นางหงครองภพ สยบมังกร-ตอนที่ 21 : หั่วหง

โดย  TonMaiBiYa

นางหงครองภพ สยบมังกร

ตอนที่ 21 : หั่วหง


เมื่อชายชรามองดูรายการค่าเสียหาย มันก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความเดือดดาล


“บัดซบ!! นี่มันจะมากไปแล้ว ค่าเสียหายบ้าบออะไรกันมากกว่าสองพันเหรียญทอง นี่มันปล้นกันชัดๆ พวกมันเป็นใคร มันไม่รู้รึไงว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬ” ชายชราพูดขึ้นด้วยความเดือดดาลกับค่าเสียหายที่มากมายมหาศาล


“นะ นางทราบขอรับ นะ นางเป็นคุณหนูรองตระกูลหลิวขอรับ” ชายชราได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น


“นางงั้นรึ! พวกเจ้าแพ้สตรีมาอย่างนั้นรึ! เจ้าพวกบัดซบ” พูดจบชายชราก็ซัดพลังใส่ศิษย์คนนั้นจนกระเด็นไปไกล


“คนตระกูลหลิวงั้นรึ! ถ้าอย่างนั้นก็โรงเตี๊ยมตระกูลหลิวสินะ หึ! ดี! ดียิ่ง! คราวนี้ข้าจะถล่มมันให้ยับเลย” ชายชราพึมพำกับตนเอง เมื่อนึกถึงความดีความชอบในครั้งนี้จะต้องทำให้มันได้เลื่อนตำแหน่งในสำนักแน่นอน มันจึงยิ้มขึ้นมาด้วยความดีใจ จากนั้นจึงหันไปสั่งบรรดาศิษย์ที่อยู่ในหอการค้าแห่งนี้


“เรียกรวมพล ข้าจะไปถล่มโรงเตี๊ยมตระกูลหลิว” เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนต่างก็งุนงง แต่ด้วยคำสั่งต่างก็เร่งรีบรวมพลแล้วมุ่งหน้าสู่โรงเตี๊ยมตระกูลหลิวทันที


กลับมาทางด้านโรงเตี๊ยมตระกูลหลิว เมื่อลี่หงได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังออกมาจากด้านหน้าโรงเตี๊ยม รอยยิ้มเหี้ยมก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้างาม จนทำให้พ่อบ้านหลี่และหั่วหลงอดที่จะขนลุกชันไม่ได้


จากนั้นลี่หงจึงเดินออกมาจากห้องพักสำหรับเจ้าของโรงเตี๊ยม เมื่อออกมาก็พบว่าบรรดาลูกค้าแตกตื่นเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถออกไปจากโรงเตี๊ยมได้ เห็นดังนั้นลี่หงจึงพูดขึ้น


“ทุกท่านไม่ต้องตื่นตกใจไปเจ้าค่ะ แค่หมาแก่ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น พวกมันทำอะไรม่านอักขระแห่งนี้ไม่ได้หรอก เชิญทุกท่านทานอาหารดูการแสดงตามสบายเลยเจ้าค่ะ” พูดจบลี่หง พ่อบ้านหลี่และหั่วหลงก็เดินออกไปหน้าโรงเตี๊ยม


ทางด้านผู้อาวุโสอี้ที่พาเหล่าศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬมากว่าห้าสิบคน ตอนนี้มาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าโรงเตี๊ยมตระกูลหลิว เพราะว่าพวกตนไม่สามารถเข้าไปด้านในได้


“บัดซบ! ทำไมไม่มีใครบอกข้าว่าโรงเตี๊ยมของพวกมันมีม่านอักขระ แถมยังสะท้อนการโจมตีได้อีกด้วย” ผู้อาวุโสอี้พูดขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด เดิมทีตนคิดว่าการมาถล่มโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะเป็นงานที่ง่ายๆ แต่ที่ไหนได้กลับมีม่านอักขระระดับสูงครอบคลุมไว้ทำให้ใจของผู้อาวุโสอี้กระตุกวาบ


มีใครบ้างที่จะบ้าไปหาเรื่องกับผู้ใช้อักขระและผู้หลอมโอสถหากไม่อยากลำบาก ตัวตนของผู้หลอมโอสถและผู้ใช้อักขระนั้นนอกจากจะหาตัวยากแล้ว แต่ละคนยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังหรือผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งอีกด้วย


ด้วยตัวมันที่เป็นผู้อาวุโสขอสำนักเล็กๆ อย่างสำนักหมาป่าทมิฬจะเอาอะไรไปต่อกรกับผู้ยิ่งใหญ่ระดับนั้นได้ แต่ด้วยศักดิ์ศรีและหลานชายของมันที่ถูกจับไว้จึงทำให้มันไม่สามารถถอยหนีไปได้


“เจ้าพวกบัดซบ! ปล่อยตัวหลานชายข้ามาเดี๋ยวนี้” ชายชราตวาดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันดัง จนได้ยินไปทั่วพื้นที่รัศมีหลายสิบเมตร ทำให้บรรดาจอมยุทธมุงเริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ห่างๆ


“นั่นมันบรรดาศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬนี่นา ยกพวกมามากขนาดนี้หรือว่าจะมาถล่มโรงเตี๊ยมนี้กัน” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น


“จะเป็นไปได้ยังไง ก่อนหน้านี้ศิษย์หลักของมันยังไม่สามารถทำอะไรเจ้าของโรงเตี๊ยมได้เลย แถมตอนนี้ยังมีม่านอักขระปกป้องไว้อีก เป็นแบบนี้แล้วพวกมันจะทำอะไรได้” ชายอีกคนพูดขึ้น ได้ยินดังนั้นก็มีหลายคนที่สนับสนุนคำพูดของชายคนดังกล่าว แต่ก็มีคนที่คิดว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ต้องสิ้นชื่อแน่นอนในวันนี้


“พวกเจ้ามาพนันกันไหมล่ะว่าใครจะชนะ ข้าพนันข้างโรงเตี๊ยมสิบเหรียญเงิน”


“ได้เลย ข้าพนันข้างสำนักหมาป่าทมิฬ สิบเหรียญเงิน” จากนั้นการพนันว่าทั้งสองฝ่ายใครจะเป็นผู้ชนะก็เกิดขึ้น


เมื่อเดินออกมาหน้าโรงเตี๊ยม ลี่หงก็มองไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้มจนพ่อบ้านหลี่อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้


“คุณหนูยิ้มอะไรขอรับ” ลี่หงได้ยินดังนั้นก็ฉีกยิ้มขึ้นกว้างกว่าเดิม จนผู้คนที่เห็นรอยยิ้มนั้นต่างก็ชะงักค้าง


“ข้าดีใจน่ะสิพ่อบ้านหลี่ ที่มีคนมาให้กระทืบเล่นถึงที่ อ้า!! ข้าไม่ได้ออกกำลังมานานแค่ไหนแล้วนะ เสร็จจากนี้คงต้องไปซัดกับเฮยหลงสักหน่อยแล้ว” พูดจบลี่หงก็เดินหักนิ้วออกไปด้านหน้าโรงเตี๊ยม


ทางด้านเฮยหลงที่กำลังฝึกสอนลี่หรงอยู่ในมิติ จู่ๆ ขนทั่วกายก็ลุกชันขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ‘ทำไมรู้สึกขนลุกแบบนี้นะ สงสัยเจ้าลวี่หลงฝึกยัยหนูนั่นหนักแน่นอน ลมเย็นจากเกาะฝั่งนู้นถึงได้พัดพามาถึงฝั่งนี้ ฮึ่ย!!!’


เมื่อผู้อาวุโสอี้เห็นดรุณีน้อยในชุดจอมยุทธสีขาว เดินออกมาจากโรงเตี๊ยมตระกูลหลิวก็ตกตะลึง พลันสายตาหื่นกามของมันก็ฉายออกมาครู่หนึ่ง จากนั้นมันก็เหลือบไปเห็นชายชราที่มันก็รู้จักดีมันจึงพูดขึ้น


“เจ้าพ่อบ้านบัดซบ ปล่อยคนของข้าออกมาเดี๋ยวนี้ หาไม่แล้วอย่าหาว่าข้าโหดร้ายกับพวกเจ้า” แม้ปากจะเอ่ยกับพ่อบ้านหลี่ แต่สายตามันกลับจ้องมองลี่หงด้วยสายตาแทะโลมโดยไม่คิดปิดบัง เมื่อเห็นสายตาน่าขยะแขยงของชายชรา ลี่หงก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจ


“ปล่อยงั้นรึ! ข้าจะถือว่าเจ้าพูดเล่นก็แล้วกันตาเฒ่า คนของเจ้ามาก่อความวุ่นวายในโรงเตี๊ยมของข้า ทำลายข้าวของ ซ้ำยังทำร้ายคนของข้า เจ้าจะให้ข้าปล่อยพวกมันไปงั้นรึ! ถ้าอยากให้ข้าปล่อยเจ้าก็จ่ายค่าเสียหายมาก่อนสิ” ได้ยินดังนั้นชายชราก็ตวาดก้องขึ้นมา


“ค่าเสียหายบัดซบอันใดของเจ้า หากไม่ปล่อยคนของข้ามาก็อย่าหาว่าตาเฒ่าคนนี้รังแกสตรีอ่อนแอไร้ทางสู้เยี่ยงเจ้า” ได้ยินดังนั้นลี่หงก็แค่นเสียงออกมา


“เหอะ!! ตกลงจะไม่จ่ายค่าเสียหายมาใช่ไหมตาเฒ่า ดี! ดียิ่ง นี่คือตัวตนที่แท้จริงของสำนักหมาป่าทมิฬสินะ ทำตัวเหนือกฎหมาย รังแกผู้อื่น ขูดรีดชาวบ้านชาวเมือง ซ้ำทำผิดยังไม่ยอมรับผิด ไม่ยอมจ่ายค่าเสียหาย ทำตัวสมกับชื่อหมา! ป่า!จริงๆ” ผู้คนที่ได้ยินดังนั้นก็สูดลมหายใจเข้ากันยกใหญ่


ส่วนผู้อาวุโสอี้และบรรดาศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬกว่าห้าสิบชีวิต กำลังยืนหน้าเขียวคล้ำจ้องมองลี่หงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ หากสายตาเหล่านั้นเป็นกระบี่ก็คงทิ่มแทงร่างของลี่หงจนเป็นรูพรุนไปแล้วแน่นอน


“บัดซบ! สามหาว! นังแพศยา ส่งตัวศิษย์ข้ามาเดี๋ยวนี้ หาไม่แล้วข้าจะถล่มโรงเตี๊ยมของเจ้าซะ” ผู้อาวุโสอี้ที่ทนไม่ไหวก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด เมื่อได้ยินคำพูดของชายชราลี่หงก็ยกยิ้มเหี้ยมขึ้นมา


“นี่สินะเหตุผลที่พวกเจ้าขนกันมามากขนาดนี้ สมกับเป็นหมาหมู่จริงๆ” เมื่อสิ้นคำพูดลี่หง ราวกับเป็นใบมิดที่เฉือนไปยังฟางเส้นสุดท้ายที่ดึงรั้งร่างกายของชายชราไว้จนขาดสะบั้น


“บัดซบ! นังเด็กปากสุนัข วันนี้หากข้าไม่ได้เลาะฟันบนปากเจ้าออกมา อย่ามาเรียวข้าว่าผู้อาวุโสอี้แห่งสำนักหมาป่าทมิฬ แต่ก่อนหน้านั้นข้าขอเล่นกับร่างกายเจ้าก่อนละกัน พวกเจ้าไปจัดการถล่มโรงเตี๊ยมแห่งนี้ซะแล้วก็จับตัวยัยเด็กนี่มาให้ข้า” เมื่อได้รับคำสั่ง บรรดาศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬทั้งหลายก็กรูเข้าจู่โจมโรงเตี๊ยมและลี่หง ราวกับฝูงหมาป่าที่กระโจนเข้าไปในฝูงลูกแกะ แต่หารู้ไม่ว่าลูกแกะตรงหน้ามันหาใช่ลูกแกะธรรมดาสามัญแต่เป็นลูกเทพมังกรที่ห่มหนังแกะ


เมื่อลี่หงเห็นบรรดาศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬกรูกันเข้ามาโจมตีตน เจ้าตัวก็ยิ้มร่าออกมาจากนั้นก็หันหลังเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้วพูดขึ้น


“ต้องขออภัยลูกค้าทุกท่าน แต่ข้าขอยืมตะเกียบสักครู่นะเจ้าคะ” บรรดาลูกค้าที่อยู่ในโรงเตี๊ยมต่างก็งุนงง คนมากกว่าห้าสิบคนกำลังพุ่งเข้ามาโจมตีแต่นางกลับหันมาขอยืมตะเกียบพวกตน ตอนนี้สายตาทุกคู่ต่างก็จดจ้องมายังลี่หงด้วยความไม่เข้าใจไม่เว้นแม้แต่พ่อบ้านหลี่ แต่ไม่นานทุกคนก็เบิกตากว้าง


ตอนนี้ตะเกียบทั้งหมดที่อยู่ในโรงเตี๊ยมกำลังลอยขึ้นมา ไม่เว้นแม้แต่ตะเกียบที่อยู่ในมือลูกค้า บางคนก็กำลังคีบอาหารอยู่จู่ๆ ตะเกียบก็ขยับได้เองลอยออกไปจากมือ เมื่อเห็นดังนั้นทุกคนขยับกายลุกขึ้นถอยให้ห่างจากตะเกียบที่กำลังล่องลอยอยู่ตรงหน้า


เมื่อบรรดาศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬเข้ามาใกล้ พร้อมกับกระบวนท่ามากมายกำลังมุ่งตรงมายังลี่หง พ่อบ้านหลี่และหั่วหลง แต่จู่ๆ ตะเกียบทั้งหลายก็พุ่งออกมาจากโรงเตี๊ยมด้วยความรวดเร็ว


ฟิ้ว!! ฟิ้ว!! ฟิ้ว!! ฟ้าว!! ฟ้าว!! เสียงตะเกียบหลายสิบคู่พุ่งออกมาจากโรงเตี๊ยมด้วยความรวดเร็ว แล้วก็พุ่งเข้าปะทะกับบรรดาศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬทั้งห้าสิบคน


ฉึก!! ฉึก!! ฉึก!! ฉึก!! อ๊าก!! อ๊าก!! เสียงตะเกียบพุ่งเข้าจู่โจมบรรดาศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬดังก้อง พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ทำให้บรรดาจอมยุทธมุงกรีดร้องขึ้นมาด้วยความตกใจและสยดสยองกับสภาพของบรรดาศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬตรงหน้า


ผู้อาวุโสอี้อ้าปากค้างเมื่อได้เห็นศิษย์ของตนพ่ายแพ้ด้วยการโจมตีเดียว ทั้งยังมีสภาพที่มองแทบจะไม่ได้ บางคนก็โดนตะเกียบปักอยู่ตามร่างกายหลายสิบอัน บางคนแค่ตะเกียบยังไม่พอยังมีเศษผักเศษอาหารที่ยังติดอยู่กับตะเกียบอีกด้วย


ทางด้านลี่หงเมื่อจัดการบรรดาตัววุ่นวายทั้งหลายเสร็จแล้วก็พูดขึ้น


“จะเอายังไงตาเฒ่า จะจ่ายค่าเสียหายมาดีๆ หรือเจ้าอยากได้ตะเกียบไปเสียบเล่นสักสองสามอันดี” พูดจบรอบกายลี่หงก็ปรากฏตะเกียบสีดำทมิฬที่แผ่รังสีอำมหิตออกมาหลายสิบคู่ ตะเกียบทุกคู่ยังชี้ตรงไปยังร่างของชายชราที่ยืนนิ่งตกใจกับภาพตรงหน้า


ผู้คนที่ยืนดูอยู่รอบๆ ต่างก็ต้องสบถขึ้นมาในใจ ‘นี่นางนับเลขไม่เป็นรึไง สองสามอันบ้าอะไร นั่นมันหลายสิบอันแล้ว นั่น นั่น ออกมาอีกแล้ว’ ทุกคนตอนนี้ต่างก็ถอยห่างจากศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬไปหลายสิบก้าว เนื่องจากไม่อยากโดนตะเกียบเสียบร่างกาย


“ว่าไงตาเฒ่า จะจ่ายค่าเสียหายมาดีๆ หรือจะโดนเสียบเลือกเอา คิดให้ดีนะตาเฒ่า” ชายชราได้ยินดังนั้นก็กัดฟันกรอด พลางคิดว่าแม้แต่ตะเกียบธรรมดา ศิษย์ของตนบางคนที่อยู่ในระดับปราณฟ้าขั้นแรกยังโดนเสียบง่ายดายขนาดนี้ ส่วนหลานชายตนที่อยู่ในระดับปราณฟ้าขั้นสองก็คงมีสภาพไม่ต่างกันนัก


แต่เมื่อชายชราตรวจสอบระดับของลี่หงก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น พลางคิดว่า ‘เหตุใดนางที่อยู่เพียงระดับปราณปฐพีขั้นแรก สามารถจัดการกับลูกศิษย์ข้าที่อยู่ในระดับปราณฟ้าได้กัน หรือว่า...บัดซบเอ้ย! เจ้าบ้านั่นไม่เห็นบอกเลยว่ามีผู้ใช้อักขระอยู่ด้วย บัดซบ! จะต้องเป็นผู้ใช้อักขระคนนั้นโจมตีศิษย์ข้าแน่นอน’ เมื่อคิดได้ดังนั้นชายชราก็คิดจะโจมตีลี่หงแล้วจับนางมาเป็นตัวประกัน


ราวกับลี่หงล่วงรู้ว่าชายชราคิดอะไรอยู่ จึงบังคับให้ตะเกียบคู่หนึ่งพุ่งไปยังพื้นด้านหน้าชายชรา


ฟิ้ว!! ตู้ม!!! เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับพื้นด้านหน้าชายชราปรากฏเป็นหลุมขนาดใหญ่กว้างราวสองเมตรลึกหนึ่งเมตร ตรงกลางหลุมเสียบคาไว้ด้วยตะเกียบสีดำสนิทคู่หนึ่ง เห็นแบบนั้นชายชราก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เหงื่อเริ่มพรั่งพรูออกมาเต็มแผ่นหลัง ไม่เว้นแม้แต่บรรดาจอมยุทธมุงทั้งหลายที่จ้องมองตะเกียบคู่นั้นด้วยสีหน้าหวาดผวา


“นี่ยัยหนู เรามาพูดคุยกันดีๆ ดีกว่านะ ส่วนเรื่องค่าเสียหายเจ้าช่วยลดให้ข้าหน่อยได้รึไม่” ได้ยินดังนั้นทุกคนก็ได้แต่อ้าปากค้าง ‘นี่มันบัดซบอันใดกัน เจ้าเฒ่านี่เปลี่ยนสีเร็วยิ่งกว่ากิ้งก่าเจ็ดสีเสียอีก’ ทางด้านลี่หงเมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“หึ! ลดราคาให้! เจ้าจะบ้ารึไงตาเฒ่า” ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดลี่หง แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะประโยคถัดมา


“ข้าไม่คิดค่าตะเกียบที่เสียบอยู่บนร่างกายของศิษย์เจ้าก็ถือว่าบุญแล้ว นั่นมันมากกว่าร้อยเหรียญทองเชียวนะ ร้อยเหรียญทองนะตาเฒ่า นี่เจ้ายังจะมาขอให้ข้าลดราคาให้อีกงั้นรึ!” ได้ยินดังนั้นทุกคนก็ได้แต่อ้าปากค้าง ‘นะ นี่นางยังกล้าคิดค่าเสียหายเพิ่มอีกงั้นรึ! งก นางจะหน้าเงินเกินไปแล้ว’


ทางด้านชายชราเมื่อได้ยินดังนั้นก็กำหมัดแน่น ‘นี่มันบ้าบออันใดกัน ตัวบัดซบที่ไหนบอกว่านางเป็นสวะ อย่าให้ข้ารู้นะ ข้าจะถลกหนังหัวมันออกมาย่างให้สุนัขกินเลยคอยดู’ ในขณะที่ชายชรากำลังคิดแค้นอยู่นั้น บรรดาชาวบ้านและจอมยุทธมุงทั้งหลายต่างก็พากันจามออกมาเสียงดังนับดูแล้วก็หลายร้อยเสียงเลยทีเดียว


“เอายังไงจะจ่ายไม่จ่ายตาเฒ่า” ลี่หงถามขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นชายชราเงียบไป


“จะ จ่าย จ่าย รอสักครู่ข้าจะกลับไปเอาเงินที่สำนัก” พูดจบชายชราก็รีบปลีกตัวจากไปทันที แต่ทว่าเสียงลี่หงดังขึ้นมาก่อน


“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยตาเฒ่า เอาค่ามัดจำมาก่อนแล้วค่อยกลับไปเอาที่เหลือมาจ่าย” พูดจบลี่หงก็แบมือพร้อมกับขยับปลายนิ้วทั้งห้าขึ้นลง แค่นั้นยังไม่พอบรรดาตะเกียบหลายสิบคู่ด้านหลังก็ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะพร้อมกับมือของลี่หงเช่นกัน เห็นดังนั้นร่างของชายชราก็ได้แต่สั่นสะท้าน


“จะให้ข้าจ่ายด้วยอะไรล่ะ ตอนนี้ข้ามีเงินติดตัวไม่กี่ร้อยเหรียญทองเท่านั้น” ลี่หงได้ยินดังนั้นก็ส่งยิ้มขึ้นมา จนชายชราที่เห็นรอยยิ้มนั้นต้องก้าวถอยหลังไปสองก้าว


“ก็แหวนมิติที่อยู่บนมือของเจ้านั้นไง เอามามัดจำไว้ ส่วนของบรรดาศิษย์ของเจ้าข้าคงต้องขอรับเอาไว้ด้วยความจำใจ เพราะต้องนำไปจ่ายค่าค่าเสียหายเพื่อซ่อมแซมถนนและเป็นค่าทำขวัญคนของข้าที่โดนศิษย์เจ้าทำร้ายอีก เอาล่ะจ่ายค่ามัดจำแล้วไปนำเงินที่เหลือมาซะ อย่าให้ขาดแม้แต่ทองแดงเดียวไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่ได้แหวนมิติของเจ้าคืนแน่” พูดจบลี่หงก็กวัวมืออีกครั้ง ชายชราจำต้องถอดแหวนมิติออกมาด้วยความไม่ยินยอม


เมื่อได้แหวนมิติของชายชรามาแล้ว ลี่หงก็หันไปพูดกับบรรดาศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬที่นอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น


“ต่อไปก็พวกเจ้า ยังไม่จ่ายค่าชดเชยมาอีก” พูดจบบรรดาศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬต่างก็ถอดแหวนมิติออกมาให้ลี่หงด้วยสายตาเคียดแค้น เมื่อได้แหวนมิติมาครบแล้วลี่หงก็พูดขึ้น


“นี่หรือศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬ มีคนตั้งห้าสิบคนมีแหวนมิติไม่ถึงสิบวง เฮ้อ! ช่างเป็นสำนักที่ยากจนค่นแค้นเสียจริง” เมื่อมอบของมีค่าที่ติดตัวมาทุกอย่างให้ลี่หงเสร็จแล้ว บรรดาศิษย์สำนักหมาป่าทมิฬก็จากไปพร้อมกับความแค้นที่คับแน่นเต็มอก เมื่อตัวเกะกะไปแล้วลี่หงก็หันมาพูดกับบรรดาจอมยุทธมุง


“เอาล่ะทุกท่านการแสดงจบลงแล้วเจ้าค่ะ หากท่านไหนช่วยกันเก็บกวาดสถานที่ด้านหน้าโรงเตี๊ยมตอนนี้ ข้าจะจ่ายให้งามๆ คนละหนึ่งเหรียญทองเลยเจ้าค่ะ” สิ้นคำพูดลี่หงบรรดาจอมยุทธมุงก็ฉุดกระชากลากถูเบียดเสียดกัน หยิบจับเศษอิฐเศษดินคนละไม้คนละมือ


ไม่นานพื้นที่ต่อสู้! พื้นที่ด้านหน้าโรงเตี๊ยมตระกูลหลิวก็กลับมาสะอาดเอี่ยมอ่องอีกครั้ง แม้แต่หลุมที่เกิดจากตะเกียบก็หายไปราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน


เมื่อเสร็จแล้วลี่หงก็ทำการแจกค่าจ้างให้ทุกคนรวมแล้วหมดไปกว่าร้อยห้าสิบเหรียญทอง เมื่อแล้วเสร็จเสียงชื่นชมลี่หงก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ จนสามารถลบภาพความเหี้ยมโหดก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น


จากนางหงผู้เหี้ยมโหดกลับกลายเป็นนางหงผู้โอบอ้อมอารีได้ในพริบตา



รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว