บทที่ 30 คุณจะต้องเป็นคนที่สวยที่สุดแน่นอน
บ่ายสามโมง จิ่งเป่ยเฉินพาอันโหรวออกจากบริษัทจิ่งโดยตรง ตลอดทางนั้นเรียกได้ว่าทำให้คนอื่นอิจฉาตาร้อน
โดยเฉพาะฉิวซี ตาของเธอแทบจะถลนออกมาแล้ว
ทำไมผู้หญิงแก่และน่าเกลียดอย่างอันอวี้หานถึงทำให้ท่านประธานจิ่งใส่ใจขนาดนั้น
จิ่งเป่ยเฉินมองเธอด้วยหางตา สงสัยในปฏิกิริยาของเธอ
แต่อันโหรวกลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าไม่ได้ยินเสียงซุบซิบรอบข้าง เธอยืดหลังตรง รองเท้าส้นสูงสวยงามส่งเสียงดังกังวานบนพื้นหินอ่อน เธอเดินอย่างองอาจ
อันโหรวเพิ่งจะนั่งลงได้ไม่นาน และกำลังยื่นมือไปคว้าเข็มขัดนิรภัย แต่กลับถูกจิ่งเป่ยเฉินแย่งไปก่อน
เขาโน้มตัวลงมาเล็กน้อย ก้มหน้าคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธออย่างตั้งใจ ระยะห่างของทั้งสองคนใกล้กันมาก จนเขาได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากตัวเธอ
“เรียบร้อยแล้ว”
จิ่งเป่ยเฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อเขาลุกขึ้น ริมฝีปากบางแทบจะแตะโดนใบหูของอันโหรว ในชั่วพริบตานั้นเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน
อันโหรวรู้สึกเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย มือที่วางอยู่ด้านหลังจับเบาะนั่งโดยไม่รู้ตัว แต่ใบหน้าไม่แสดงอาการใด ๆ
เธอรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมา
อันโหรวมองทิวทัศน์ระหว่างทาง หลังจากรถออกตัวไปได้สักพัก เธอจึงหันมาถามด้วยความสงสัย “เวลานี้เร็วไปหน่อยไหม คุณจะพาฉันไปที่ไหน”
“ไปเปลี่ยนชุดให้คุณทั้งตัว” จิ่งเป่ยเฉินสวมแว่นกันแดด ยิ่งเพิ่มความมีเสน่ห์ให้กับใบหน้าคมคาย เขาเหยียบคันเร่งจนมิด รถสปอร์ตระดับท็อปถูกขับจนฝุ่นตลบ
รถจอดลงหน้าร้านชื่อ ‘มหัศจรรย์แห่งการเปลี่ยนแปลง’ อันโหรวเคยได้ยินชื่อร้านนี้มาก่อน เป็นร้านที่เปิดโดยควีนแห่งวงการแฟชั่น คนที่เข้ามาที่นี่ได้ล้วนแต่เป็นคนรวยหรือมีตำแหน่งสูงทั้งนั้น
เช่นเดียวกัน บริการที่เธอให้ก็เป็นเลิศ แม้แต่ลูกเป็ดขี้เหร่ก็สามารถเปลี่ยนเป็นหงส์ขาวได้ มอบปาฏิหาริย์ให้คุณอย่างแท้จริง
อันโหรวตกใจ ด้วยเทคนิคการแต่งหน้าอย่างไม่คล่องแคล่วของเธอ ต่อหน้าฝีมือปีศาจแห่งวงการแฟชั่น จะไม่ถูกมองทะลุในทันทีเลยหรือ!
ไม่ได้ เธอเข้าไปไม่ได้!
จิ่งเป่ยเฉินลงจากรถ แล้วยืนพิงอยู่ข้างประตู มองเธอที่นั่งนิ่งอยู่ในรถ คิ้วขมวดเข้าหากัน “ยังทำอะไรอยู่อีก ลงมา!”
“ฉันไม่ชอบแต่งหน้า ใส่ชุดราตรีธรรมดา ๆ ก็พอ” อันโหรวปฏิเสธด้วยสีหน้าเย็นชา
“ลงมา!”
อันโหรวรู้ว่านั่งอยู่ในรถก็ไม่ใช่ทางออก เห็นจิ่งเป่ยเฉินดูเริ่มไม่อดทน จึงเปิดประตูลงจากรถอย่างคล่องแคล่ว มองร้านที่ดูหรูหราตรงหน้า รู้สึกรำคาญใจอยู่บ้าง
จิ่งเป่ยเฉินเดินอ้อมรถ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำแข็ง จูงมืออันโหรวจะเดินเข้าไป แต่ไม่ว่าเขาจะดึงอย่างไร ผู้หญิงด้านหลังก็ไม่ยอมเดิน
“คุณกำลังทำอะไรอยู่” จิ่งเป่ยเฉินไม่พอใจ เม้มริมฝีปากเน้น แล้วพูดเสียงเย็น “อันอวี้หาน ผมสั่งคุณ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ตามผมเข้าไป”
ในเมื่อมาถึงหน้าร้านแล้ว จิ่งเป่ยเฉินต้องไม่ปล่อยให้เธอไปแน่ ๆ หรือว่าวันนี้จะต้องแพ้แล้วหรือ
อันโหรวต่อสู้กับตัวเองในใจ สุดท้ายก็ขบกรามแน่น เดินอ้อมจิ่งเป่ยเฉินเข้าไปก่อน
เธอไม่มีทางเลือก ได้แต่ฝืนทำใจเดินฝ่าไปข้างหน้า
การตกแต่งภายในเป็นแบบที่ดูโอ่อ่าแต่ไม่ฉูดฉาด ไม่มีแสงไฟจ้า ของตกแต่งทั้งหมดล้วนเน้นความนุ่มนวลและอบอุ่น ทำให้รู้สึกสบายมากทันทีที่เข้ามา
แสงจากโคมระย้าคริสตัลส่องลงบนชุดราตรีหลากหลายแบบ ให้ความรู้สึกลึกลับและหรูหรา ราวกับอยู่ในวิหาร
อันโหรวไม่มีใจสำรวจสภาพแวดล้อม เธอกังวลเรื่องการแต่งหน้า จึงรู้สึกสงบใจไม่ได้
จิ่งเป่ยเฉินเพิ่งเข้ามา ก็มีชายสวมสูทเดินมาต้อนรับ และโค้งตัวเล็กน้อย ด้วยสีหน้าที่เคารพนบนอบ “คุณจิ่ง เชิญด้านในครับ”
ชายคนนั้นพาจิ่งเป่ยเฉินขึ้นไปชั้นสอง การตกแต่งของชั้นสองไม่เหมือนกับชั้นหนึ่ง ที่นี่ชัดเจนว่าลึกลับและหรูหรากว่ามาก
จิ่งเป่ยเฉินนั่งบนโซฟาระดับไฮเอนด์ด้านข้าง ขาเรียวยาวไขว้กัน สายตาเย็นชา “ไปเรียกควีนออกมาให้ฉัน”
ชายสวมสูทเป็นเพียงสไตลิสต์แฟชั่นคนหนึ่งที่นี่ เขาลูบศีรษะอย่างลำบากใจเล็กน้อย “คุณจิ่ง ไม่ปิดบังอะไรคุณ วันนี้ควีนไม่อยู่พอดี”
ทันใดนั้นสีหน้าของจิ่งเป่ยเฉินก็หม่นลง เขาเม้มปากแน่นโดยไม่พูดอะไร บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ
ชายในชุดสูทตกใจจนตัวสั่น จิ่งเป่ยเฉินมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งในวงการธุรกิจและการเมือง อีกทั้งยังเป็นผู้สืบทอดตระกูลชั้นสูง เขาย่อมไม่กล้าไปขัดใจอย่างแน่นอน
อันโหรวคลายความกังวลในใจ เธอยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร ฉันจะให้คุณเลือกชุดราตรีให้ฉัน ส่วนทรงผมจัดแต่งง่าย ๆ ก็พอ”
“ผมจะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อสร้างสรรค์ลุคที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้กับคุณหนูครับ” ชายในชุดสูทรีบพูดโอ้อวดไปก่อน
จิ่งเป่ยเฉินไม่พูดอะไรตลอดทั้งกระบวนการ เขาเพียงแต่ทำหน้านิ่ง สีหน้าไม่พอใจ
นักออกแบบแฟชั่นจำเป็นต้องมีความสามารถในการค้นหาความงามที่ซ่อนอยู่ในตัวคน จากนั้นก็ใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อขยายความงามนั้น ทำให้ผู้คนเปล่งประกายอย่างสว่างไสว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนในร้านแห่งนี้มีฝีมือจริง ๆ ชายในชุดสูทเริ่มแต่งหน้าให้อันโหรว ทันทีที่เขาแต่งหน้า เขาก็พบสิ่งแปลกประหลาด
“คุณหนู คุณ…”
เขาเพิ่งจะพูด แต่ถูกอันโหรวห้ามปรามและเตือนอย่างเย็นชา “เรื่องที่ไม่ควรยุ่งก็อย่ายุ่ง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี”
ชายในชุดสูทถูกสายตาของอันโหรวทำให้ตกใจจนมือสั่น ไม่กล้าถามอะไรอีก ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง
แต่งหน้า ทำผม เปลี่ยนชุดราตรี ทั้งสามอย่างนี้ใช้เวลาถึงสองชั่วโมงครึ่ง ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่จิ่งเป่ยเฉินจะทนไม่ไหว ม่านเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ถูกเปิดออก ภาพตรงหน้าทำให้เขาหยุดหายใจ...
อันโหรวสวมชุดเดรสเข้ารูปสีน้ำเงินเข้ม เสื้อเกาะอกแบบขอบดอกบัวช่วยเน้นหน้าอกอันโดดเด่นของเธอ เซ็กซี่แต่ไม่เสียความน่ารัก เอวบางเล็กจับต้องได้ ขาขาวเรียวยาวถูกห่อหุ้มอย่างแน่นหนา ส่วนหางปลาเป็นการออกแบบที่ละเอียดอ่อนที่สุดของชุดทั้งชุด โอบรัดใต้เข่าลงมาสามเซนติเมตร เผยให้เห็นข้อเท้าเล็กน่ารักของอันโหรว
“ชุดราตรีดูแปลกมากไหม” อันโหรวยื่นมือไปดึงที่หางปลา เห็นจิ่งเป่ยเฉินทำหน้าเหม่อลอย เธอจึงคิดว่าตัวเองใส่ไม่สวย
“คืนนี้ คุณจะต้องเป็นคนที่สวยที่สุดแน่นอน” พอจิ่งเป่ยเฉินได้สติ ก็เอ่ยชมเธออย่างไม่ปิดบัง
ชายในชุดสูทมองเห็นรูปลักษณ์ของอันโหรวด้วยความตะลึงและภาคภูมิใจในดวงตา
“ท่านประธานจิ่ง คุณพอใจหรือยังครับ” ชายในชุดสูทถามอย่างนอบน้อม
จิ่งเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก หยิบบัตรทองใบหนึ่งจากกระเป๋า ยื่นให้ชายในชุดสูท “เงินที่เหลือในบัตร เอาไว้เป็นทิปของคุณ”
คำพูดนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการยืนยันการออกแบบของชายในชุดสูท
อันโหรวยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดอะไร ไม่สนใจสายตาของจิ่งเป่ยเฉินที่มองเธออยู่ ก่อนจะเดินนำออกไปก่อน
ครั้งนี้จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้ขับรถเอง แต่เรียกชีเสิ่งเทียนมาขับรถให้
ชีเสิ่งเทียนมองไปที่จิ่งเป่ยเฉินด้วยสายตาโศกเศร้า เขาก็ถือว่าเป็นคนที่มีหน้ามีตาคนหนึ่ง แต่กลับถูกเรียกมาเป็นคนขับรถด้วยโทรศัพท์เพียงสายเดียว!
เขามีความคับแค้นใจแต่ไม่กล้าพูด พลางเหลือบมองที่อันโหรวซึ่งนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่เบาะหลังตลอด อีกครั้งที่รู้สึกอัศจรรย์ใจกับการแต่งหน้า
เมื่อผู้หญิงแก่คนนี้แต่งตัวแล้ว ก็ดูแตกต่างจากปกติโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่มองใบหน้าที่ซีดเหลืองนั่น ต้องมีผู้ชายจำนวนมากที่คุกเข่าลงใต้กระโปรงสีแดงเข้มของอันอวี้หานอย่างแน่นอน
สื่อต่าง ๆ แข่งกันรายงานข่าวงานเต้นรำของสังคมชั้นสูง รถปากานีจอดลงอย่างช้า ๆ เมื่อนักข่าวที่รออยู่ตรงประตูทางเข้างานเห็นรถก็รีบวิ่งเข้ามาเป็นฝูง
จิ่งเป่ยเฉินที่นั่งอยู่เบาะหลังมองผู้สื่อข่าวที่แห่กันมาที่ประตูรถ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันโดยไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าอันแข็งกร้าวขรึมลงจนสุด
“นักข่าวพวกนี้บ้าไปแล้ว!” ชีเสิ่งเทียนก็ขมวดคิ้วตาม หันไปมองจิ่งเป่ยเฉิน แล้วถอนหายใจ รู้สึกเหมือนยอมตายเพื่อชาติ “ฉันจะออกไปขวางพวกเขาไว้ นายพาอันอวี้หานออกมา”
จิ่งเป่ยเฉินไม่พูดอะไร พยักหน้าให้เขา
ชีเสิ่งเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก เขากลัวนักข่าวพวกนี้ที่สุด ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็เหมือนจะกินคนไม่คายกระดูก แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องไปเผชิญหน้ากับคนพวกนี้
พอเปิดประตูรถ ก็มีนักข่าวตาดีจำชีเสิ่งเทียนได้ และรีบตะโกนถาม “คุณชายชี คุณก็มาร่วมงานเต้นรำด้วยเหรอครับ คู่เต้นรำของคุณครั้งนี้เป็นสาวงามคนไหนครับ”
“หลีกไป! วันนี้ผมไม่ได้พาใครมา อย่ามาขวางทาง!” ชีเสิ่งเทียนตะโกนบอกและผลักนักข่าวอย่างไม่พอใจ
นักข่าวถูกชีเสิ่งเทียนพาตัวออกไป จิ่งเป่ยเฉินและอันโหรวที่นั่งอยู่เบาะหลังจึงได้ลงจากรถ
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว