บทที่ 26 จากไป
ถูกแล้ว ก่อนที่ลู่เซี่ยจะทะลุมิติมา เจ้าของร่างเดิมมีเสื้อผ้าที่ใส่ได้เพียงสองชุด ชุดหนึ่งมีเต็มไปด้วยรอยปะชุนก็ใส่บ่อยหน่อย ส่วนอีกชุดหนึ่งมีเพียงเล็กน้อยจึงไม่ค่อยกล้าใส่ เธอตั้งใจจะเอาไปใส่ตอนไปอยู่ที่ชนบท
จริง ๆ แล้วช่วงนี้ลู่เซี่ยได้คูปองผ้ามาเรื่อย ๆ และเลือกซื้อผ้ามาอีกหน่อยแล้วเก็บไว้ในช่องว่างมิติ
นอกจากนี้ ลู่เซี่ยยังซื้อชุดชั้นในมาอีกสองสามชุด ในยุคนี้ชุดชั้นในคือเสื้อกล้ามตัวใหญ่ แต่มีก็ยังดีกว่าไม่มี แต่ก็เก็บไว้ในช่องว่างมิติ ทั้งหมด ไม่ได้หยิบออกมา
สุดท้าย ลู่เซี่ย ก็บข้าวของของตัวเองอย่างง่าย ๆ โดยไม่ลืมที่จะใส่ผ้าห่มสองผืนลงไปด้วย
รวมกันแล้วก็เกือบจะใส่ถุงผ้าใบไม่เต็มเลย น้อยจริง ๆ !
อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาเกือบสิบแปดปีแล้ว แต่มีของใช้ส่วนตัวเพียงเท่านี้
ลู่เซี่ยถอนหายใจ คิดแล้วก็ใส่หนังสือสมัยมัธยมปลายลงไปด้วย
หนังสือเหล่านี้เป็นของ ลู่ชุน เจ้าของร่างเดิมไม่มีหนังสือเลย หรือจะพูดได้ว่าที่บ้านปล่อยให้เธอไปโรงเรียนก็ถือว่าดีแล้ว หนังสือก็ใช้ชุดเดียวกับลู่ชุน ตอนนี้ลู่ชุนจบการศึกษาแล้วก็คงจะไม่ได้ใช้มันแล้ว
ลู่เซี่ยเลยเก็บเอาไปด้วย ลู่ชุนเองก็เห็นแต่ไม่ได้พูดอะไร
คืนสุดท้ายในบ้านของตระกูลลู่ก็ผ่านไปแบบนี้แหละ
วันรุ่งขึ้น คนในบ้านก็ไปทำงาน ไปโรงเรียนตามปกติ ลู่ชุนก็ออกไปแต่เช้า เหมือนลืมไปว่ายังมีคนในบ้านที่ต้องลงไปชนบท แม้แต่คำเตือนเตือนสักคำก็ไม่มี ไม่ต้องพูดถึงการไปส่งเธอเลย
ลู่เซี่ยหัวเราะอย่างเย็นชา โชคดีที่เธอเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากพวกเขา
รถไฟออกตอนบ่าย ตอนนี้ยังมีเวลา
ตอนนี้ทั้งบ้านเหลือแค่ลู่เซี่ยอยู่คนเดียว ดังนั้นเธอจึงหยิบถุงผ้าใบอีกใบออกมา แล้วเอาของขากช่องว่างมิติที่มีน้ำหนักไม่มากนักมาใส่ให้เต็ม
เดิมทีลู่เซี่ยตั้งใจจะรอให้ถึงที่หมายแล้วค่อยหยิบออกมาได้ แต่เธอไม่รู้ว่าที่ชนบทจะเป็นยังไง หากตอนนั้นไม่สะดวกจะหยิบออกมาล่ะ จะต้องลำบากหาเหตุผลอีก
ดังนั้นลู่เซี่ยจึงตั้งใจจะเอาของไปให้เยอะหน่อยตั้งแต่ตอนแรก เพราะคงไม่มีใครรู้หรอกว่าในถุงผ้าใบมีอะไรบ้าง หากตอนนั้นจะหยิบออกมาก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกเกินไปนัก
แต่ระหว่างการเดินทางคงจะเหนื่อยหน่อย
โชคดีที่ช่วงนี้ลู่เซี่ยดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์มาตลอด พละกำลังเพิ่มขึ้นไม่น้อย แม้แต่ผิวก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหลืองเหมือนเดิมแล้ว ผมก็ดูมีน้ำหนักขึ้นมาก
โชคดีที่ลู่เซี่ยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย จึงไม่ได้เป็นที่สังเกตของคนในครอบครัวที่พบเจอกันอยู่ทุกวัน
เมื่อจัดของเสร็จ ลู่เซี่ยก็เปลี่ยนมาใส่ชุดใหม่ที่ซื้อมาก่อนหน้านี้
เดิมทีคิดว่าจะใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ หน่อย ทำท่าจน ๆ เอาไว้ ตอนนั่งรถก็จะได้สงบสุขหน่อย
แต่ลู่เซี่ยก็คิดอีกว่า เธอเอาของดี ๆ มาเยอะ เมื่ออยู่ในชนบทก็คงต้องอยู่ร่วมกับเยาวชนอาสาสมัครคนอื่น ๆ อยู่ดี อย่างไรก็ต้องเห็นกันบ้างแหละ
หากทำตัวจนเกินไป คนอื่น ๆ ก็อาจจะสงสัยที่มาของข้าวของพวกนั้น สู้ทำตัวสบาย ๆ ตั้งแต่แรก อย่างไรก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเป็นยังไง
อีกอย่าง ถึงลู่เซี่ยจะใส่เสื้อผ้าใหม่ แต่ก็เป็นแบบธรรมดาที่คนทั่วไปใส่กัน ไม่ได้โดดเด่นอะไร
จากนั้นก็ใส่นาฬิกาข้อมือ ก่อนหยิบซาลาเปาออกมาจากช่องว่างมิติเพื่อกินเป็นอาหารกลางวันอีกสองสามชิ้น แล้วก็หยิบมาพักไว้ให้เย็นอีกสองชิ้น เมื่อเย็นแล้วก็เก็บใส่ช่องว่างมิติ เผื่อกินบนรถ
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ลู่เซี่ยก็ถือกระเป๋าผ้าใบใบใหญ่ไว้ทั้งสองมือ ออกจากบ้านที่เจ้าของร่างเดิมอาศัยอยู่มานานกว่าสิบปี
เวลานี้เป็นตอนบ่าย แดดค่อนข้างแรง และอากาศค่อนข้างร้อน ลู่เซี่ยเลยไม่ค่อยเจอใครระหว่างทางที่เดินออกจากบ้านพัก
ออกจากบ้านก็ขึ้นรถเมล์ทันที
เมื่อเดินทางมาถึงสถานีรถไฟ ก็เห็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานจัดหางานให้คนหนุ่มสาวชูธงพร้อมตะโกนอยู่ไกล ๆ
“เหล่าปัญญาชนที่ถูกส่งลงชนบท มารับตั๋วรถไฟได้แล้ว!”
ลู่เซี่ยรีบมุ่งหน้าไปที่นั่น พร้อมส่งใบแจ้งการลงพื้นที่ของเธอเองให้เจ้าหน้าที่ แล้วรับตั๋วรถไฟของตัวเองมา
ที่นี่น่าจะเป็นสถานีต้นทาง ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่ารถไฟจะออกจากชานชาลา
บนชานชาลาในเวลานี้มีแต่ผู้คนที่มาส่งผู้โดยสารด้วยความอาลัย แต่ลู่เซี่ยกลับเป็นคนเดียวที่ถือกระเป๋าใบใหญ่ใบเล็กมาคนเดียว ดูแล้วน่าแปลกประหลาดมาก
แต่ลู่เซี่ยก็ไม่ได้ใส่ใจ เมื่อหาตู้โดยสารเจอก็ขึ้นรถไปทันที
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว