80. จำเลยแค้นสามีเถื่อน

2

  วาจาของซูฉางเฟยทำให้พวกของลู่จือฉิงเผยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ลู่จือฉิงเผยสีหน้ายินดี มอง ซูฉางเฟยต่างไปจากเดิม นางคิดไม่ถึงว่าตาแก่หัวหงอกผู้นี้จะคิดวิธีการเช่นนี้ออกมาได้ แต่เย่เหลียนหรงกลับคิดต่างจากลู่จือฉิงโดยสิ้นเชิง


  เย่เหลียนหรงเม้มริมฝีปาก ยิ้มให้ซูฉางเฟยเล็กน้อยพร้อมเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าจะลองพิจารณาดูให้ดี วันนี้รบกวนท่านแล้ว นี่คือน้ำใจเล็กน้อย ขอท่านหมอหลวงโปรดรับไว้ ภายหน้าหากมีเรื่องอันใดอีก ข้าจะให้พี่ชายไปเชิญท่านมา”


  “ฮูหยินเกรงใจแล้วจริง ๆ” แม้ว่าซูฉางเฟยกล่าวคำพูดตามมารยาท ทว่ากลับมิได้หยุดกิริยารับเงินแม้แต่น้อย


  เย่เหลียนหรงให้เย่เฉิงหนานเดินส่งซูฉางเฟย เมื่อเขากลับมาจึงถามเขาด้วยสีหน้ากังวล “พี่ใหญ่ หมอหลวงซูผู้นี้มีที่มาที่ไปอย่างไร?”


  เขาช่วยนางคิดหาวิธีกำจัดลู่จือเหยา เดิมทีเป็นเรื่องดี แต่คำพูดของเขากลับทำให้เย่เหลียนหรงสันหลังเย็นวาบและรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง หากสังหารคนข้างกายลู่จือเหยาจนหมดสิ้น เช่นนั้นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจรับรองได้ว่าลู่หย่วนเจิงจะแจ้งทางการเพื่อตามคนมาสืบหรือไม่ ถึงตอนนั้นหากสาวมาถึงตน ชีวิตคนสำคัญยิ่งนัก ย่อมมิใช่เรื่องเล็กน้อยแน่นอน


  “เขาไม่ถูกกับองค์ชายแปดเล็กน้อย” เย่เฉิงหนานหัวเราะเบา ๆ ค่อย ๆ เล่าปูมหลังของซูฉางเฟย


  เย่เฉิงหนานรู้จักซูฉางเฟยเพราะคนที่ชื่อว่าฉางเชียนลั่วภายในกรมคลัง ฉางเชียนลั่วได้รับการสนับสนุนจากเย่จื้อหัว และเป็นคนของฝ่ายรัชทายาท ส่วนฉางเสี่ยวฝานซึ่งเป็นบุตรีของเขาก็เป็นพระสนมอยู่ในวังหลวง และเผอิญว่าซูฉางเฟยผู้นี้เป็นหมอหลวงซึ่งฮ่องเต้มอบให้ดูแลฉางเสี่ยวฝาน


  “มีครั้งหนึ่งท่านพ่อปวดศีรษะ ได้ซูฉางเฟยผู้นี้รักษาจนหายดี ตาแก่ผู้นี้มิได้มีนิสัยเสียอื่นใด แค่ละโมบในทรัพย์สินเงินทองอยู่บ้างเท่านั้น”


  “ข้าดูออก” เย่เหลียนหรงหวนนึกถึงท่าทางยามรับเงินของซูฉางเฟย อดเอ่ยถามด้วยความดูแคลนขึ้นมาไม่ได้ “เช่นนั้นเขากับองค์ชายแปดมีเรื่องอะไรกันหรือ?”


  “ข้าได้ยินว่ายามนั้นองค์ชายแปดตัดสินใจที่จะย้ายออกจากวัง ซูฉางเฟยผู้นี้เสนอตัวว่าจะเป็นหมอหลวงขององค์ชายแปด แต่องค์ชายแปดกลับเลือกพ่อหนุ่มเจี่ยนอวี้หางคนนั้นแทน แม้ซูฉางเฟยผู้นี้โลภโมโทสัน แต่ก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง เมื่อพ่ายแพ้ต่อเจี่ยนอวี้หางจึงไม่ยินยอมเป็นธรรมดา ดังนั้นจึงไปหาองค์ชายแปด น่าเสียดายที่องค์ชายแปดพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้เขากลับมา นับจากนั้นได้ยินว่าขอเพียงมีคนเอ่ยถึงองค์ชายแปดต่อหน้าเขาก็จะเปลี่ยนสีหน้าทันที”


  “ตาแก่คนนี้ช่างขวัญกล้านักนะ เขาไม่กลัวว่าองค์ชายแปดจะฆ่าเขาอย่างนั้นหรือ?” ลู่จือฉิงตั้งใจฟังอยู่ด้านข้าง ปราศจากท่าทีกระฟัดกระเฟียดและต้องการสังหารลู่จือเหยาให้ตายในดาบเดียวเช่นเมื่อสักครู่นานแล้ว


  “เจ้าลองคิดดู ช่วงหลายปีที่ผ่านมาองค์ชายแปดเคยตั้งตนเป็นศัตรูกับผู้ใดบ้าง? เขาสุขภาพไม่ดี และมิได้ออกสู่โลกภายนอกบ่อยครั้งนัก ดังนั้นเรื่องบางอย่างเขาจึงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เช่นกัน”


  ถ้อยคำของเย่เฉิงหนานเป็นความจริง รัชทายาทและองค์ชายแปดแบ่งเป็นสองฝ่าย ที่ผ่านมาเห็นเพียงผู้สนับสนุนพวกเขาที่ต่อสู้กันเองมาตลอด ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ องค์ชายแปดผู้นี้มิเคยออกมาพูดแม้แต่น้อย แสดงท่าทีว่าตนเป็นเพียงคนนอกผู้หนึ่งมากกว่า


  “หากเขารังแกได้โดยง่ายถึงเพียงนั้น พวกท่านกลัวเขาทำไมเจ้าคะ?” ลู่จือฉิงขมวดคิ้วด้วยความสนเท่ห์ “รัชทายาททรงกลัวว่าองค์ชายแปดจะชิงราชบัลลังก์ไปมิใช่หรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยไม่สังหารองค์ชายแปดให้สิ้นเรื่องไปเลยล่ะเจ้าคะ?”


  “เจ้านึกว่าหากเรื่องราวง่ายดายถึงเพียงนั้นรัชทายาทจะไม่ลงมือแล้วหรือ?” เย่เฉิงหนานเผยรอยยิ้มแฝงความนัยลึกซึ้ง เขาทอดสายตามองหลานสาวผู้ไร้เดียงสาของตนผู้นี้พร้อมกล่าวกดเสียงต่ำ “องค์ชายแปดไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกับผู้ใดก่อน แต่หากคิดทำร้ายเขาย่อมยากเย็นเช่นกัน เหล่าคนที่อยู่ข้างกายเขามิใช่ของประดับตกแต่ง มิต้องเอ่ยถึงผู้อื่น แค่หลานรั่วหลินผู้นั้นเพียงคนเดียวก็ทำให้หลายคนต้องกริ่งเกรงแล้ว”


  “พูดไปพูดมา ก็แค่หาวิธีจัดการลู่จือเหยาไม่ได้มิใช่หรือ!” เย่เหลียนหรงอึดอัดคับข้องใจ นางมีชีวิตอยู่มาหลายสิบปี สุดท้ายกลับปล่อยให้เด็กคนหนึ่งเหยียบย่ำ แล้วนางจะทนกล้ำกลืนโทสะนี้ได้อย่างไร


  “น้องพี่ มิเช่นนั้นพวกเราลองคิดหาวิธี ทำให้ลู่จือเหยา...”


  เย่เฉิงหนานแสดงท่าสังหารโดยไร้เสียง ทำให้เย่เหลียนหรงและลู่จือฉิงใจสั่นสะท้านเล็กน้อย


  “ข้าจะไปหามือสังหารมา อย่างมากก็แค่เพิ่มเงินสักหน่อย หากนางตาย เรื่องทุกอย่างก็จะจบสิ้น ต่อให้อัครมหาเสนาบดีตามคนมาสืบ แต่มือสังหารจากยุทธภพพวกนั้นจะตามจับได้โดยง่ายที่ใดกันเล่า?”


  ครั้นเย่เหลียนหรงฟังข้อเสนอของเย่เฉิงหนานก็ขบคิดอยู่ครู่ จากนั้นจึงผงกศีรษะพร้อมเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ได้ พี่ใหญ่ เรื่องนี้ข้าต้องพึ่งท่านแล้ว เรื่องเงินมิใช่ปัญหา ขอเพียงกำจัดลู่จือเหยาได้เท่านั้น! มิเช่นนั้นข้าจะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างติดอยู่ในใจ ทำให้ไม่สบายใจ!”


  ยามนี้ลู่จือเหยาไม่เพียงช่วงชิงความมีหน้ามีตาไปจากลู่จือฉิง สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือนางรู้ว่าตนเป็นผู้สังหารมารดาของนาง เย่เหลียนหรงจำต้องคำนึงถึงอนาคตของตน


  “ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ข้าว่าท่านอัครมหาเสนาบดีคงใกล้กลับมาแล้วเช่นกัน วันหน้าหากมีธุระ ข้าจะมาหาพวกเจ้าอีกครา!” เย่เฉิงหนานรีบรุดมาขณะที่ลู่หย่วนเจิงออกจากจวนไปแล้ว เขาไม่ต้องการเผชิญหน้า ลู่หย่วนเจิง ดังนั้นจึงทำได้เพียงเช่นนี้


  “ท่านลุงเดินดี ๆ นะเจ้าคะ!” ลู่จือฉิงกล่าวเสียงหวานกับเย่เฉิงหนาน ครั้นเย่เฉิงหนานเดินจากไปแล้วก็รีบนำเทียบยาของซูฉางเฟยมอบให้เย่ว์ฉานเพื่อให้นางไปซื้อยา


  ลู่จือฉิงค้นหาชุดที่ใช้ก่อนหน้านี้ออกมาทั้งหมด นำไปที่ลานเรือนและสั่งให้สาวใช้เผาพวกมันเสีย เมื่อนึกเรื่องที่ลู่จือเหยาลอบกัดตนก็แค้นใจจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน


  “พอข้ารักษาจนหายดีแล้ว คอยดูไปเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้าเช่นไร!” ลู่จือฉิงกัดฟันกรอด กำหมัดแน่นพลางกล่าวพึมพำกับตนเอง ทำให้เย่เหลียนหรงซึ่งอยู่อีกทางด้านหนึ่งไหล่ตกอย่างหมดแรงและเดินออกจากห้องไป


  หากบุตรีของตนเจ้าคิดเจ้าแผนการเช่นลู่จือเหยาได้เมื่อใด นางคงไม่ต้องเป็นเช่นนี้แล้ว เพียงแต่จะว่าไป ไฉนกาลก่อนพวกนางไม่เคยรู้เลยว่าลู่จือเหยาเป็นคนเช่นนี้ นางเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เมื่อใด...


  นับตั้งแต่ลู่จือเหยาเข้าวัง ไม่มีวันใดเลยที่นางไม่อกสั่นขวัญแขวน ทว่าผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว กลับไร้ข่าวคราวจากวังหลวง สิ่งนี้ทำให้ลู่จือเหยาเริ่มหลอกตนเองว่าฮ่องเต้คงลืมเรื่องนี้ไปแล้วกระมัง


  เมื่อวางเรื่องของนางกับองค์ชายแปดไป ลู่จือเหยาพบว่าช่วงนี้มีเหตุการณ์บางอย่างภายในจวนที่สมควรให้ความสนใจ บัดนี้บ่าวไพร่ข้างกายนางมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ และได้ยินชื่อของลู่จือฉิงกับเย่เหลียนหรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ยามปกติที่บ่าวไพร่เหล่านี้อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ สิ่งที่ชมชอบมากที่สุดก็คือจับกลุ่มกันนินทา ต่างฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนเรื่องซุบซิบล่าสุดซึ่งกันและกัน ส่วนลู่จือเหยาเองก็ยินดียิ่งนัก ซ่อนตัวอยู่บริเวณหัวมุมเพื่อแอบฟังพวกนางกระซิบกระซาบกัน


  สาเหตุที่ลู่จือเหยารู้ว่าอาการของลู่จือฉิงดีขึ้นพอสมควรแล้ว ประการแรกเป็นเพราะล่วงรู้จากปากข่าวบรรดาบ่าวไพร่ทั้งหลาย ส่วนประการที่สองนั้นนั้นเป็นเพราะนางพบหน้าลู่จือฉิงภายในจวนโดยบังเอิญนั่นเอง


  ลู่จือเหยามองดูลู่จือฉิงซึ่งสวมชุดผ้าโปร่งสีเขียวมรกตสะดุดตา กำลังเดินเยื้องย่างพลิ้วไหวเข้าหาตน ส่วนนางก็ค่อย ๆ ชะลอฝีเท้าและเริ่มมองสำรวจใบหน้าซึ่งปราศจากอาการบวมแดงแล้วของลู่จือฉิง

  ลู่จือฉิงหยุดตรงหน้าลู่จือเหยาและมองนางด้วยสายตาเคียดแค้น ครั้นลู่จือเหยาเห็นสายตาอาฆาตมาดร้ายของลู่จือฉิงจึงเอ่ยถามระคนยิ้ม “ชุดของน้องหญิงช่างงามเสียจริง ตัดขึ้นมาใหม่หรือ?”


  “ทำไม เจ้าอยากได้ด้วยหรือ?” ลู่จือฉิงยิ้มหยันเย็นชา กล่าวต่อไปว่า “ชุดตัวนี้ราคาแพงมากเลยนะ เจ้าอย่าคิดเลยดีกว่า ชุดก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่ามีหนอนแมลงจากที่ใดมากัดแทะ ข้าโยนทิ้งไปหมดแล้ว พอเปลี่ยนสวมชุดใหม่ อาการข้าก็ดีขึ้นเช่นกัน เจ้าว่าเรื่องนี้แปลกหรือไม่?”


  “น้องหญิงหายดีแล้วย่อมเป็นเรื่องดี น้องหญิงมีใบหน้าสะสวยถึงเพียงนี้ ต่อให้สวมเพิ่มอีกหลายชิ้นก็ไม่มากเกินไป” ลู่จือเหยาพูดเอาใจลู่จือฉิง ขณะเดียวกันก็สังเกตสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังของเย่ว์ฉานทางด้านหลัง “ข้างนอกลมแรง น้องหญิงเดินเล่นเสร็จแล้วก็กลับไปเสียเถิด จะได้ไม่เผลอทำให้หน้าบวมขึ้นมาอีก”


  “เจ้าวางใจได้ ไม่มีทาง” ลู่จือฉิงกล่าวกับลู่จือเหยาด้วยสีหน้ามั่นใจ “ข้าให้หมอหลวงจากวังหลวงตรวจดูอาการแล้ว หมอหลวงบอกว่าหากข้ากินยาของเขาก็จะหายดี”


  “หมอหลวงจากวังหลวงเก่งกาจมากจริงด้วย หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก น้องหญิงควรบอกให้แม่รองตามหมอหลวงมา มิเช่นนั้นคงไม่ต้องทรมานตั้งมากมายถึงเพียงนั้น เจ้าว่าใช่หรือไม่?”


  ใบหน้าลู่จือเหยาประดับรอยยิ้มที่ลู่จือฉิงเห็นแล้วสะอิดสะเอียนตั้งแต่ต้นจนจบ นางกลอกตามองสาวใช้สองคนทางด้านหลังพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หวั่นเย่ว์ อวี่เตี๋ย พวกเราควรกลับไปได้แล้วล่ะ”


  ลู่จือฉิงมองลู่จือเหยาเดินจากไปไกล นางขยี้เท้าด้วยความคับแค้น พูดกดเสียงต่ำขึ้นมาว่า “ข้าอยากดูสิว่าเจ้าจะได้ใจไปจนถึงเมื่อใด!”


หลังจากกลุ่มของลู่จือเหยาเดินจากไปไกลแล้ว อวี่เตี๋ยจึงหันหน้ากลับไปมองทางลู่จือฉิงด้วยความระแวดระวัง และกล่าวกับลู่จือเหยา “คุณหนู นางรู้แล้วหรือไม่เจ้าคะ?”


  “แน่นอน” ลู่จือเหยาผงกศีรษะ “ดูจากสีหน้าของนาง คงอยากฉีกทึ้งข้าจะแย่แล้วล่ะ”


  “เรื่องอะไร เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?” หวั่นเย่ว์ยังไม่รู้ความจริงจึงฟังบทสนาของคนทั้งสองไม่เข้าใจ นางเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น “พวกท่านมีความลับอะไรที่ไม่ได้บอกข้าใช่หรือไม่?”


  “กลับไปแล้วค่อยบอกเจ้า” ลู่จือเหยาปลอบใจหวั่นเย่ว์ จากนั้นจึงกล่าวกับพวกนางสองคนว่า “เรื่องนี้พวกนางไม่มีวันยอมเลิกราโดยดีแน่ หลายวันนี้พวกเจ้าสองคนจงระวังตัวสักหน่อย ทำสิ่งใดต้องรอบคอบ อย่าให้พวกนางจับจุดอ่อนอันใดได้เด็ดขาด”


  “กลัวอะไรเจ้าคะ คุณหนูมีองค์ชายแปดเป็นที่พึ่งมิใช่หรือ?” หวั่นเย่ว์หัวเราะฮิฮะ เอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ ลู่จือเหยาปวดเศียรเวียนเกล้า


  “แม้จะหยิบยกชื่อขององค์ชายแปดมาใช้งานได้ดีก็ตาม แต่ไม่รู้ว่าเขายินยอมให้ข้าใช้หรือไม่นี่สิ กลัวว่าถึงเวลาองค์ชายแปดผู้นี้จะแว้งกัดข้าแทน เช่นนั้นข้าคงตายตาไม่หลับแล้วล่ะ” ลู่จือเหยาถอนหายใจแผ่วเบา ผินหน้ามองอวี่เตี๋ยที่อยู่ด้านข้าง ยิ่งคลุกคลีกับอวี่เตี๋ยนานเท่าใด ลู่จือเหยาก็ยิ่งพบว่าสาวใช้ผู้นี้ฉลาดหัวไวไม่ธรรมดา นางคาดเดาความคิดตนได้หลายอย่าง อีกทั้งยังทำงานตามที่นางสั่งได้ดีมาก “อวี่เตี๋ย ตอนเจ้ากลับไปช่วยสังเกตสาวใช้ภายในเรือนของพวกเราให้มากสักหน่อย ข้ากลัวว่าเย่เหลียนหรงจะใช้พวกนางเพื่อวางยาพวกเรา”


  “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” อวี่เตี๋ยเม้มปากผงกศีรษะ “ข้ากับหวั่นเย่ว์เป็นผู้ทำความสะอาดห้องของคุณหนู นอกจากนี้จะไปรับอาหารจากห้องครัวด้วยตนเองเป็นคนแรก คุณหนูวางใจเถอะเจ้าค่ะ”


“มีพวกเจ้าสองคนอยู่ช่างดีจริง ๆ” ลู่จือเหยากล่าวทอดถอนใจ ทำให้อวี่เตี๋ยและหวั่นเย่ว์ต่างหัวเราะออกมาด้วยความกระดากอายเล็กน้อย


  ครั้นกลับมาถึงที่พัก ลู่จือเหยามองตัวเรือนซึ่งตนเริ่มคุ้นชินขึ้นก็รู้สึกโศกสลดเล็กน้อย สถานที่แห่งนี้คือบ้านของนาง แต่หากชะล่าใจ อาจเป็นสถานที่ที่นางต้องจบชีวิตด้วยเช่นกัน ไม่รู้ว่าคราวนี้เย่เหลียนหรงกับลู่จือฉิงจะคิดหาวิธีการใดมาเล่นงานนางอีก...

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว