ข้าจะเป็นราชาอมตะ-ตอนที่ 35 : ไล่ล่าและหนี

โดย  amnovel

ข้าจะเป็นราชาอมตะ

ตอนที่ 35 : ไล่ล่าและหนี

ตอนที่ 49 เก็บกวาดให้สะอาด


  หลิงซานฉิงรีบวิ่งออกมาจากห้อง แววตาดุจคมมีดกวาดมองไปที่ฉาซื่อ “ใครกล้าขยับก็คอยดูแล้วกัน!”


  นางถือมีดพิเศษสำหรับตัดขนห่านอยู่ในมือ สีหน้าดูเยือกเย็น


  คนที่ตามฉาซื่อเข้ามาในลานบ้านแต่แรกอยากใช้โอกาสนี้พูดให้นางอับอาย แต่เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมา ถึงอย่างไรมีฉาซื่อเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว


   นางยิ่งโกรธเกรี้ยวเพิ่มขึ้น ฉาซื่อก็เดือดอย่างมาก นางตบมือลงบนโต๊ะหินจนเสียงดังสนั่น “อีนังต่ำช้า มีเหตุผลจะเลี้ยงผู้ชายแล้วนี่ วันนี้ข้าจะจัดการเจ้า ดูซิว่าเจ้าจะทำอย่างไร!!”


  ฉาจื่ออันที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงจากข้างนอก เมื่อได้ยินแล้วเขาทั้งโมโหทั้งเป็นเดือดเป็นร้อนแทนหลิงซานฉิง จึงย่างสามขุมผลักประตูออกไป “ท่านแม่ ท่านพูดให้มันน้อยลงหน่อยเถิด เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด ซานฉิงไม่ใช่คนแบบนั้น”


  หลิงซานฉิงรู้สึกอบอุ่นในใจเล็กน้อย ไม่ว่าฉาซื่อจะก่อความวุ่นวายอย่างไร ตัวนางก็รู้สึกพอใจในท่าทางเช่นนี้ของเขามาก ส่วนอย่างอื่นนางจัดการได้


  ฉาซื่อไม่นึกว่าลูกชายของนางจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนังต่ำช้าคนนี้ นางโกรธอย่างขีดสุด สีหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ขยับมือชี้ไปที่ฉาจื่ออันอย่างฉับไว “เจ้า ไอ้คนไร้ค่าหุบปากเดี๋ยวนี้ มันทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้ เจ้ายังช่วยมันอยู่อีกรึ หากรู้ว่าเจ้าจะโง่ขนาดนี้ ข้าคงไม่จ่ายเงินให้เจ้าเรียนหนังสือหรอก แม้แต่ถูกผิดเจ้าก็ยังแยกไม่ออก!”


   “ท่านแม่ พวกเราจะทำตามที่ท่านแม่ว่า ท่านบอกให้ย้ายพวกเราก็จะย้าย” ลูกคนรองฉาอิ๋นอันพาหลิวซื่อเดินเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบประแจง สายตากวาดมองบนพื้นอย่างวูบไหว


  เจ้าสามจะถูกสวมเขาหรือไม่ เขาไม่สน เพราะของมีค่าเหล่านี้สิคือสิ่งที่เขาสนใจ หากขายของพวกนี้ไป คงเพียงพอให้เขาไปเล่นพนันได้สักสองสามรอบ


   หลิงซานฉิงเดินขึ้นมาข้างหน้าด้วยรอยยิ้มเย็นชา มีมีดพลิกไปมาอยู่ในมือนาง นางยืนขวางอยู่ข้างหน้าฉาอิ๋นอันและมองเขาอย่างไม่เกรงกลัว “ฉาอิ๋นอัน วันนี้หากเจ้ากล้าเอาท่อนไม้ไปหนึ่งท่อน เจ้าต้องทิ้งเนื้อไว้ให้ข้าหนึ่งชิ้น”


  น้ำเสียงเคร่งขรึมนั้นน่ากลัวเป็นพิเศษ ฉาอิ๋นอันเคยถูกนางเอาเปรียบมาก่อน และตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะประมาทเลยแม้แต่น้อย


  แต่ฉาซื่อไม่เชื่อนังคนนี้ และเอ่ยเสียงแข็ง “นังต่ำช้า ฆ่าคนมันผิดกฎหมาย เจ้ารอง เจ้าเดินอ้อมนางไป ข้าอยากจะรู้นัก นางจะกล้าทำอะไรเจ้า หรือจะปล่อยเจ้าไปกันแน่!


   เมื่อฉาอิ๋นอันได้ยินเช่นนี้ เขาก็มีความมั่นใจ จึงยิ้มเยาะขึ้น “สะใภ้สาม ของพวกนี้ไม่ใช่เข็มปักดอกไม้ หากข้าถือไว้มั่นแล้วเจ้าอย่าทำ…อ๊าก ท่านแม่ ช่วยด้วย”


   หลิงซานฉิงคร้านจะฟังเขาพูดไร้สาระ จึงใช้โอกาสในตอนที่เขายื่นมือเข้าไปอุ้มท่อนไม้และฟันไปที่แขนของเขา มันยาวประมาณหกชุ่นเต็ม เลือดแดงฉานแย่งกันทะลักออกมา


  หลิวซื่อแผดเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ แทบเป็นลมล้มหมดสติ


  คนมากมายที่อยู่รอบ ๆ พากันถอยกลับไปพร้อม ๆ กัน และสีหน้าแต่ละคนเผยความตกใจออกมา


  บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว โกรธเพราะอับอายจนจะฆ่าจะแกงกันแล้ว


   ฉาซื่อเหลือบมองฉาอิ๋นอัน สีหน้าดูไม่ชอบใจนัก ไอ้คนไร้ประโยชน์


   ทันใดนั้นนางก็ทำท่าเอามือมากุมหัวใจไว้ ทำท่าทางตกใจ พลางร้องตะโกนเสียงแหลม “สวรรค์ ใครก็ได้เข้ามาเร็ว รีบไปช่วยร้องเรียนที นังตัวซวยนี่จะฆ่าคนแล้ว ฆ่าคนแล้ว”


   หลิงซานฉิงแคะหูอย่างรำคาญพลางตะโกนกลับ “เช่นนั้นก็รีบไปร้องเรียนสิ ข้าจะได้บอกเรื่องที่ฉาอิ๋นอันเข้ามาขโมยของในตอนกลางวันแสก ๆ ไปด้วยเลย แล้วก็เจ้า ข้าให้เจ้าเข้ามาได้รึ เจ้าเข้ามาบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวแล้วจะคิดอย่างไร?”


  ฉาซื่อเอามือเท้าเอว พลางเอ่ยขึ้น “นี่คือบ้านลูกชายข้า เหตุใดจะเข้ามาไม่ได้? หรือเจ้าไม่อยากให้คนนอกเข้ามารบกวนในตอนที่เจ้าเลี้ยงผู้ชายและหลับนอนกับคนอื่นเพื่อหาเงินในตอนกลางวันแสก ๆ รึ? นี่มันคำอธิบายบ้าบออะไร แม้ลูกชายข้าจะนิสัยดี แต่ใช่ว่าเจ้าจะรังแกเขาได้ง่าย ๆ นะ เจ้าอย่าได้ทำเกินไปนัก!”


   ขณะพูด นางพักหายใจครู่หนึ่งก่อนจะด่าต่อ “อีกอย่างแยกบ้านไปแล้วเจ้าสมควรทำเรื่องเช่นนี้ออกมารึ เจ้ามันไร้ยางอาย ตระกูลฉาเก่าแก่ของเราไม่เคยมีคนเช่นเจ้ามาก่อน เจ้าจ้องข้าทำไม? ข้าพูดสิ่งใดผิดรึ จ้องอีกข้าจะจับใส่กรงไม้ไผ่ถ่วงน้ำซะ!”


   จับใส่กรงไม้ไผ่ถ่วงน้ำ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินคำนี้ออกมาจากปากฉาซื่อ นั่นมันคือสิ่งของอะไรกันแน่?


   ความอดทนของหลิงซานฉิงกำลังจะหมดลง แต่ฉาซื่อกลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อย นางไม่มีเวลาไปโต้เถียงกับแม่สามีที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ จึงตะโกนกลับไปอย่างหงุดหงิด “ตระกูลฉาเก่าแก่ของพวกเจ้ามีคนไร้เหตุผลเหมือนอย่างเจ้ารึ? ในที่สุดก็เข้าใจสักที ข้าควรดีใจที่ฉาจื่ออันเติบโตมาเป็นคนที่นิสัยดื้อรั้นอย่างตอนนี้ ไม่เช่นนั้นคงถูกเจ้าแพร่เชื้อไร้เหตุผลให้เขาแน่”


  “นังเลวทรามกล้าดีอย่างไรมาพูดกับข้าเช่นนี้ ตระกูลหลิงไม่ได้สอนให้เจ้าเคารพต่อแม่ผัวรึไง? วัดไม่ดี หลวงชีสกปรก ครอบครัวเป็นแบบไหนคนก็ออกมาเป็นแบบนั้น เหตุใดตอนนั้นตระกูลฉาถึงรับเจ้าเอาไว้นะ ควรให้เจ้าได้ไปใช้ชีวิตดี ๆ อยู่ในตระกูลหลิง มีเพียงครอบครัวของเจ้าเท่านั้นที่รับเจ้าได้”


  ฉาซื่อเลิกคิ้วขึ้น และขยิบตาให้หลิวซื่อ “เจ้าจับนางกดไว้ คอยดูวันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้นางว่าอะไรคือการเคารพผู้ใหญ่!”


   ฉาซื่อด่าออกมาอย่างคล่องปาก แต่นางไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางของหลิงซานฉิง


   ประหนึ่งหลิวซื่อได้รับพระราชโองการ นางมีพลังงานเต็มเปี่ยม ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ นางไม่เชื่อว่าหลิงซานฉิงจะไร้เหตุผลกล้าตอบโต้กลับอีกครั้ง


   หลิงซานฉิงมีสีหน้าอึมครึม ดวงตากลมโตเผยความเย็นชาเล็กน้อย มีเงามืดเคลื่อนไหวไปมาในดวงตา


   ไม่เป็นไรหากว่าฉาซื่อจะดุด่านาง แต่นี่ยังลากตระกูลหลิงเข้ามาด้วย แม้นางจะไม่รู้สึกดีอะไรต่อตระกูลหลิง แต่อยู่ ๆ ก็ด่านางว่าที่บ้านไม่มีใครสั่งสอน เมื่อได้ฟังแล้วนางก็รู้สึกไม่สบายใจ!


  หลิวซื่อดึงแขนเสื้อขึ้นและพุ่งเข้าไป จำไม่ได้เลยว่าเมื่อครั้งก่อนเคยถูกหลิงซานฉิงเขวี้ยงลงบนพื้นจนมีท่าทางเป็นเช่นไร ตอนนี้จึงยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ “ข้าแค่ทำตามที่ท่านแม่สั่ง เจ้าไม่สามารถขัดความคิดของท่านแม่ได้”


   นางไม่พูดประโยคนี้ยังจะดีเสียกว่าอีก เพียงเอ่ยว่ามีความเกี่ยวข้องกับฉาซื่อ หลิงซานฉิงก็ยิ่งโกรธ ดังนั้นในตอนที่หลิวซื่อรีบเดินเข้ามา นางก็เอนตัวหลบพร้อมกับเหยียดเท้าขวาออกมา


   หลิวซื่อที่พุ่งไปเข้าไป ได้เตรียมพร้อมที่จะไม่ให้ตัวเองล้มมาก่อนแล้ว แต่นางกลับไม่คิดเลยว่าหลิงซานฉิงจะยื่นเท้าออกมาขัด นางจึงล้มหน้าคะมำโดยไม่ทันได้ตั้งตัว


   ฉาซื่อแอบด่าในใจว่าไร้ประโยชน์ เมื่อเห็นหลิงซานฉิงเดินมาหา นางก็อดถอยหลังไปครึ่งก้าวไม่ได้ “เจ้า เจ้าจะทำอะไร ทำผิดแล้วเจ้ายังจะเถียงอยู่อีกรึ ข้าเข้ามาที่นี่เพื่อเป็นเดือดเป็นร้อนแทนลูกชายข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าจะสนเจ้ารึ? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน!”


   ต้องยอมรับว่า ฉาซื่อมีความสามารถทางด้านหาเหาใส่หัว


   หลิงซานฉิงหมุนมีดในมือ และยิ้มอ่อนโยนออกมา “นั่นสิ ข้าไม่เคยทำให้ตัวเองดูสูงส่งมาก่อน ไม่เหมือนกับเจ้า แค่เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คุ้มค่าให้เจ้าที่สูงส่งมายุ่งด้วยได้ นี่เจ้าอาจจะไร้ค่าเกินไปหน่อยนะ”


   ไม่รอให้ฉาซื่อตอบโต้กลับ สายตานางก็เย็นชาลง “หากไม่ไสหัวออกไป เจ้าจะเป็นฉาอิ๋นอันคนที่สอง ถึงอย่างไรข้าก็มีชื่อฉาวโฉ่อยู่แล้ว ไม่กลัวถูกด่าลับหลังว่าอกตัญญูหรอก”


   คมมีดมันเงาแสบตาเป็นอย่างมาก เมื่อฉาซื่อเห็นว่าแขนของชาฉาอิ๋นอันยังมีเลือดไหลและมีท่าทางใกล้จะตาย ก็อดรู้สึกอยากจะถอนตัวจากเรื่องนี้ แต่ก็ยังดื้อรั้นเอ่ยคำพูดดุร้ายออกมา “เจ้า เจ้ารอข้าก่อนเถอะ ไม่นานข้าจะสอนบทเรียนให้แก่เจ้า!”


   นางทั้งพูดจาแรง ๆ ไปด้วยและก้าวถอยหลังไปด้วย ซึ่งท่าทางเช่นนั้นดูน่าขันยิ่งนัก


  คล้ายกับฉาซื่อรู้สึกเสียหน้านิดหน่อยที่ต้องจากไปแบบนี้ ดังนั้นเพื่อแสดงฐานะในครอบครัวของตัวเอง ความโกรธทั้งหมดก็ถูกโอนไปยังฉาอิ๋นอันและภรรยาของเขาทันที “จะยืนบื้ออยู่อีกทำไม ไม่กลัวติดเชื้อเสื่อมเสียจากที่นี่รึ? รีบไปได้แล้ว!”


   เมื่อฉาอิ๋นอันกับภรรยาเห็นฉาซื่อหนีอย่างหัวซุกหัวซุน ขืนอยู่ต่อไปคงไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาแน่ ดีไม่ดีก็อาจจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จึงรีบเดินออกไปโดยไม่สนสิ่งใดอีก


   คนอื่น ๆ ที่อยู่ในลานบ้านต่างพากันเดินตามออกไปหลังจากที่ฉาซื่อออกไป หลิงซานฉิงก็ไม่ได้นำเรื่องนี้เก็บมาใส่ใจ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นท่าทางรู้สึกผิดของฉาจื่ออัน นางจำต้องหาวิธีชะล้างชื่อเสียงฉาวโฉ่ให้แก่ตัวเอง


   สาเหตุที่คนพวกนี้เผยแพร่ชื่อเสียงฉาวโฉ่เพราะช่วงนี้มีคนมาสั่งทำพู่กันขนห่านเยอะเกินไป และส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชายเท่านั้น แน่นอนว่า หนึ่งในนั้นก็อาจจะเป็นเพราะพวกเขาอิจฉานางด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงหาเหตุผลที่จะสามารถใส่ร้ายนางได้


   ความรู้สึกนี้เข้าใจได้ไม่ยาก แต่เป็นความผิดคนเหล่านั้นที่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้


  เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็คิดวิธีอย่างรวดเร็ว และรีบกลับไปที่ห้องเพื่อเขียนจดหมายถึงซือหงหยวนทันที


  หลังจากนั้นนางก็ออกไปส่งจดหมาย ระหว่างทาง ชาวบ้านต่างชี้นู่นชี้นี่ใส่นางอย่างไม่ขาดสาย


   เมื่อกลับถึงบ้าน ฉาจื่ออันยังคงนั่งอยู่ในลานบ้าน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นางจึงเดินเข้าตบไหล่เบา ๆ เขาไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิดจึงสะดุ้งตกใจทันที และมองดูนางด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดี “เวลาเช่นนี้เจ้ายังรู้สึกหงุดหงิดอยู่อีกรึ เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่?”


  น้ำเสียงนี้ฟังดูแย่มาก หลิงซานฉิงพ่นลมหายใจออกมา “ฉาจื่ออัน มันแค่เรื่องใหญ่นิดเดียวเอง เจ้าต้องคิดนานขนาดนี้เชียวรึ ไม่มีแม้แต่สมาธิจริง ๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเมื่อเจ้าอยู่เมืองหลวง เจ้าจะทำอย่างไร”


  ปกติแล้วเมื่อใดก็ตามที่เอ่ยถึงเมืองหลวง ฉาจื่ออันก็จะตื่นเต้น แต่ตอนนี้เขาไม่ตอบสนองและไม่ส่งเสียงเลยแม้แต่น้อย


  เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิงซานฉิงก็ไม่พูดโน้มน้าวอะไรอีก นางเดินตรงไปที่ห้องทำงาน


  เช้าตรู่วันถัดมา


   ซือหงหยวนตอบจดหมายกลับมาอย่างรวดเร็ว แถมยังส่งผู้ดูแลร้านจากร้านตัวเองมาด้วย


   ผู้ดูแลร้านไม่ได้เข้ามาในบ้าน เขาตะโกนเรียกหลิงซานฉิงอยู่นอกประตู


   ทันทีที่หลิงซานฉิงออกมา ก็เห็นผู้ดูแลร้านยืนห่างจากประตูสามลี้ เมื่อเห็นนางออกมา เขาก็ทักทายด้วยรอยยิ้มตามมารยาท “แม่นางหลิง ข้าน้อยคือผู้ดูแลร้านของภัตตาคารซือเจิ้ง และคุณชายซือให้ข้านำส่วนแบ่งจากการขายพู้กันขนห่านของเดือนนี้มาให้ท่าน


   เพราะความวุ่นวายที่ฉาซื่อก่อขึ้นเมื่อวาน หน้าบ้านนางจึงกลายเป็นศูนย์รวมจุดนัดพบของผู้หญิงที่ไม่มีงานการทำในช่วงสองวันมานี้ แต่ละคนทิ้งงานของตัวเอง และลงทุนมาสอดส่อง


  หลิงซานฉิงแสร้งทำเป็นไม่เห็นพวกเขา และตอบเสียงดัง “สองวันก่อนให้ลูกจ้างมาส่ง แต่เหตุใดครั้งนี้ท่านถึงมาด้วยตัวเองล่ะ พู่กันขนห่านขายดีมากรึ?”


   นางขึ้นเสียงให้ดังขึ้น ทุกคนรอบ ๆ ต่างได้ยินชัดเจน แต่ละคนยืนเขย่งปลายเท้ายืดคอมองมาด้านนี้ และเงี่ยหูตั้งใจฟังราวกับกลัวว่าจะพลาดอะไรไป


   หลังจากฟังอยู่ครู่หนึ่ง คำพูดของพวกเขาก็วนเวียนอยู่แต่พู่กันขนห่าน ทุกคนต่างตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง พู่กันขนห่านคืออะไรกันแน่ เหตุใดฟังดูแล้วเหมือนหาเงินได้มากเลยล่ะ?


   เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ผู้ดูแลร้านก็ล้วงตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาแล้วส่งให้หลิงซานฉิง อีกฝ่ายรับตั๋วเงินมาใส่ไว้ในแขนเสื้อโดยไม่นับ ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้รับเงิน


  “อ๋า ข้านึกออกแล้ว ครั้งก่อนที่ข้าเข้าไปในตัวอำเภอ ข้าเห็นลูกคนรวยหลายคนล้วนมีพู่กันขนห่านอะไรนั้นอยู่ในมือคนละด้าม ดูเหมือนมันจะค่อนข้างแพงด้วย พู่กันขนห่านหนึ่งด้ามก็หลายตำลึง มิน่าล่ะช่วงนี้หลิงซานฉิงถึงได้มีเงินขนาดนี้ ที่แท้ก็ทำพู่กันขนห่านส่งออกขายนี่เอง!”


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว