ม! เกลียดนักพวกรู้ทันเนี่ย หงเอ๋อร์ลูกจะเดินทางไปฝึกฝนกับอาจารย์ของลูกจริงๆ งั้นรึ” เมื่อเดินเข้ามาจ้าวลี่ฮวาก็จ้องเขม็งไปที่บุตรชาย ก่อนจะหันมาพูดกับบุตรสาวที่กำลังส่งยิ้มมาให้ตน
“เจ้าค่ะท่านแม่ ลูกขออภัยด้วยที่ไม่ได้บอกกล่าวท่านแม่ด้วยตนเอง แต่หากลูกพลาดโอกาสนี้ลูกคิดว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว” ได้ยินดังนั้นทั้งสามคนก็เข้าใจในคำพูดของลี่หง เพราะว่าโอกาสแบบนี้มันไม่ได้มีมาบ่อยนัก
“อืม! แม่เข้าใจดี เมื่อลูกไปแล้วต้องตั้งใจหมั่นฝึกฝน ตั้งใจร่ำเรียนวิชาให้ดีล่ะ เรื่องทางนี้ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวแม่จัดการเอง มามะเดี๋ยวแม่ช่วยเก็บของ” ลี่ฮวาพูดขึ้นพลางไปช่วยลี่หงเก็บของ ของที่ลี่หงนำติดตัวไปด้วยมีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุดเท่านั้น เมื่อเห็นของที่บุตรสาวตนเอาติดตัวไปด้วย หลิวหลี่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
“หงเอ๋อร์ ลูกจะเอาของไปแค่นี้งั้นรึ?”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” เมื่อลี่หงพูดจบ บรรยากาศด้านหน้าทุกคนก็เกิดการบิดเบี้ยว จากนั้นก็เกิดรอยแยกขึ้นมากลางอากาศด้านหน้าของทุกคน ไม่นานก็มีแสงสีทองส่องออกมาจากรอยแยกและขยายรอยแยกให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นประตูขนาดเล็กพอที่จะให้คนหนึ่งคนเดินผ่านเข้าไปได้อย่างสะดวก
เมื่อทุกคนเห็นการปรากฏตัวของประตูสีทองตรงหน้าก็ได้แต่นิ่งค้าง ทางด้านลี่หงก็มีอาการไม่ต่างจากทุกคน เพราะตนไม่คิดว่าท่านมหาเทพจะใช้วิธีนี้ ทั้งยังมารับตนต่อหน้าทุกคนอีกด้วย
เมื่อลี่หงยังไม่ก้าวเดินเข้าในประตู เสียงทรงพลังก็ดังออกมาจากประตูสีทองตรงหน้าทุกคน
“เจ้าจะยืนดูอีกนานไหม รีบเข้ามาได้แล้ว” เมื่อเสียงทรงพลังและน่าเกรงขามเงียบหายไป ลี่หงก็เดินไปหอมแก้มทุกคนที่ยืนนิ่ง ตัวแข็งทื่อตกใจกับการปรากฏตัวของประตูแปลกประหลาด
เมื่อล่ำลาทุกคนเสร็จ ลี่หงก็ก้าวเดินเข้าไปในประตูสีทอง แล้วประตูสีทองก็จางหายไปต่อหน้าต่อตาของทุกคน ราวกับในห้องโถงไม่เคยปรากฏลี่หงและประตูสีทองมาก่อน
.........
ตอนนี้แถมให้ทุกท่านขอรับ
ไว้ดึกๆข้าน้อยจะมาลงให้อีกนะขอรับ
^____^