เนื่องจากเกิดเรื่องไม่คาดฝันต่อเนื่องหลายครั้งหลายครา ลู่จือฉิงกับเย่เหลียนหรงต่างเริ่มฉลาด รู้จักสงบสงี่ยมมากขึ้น กระทั่งว่าไม่ไปหาเรื่องลู่จือเหยาอีก ส่วนลู่จือเหยาถือว่าโชคดีในคราเคราะห์เช่นกัน ไม่เพียงหาโอกาสสั่งสอนพวกนางจนได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่หลายวัน อีกทั้งยังได้ตัวอวี่เตี๋ยกับหวั่นเย่ว์มาอยู่ข้างกายสมความตั้งใจอีกด้วย
เมื่อลู่หย่วนเจิงเห็นว่าวันคัดเลือกพระชายางวดเข้ามาทุกที ส่วนองค์ชายเจ็ดก็มาหาเขาเพื่อย้ำเตือนว่าอย่าลืมสิ่งที่เคยคุยกันไว้อีกครา เขาจึงทำได้เพียงเรียกตัวลู่จือเหยามาด้วยความจนใจ
ลู่หย่วนเจิงถอนหายใจอย่างแรง เมื่อเห็นใบหน้าซูบเซียวเหลืองอมโรคเพราะขาดสารอาหารมานานหลายปีของลู่จือเหยา
“ท่านพ่อ มีอะไรหรือเจ้าคะ?” ลู่จือเหยามองลู่หย่วนเจิงซึ่งใบหน้าเปี่ยมด้วยความกลัดกลุ้ม นางกลอกตาพลางเดินไปทางด้านหลังลู่หย่วนเจิงอย่างแช่มช้า สองมือประทับลงบนบ่าและเริ่มบีบนวดเบา ๆ ถามเลียบเคียงขึ้นมาว่า “พวกรัชทายาทมาสร้างความลำบากใจให้ท่านอีกแล้วใช่หรือไม่?”
“เฮ้อ” ลู่หย่วนเจิงผงกศีรษะ เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมาว่า “เจ้าไปเตรียมตัวเสีย อีกสองวันจะเข้าวัง”
“ท่านพ่อ ท่านคิดดีแล้วหรือเจ้าคะ?” ลู่จือเหยานิ่งอึ้ง นางไม่ได้ยินดียินร้ายต่อการเข้าวัง ถึงแม้คาดเดาได้อยู่แล้วว่าจะมีผู้กล่าวเหน็บแนม มีถ้อยคำซุบซิบนินทาแว่วเข้าหูนางมากเพียงใด ทว่านางก็ไม่แยแส แต่สิ่งที่นางสนใจก็คือรัชทายาทผู้นั้นกัดนางไม่ยอมปล่อย วัตถุประสงค์ที่แท้จริงที่ต้องการให้นางเข้าวังนั้นคือสิ่งใดกันแน่
“เรื่องนี้อยู่นอกเหนือการตัดสินใจของข้า หากปฏิเสธรัชทายาทครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้เขาไม่พอใจ เกรงว่าข้าคงลำบากเช่นกัน”
ดังนั้นจึงผลักไสข้าออกไปเป็นโล่กำบังสินะ
ลู่จือเหยายืนเผยรอยยิ้มน้อย ๆ พร้อมบ่นพึมพำอยู่ในใจทางด้านหลังลู่หย่วนเจิง ครั้นลู่หย่วนเจิงกล่าวว่าจะส่งสาวใช้สองคนมาปรนนิบัตินาง ลู่จือเหยาก็นึกถึงหวั่นเย่ว์กับอวี่เตี๋ยขึ้นมาทันที
“ท่านพ่อ ข้าระบุชื่อทั้งสองคนได้หรือไม่เจ้าคะ?” ลู่จือเหยาเดินกลับมาเบื้องหน้าลู่หย่วนเจิง กล่าวอย่างแช่มช้าภายใต้การจ้องมองของเขา “เป็นอวี่เตี๋ยกับหวั่นเย่ว์ ลูกสาวทั้งสองคนของน้าฉาง พวกนางคอยช่วยงานน้าฉางอยู่ในห้องครัวมาตลอด ก่อนหน้านี้เคยส่งข้าวปลาอาหารให้ข้า ข้าเคยพบหน้าพวกนางอยู่สองสามครั้ง หากเทียบกับผู้อื่นแล้วถือว่าค่อนข้างคุ้นเคย ข้าจึงคิดว่า...”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะให้พวกนางสองคนมาที่นี่” ลู่หย่วนเจิงผงกศีรษะพร้อมลุกขึ้นโดยไม่รอให้ลู่จือเหยาพูดจบ กล่าวชี้แนะลู่จือเหยาจากใจจริง “จือเหยา เข้าวังครั้งนี้เจ้าต้องละเอียดรอบคอบและระมัดระวังเข้าใจหรือไม่?”
“ท่านพ่อโปรดวางใจ ลูกจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเจ้าค่ะ”
ลู่หย่วนเจิงจากไปไม่เกินครึ่งชั่วยาม ลู่จือเหยาก็ได้พบอวี่เตี๋ยกับหวั่นเย่ว์
“นายท่านบอกว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปให้พวกเราสองคนติดตามปรนนิบัติรับใช้ท่าน จริงหรือไม่เจ้าคะ?” ทันทีที่หวั่นเย่ว์เห็นลู่จือเหยาก็อดเอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“มาก็มาแล้ว ยังจะไม่จริงได้อีกหรือ?” ลู่จือเหยานั่งยิ้มบางพลางผงกศีรษะอยู่หน้าโต๊ะ พร้อมเอ่ยถามพวกนางว่า “ท่านพ่อยังบอกอะไรกับพวกเจ้าอีก?”
“นายท่านสั่งให้พวกเราปรนนิบัติท่านให้ดี หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจะไม่ละเว้นพวกเราเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
เปลือกนอกอวี่เตี๋ยตอบคำถามลู่จือเหยาด้วยความสุขุมเยือกเย็น ถึงกระนั้นอวี่เตี๋ยมักเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นอย่างน่าประหลาดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงหลายวันที่ผ่านมา สภาวะซึ่งกินเวลามานานหลายปี แค่ไม่กี่วันก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มากมายเช่นนี้ หาสาวใช้ให้คุณใหญ่อย่างนั้นหรือ หากเป็นก่อนหน้านี้ย่อมไม่มีวันเกิดขึ้นเป็นอันขาด ทว่าบัดนี้...
“เช่นนั้นก็ดี” ลู่จือเหยาอารมณ์ดียิ่งนัก นางเดินไปที่ลานเรือน ชี้ห้องทั้งสองที่อยู่ไกล ๆ พร้อมหันกลับมากล่าวกับพวกนาง “จงเก็บกวาดห้องเสีย ต่อไปจงพักอยู่ที่นี่เถิด ถึงแม้ซอมซ่อ แต่ก็พอใช้อยู่อาศัยได้ อีกไม่นานข้าค่อยพาพวกเจ้าย้ายไปอยู่สถานที่ที่ดีกว่านี้”
ทุกถ้อยคำของลู่จือเหยาเผยให้เห็นความมั่นใจของนางอย่างชัดเจน ครู่ต่อมาลู่หย่วนเจิงสั่งให้คนนำของใช้ในชีวิตประจำวันสารพัดอย่าง รวมถึงผ้าชั้นดีจำนวนหลายพับมามอบให้ คล้ายกำลังบอกทุกคนภายในจวนว่าลู่จือเหยาไม่มีวันกลับไปใช้ชีวิตเช่นในอดีตอีกแล้ว
ในสายตาลู่จือเหยา ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล ทว่าในสายตาของผู้ที่ยามปกติเห็นนางแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาเหล่านั้นกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สองสามวันที่ผ่านมาลู่จือฉิงล้มป่วย อีกทั้งได้รับผลกระทบจากเรื่องของเย่เหลียนหรง ยามเช้าจึงถูก ลู่หย่วนเจิงตำหนิสั่งสอนไปรอบหนึ่ง เมื่อนางได้ยินเย่เหลียนหรงบอกว่าลู่จือเหยาจะเข้าวังเพื่อคัดเลือกพระชายารัชทายาทแทนนาง มิหนำซ้ำลู่หย่วนเจิงยังมอบสาวใช้เพื่อไปปรนนิบัติรับใช้นาง เพลิงโทสะที่ลู่จือฉิงสะกดกลั้นมาหลายวันพลันพุ่งพรวดขึ้นมาทันที
นางปาถ้วยชาที่อยู่ในมือลงบนพื้นอย่างแรง จากนั้นจึงลุกพรวดพลางตบโต๊ะ เปล่งเสียงด่าทอด้วยความดูแคลน “นางเข้าวัง? นางมีสิทธิ์อะไรเข้าวังเจ้าคะ? ไม่สาดปัสสาวะส่องดูหน้าตัวเองบ้างว่ามีสันดานเช่นไร! คิดแทนที่ข้าอย่างนั้นหรือ? ชาติหน้าก็อย่าหวัง!”
“พอเถอะน่า จะโวยวายอะไรกัน หากท่านพ่อเจ้ารู้เข้าก็จะดุเจ้าอีก” ลู่จือฉิงอาละวาดเช่นนี้ เย่เหลียนหรงมิได้อารมณ์ดีไปกว่ากันเช่นกัน นางหงุดหงิดเพราะเงินหายไปหลายพันตำลึง กอปรกับถูก ลู่หย่วนเจิงตบ ลู่จือเหยาพลิกชะตาชีวิต นางใคร่ร้องแรกแหกกระเชออาละวาดครั้งใหญ่ยิ่งกว่าผู้ใดทั้งสิ้น
“ดุก็ดุสิเจ้าคะ! ต่อให้ถูกดุ ข้าก็ต้องระบายความแค้นนี้อยู่ดี ท่านแม่ ท่านดูสิ ตอนนี้ลู่จือเหยาได้ใจถึงเพียงนั้น เหมือนนางได้เป็นพระชายารัชทายาทแล้วอย่างไรอย่างนั้นเลย” ลู่จือฉิงยิ่งพูดก็ยิ่งมีน้ำโห สุดท้ายจึงให้เย่ว์ฉานไปสืบดูว่าลู่หย่วนเจิงอยู่ที่จวนหรือไม่ เมื่อเย่ว์ฉานกลับมาและแจ้งว่าเขาออกไปนานแล้ว ลู่จือฉิงไม่พูดพล่ามทำเพลง มุ่งไปยังเรือนของลู่จือเหยาทันที
ขณะที่ลู่จือฉิงมาถึงนั้น ลู่จือเหยากำลังนั่งสนทนากับพวกหวั่นเย่ว์และอวี่เตี๋ยสองคนภายในลานเรือน ครั้นเห็นลู่จือฉิงซึ่งมาด้วยอาการกระฟัดกระเฟียดแต่ไกลก็นิ่งอึ้ง นางมองหวั่นเย่ว์พร้อมกำชับเสียงต่ำ “รีบไปตามท่านพ่อมา ไม่ต้องสนใจวิธีการ จะต้องพาเขามาให้จงได้ เข้าใจหรือไม่?!”
หวั่นเย่ว์มองตามสายตาลู่จือเหยาพร้อมผงกศีรษะอย่างรู้ทัน ครั้นลุกขึ้นก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ต่อให้ลู่จือฉิงใคร่ขัดขวางก็มิอาจทำได้
ลู่จือฉิงเดินสวนกับหวั่นเย่ว์ เดินสาวเท้าตรงไปยังลู่จือเหยา เตะประตูห้องและกวาดตามองข้าวของที่เพิ่มขึ้นข้างใน ภายใต้การจับตามองของลู่จือเหยา จากนั้นจึงเริ่มเอ่ยประชดประชัน “ข้านึกว่าจะเป็นของดีสักแค่ไหนกันเชียว ที่แท้ก็แค่นำของที่พวกขี้ข้าไม่ต้องการแล้วมาให้เจ้าเท่านั้นเอง เย่ว์ฉาน เจ้าลองดูสิ ภายในห้องนี้มีของที่เจ้าไม่ชอบหรือโยนทิ้งมากเท่าใด?”
เย่ว์ฉานได้ยินถ้อยคำของลู่จือฉิงก็เม้มริมฝีปากหัวเราะ ตอบนางกลับไปว่า “เรียนคุณหนู เยอะแยะเลยเจ้าค่ะ สิ่งที่คุณหนูตกรางวัลให้บ่าวตอนนี้ยังดีกว่าของพวกนี้ไม่รู้ตั้งกี่เท่า”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเป็นคนของข้า จงอย่าลดสถานะของตนไปเทียบกับหญิงร่านราคะไร้ยางอายบางคน เข้าใจหรือไม่?”
ลู่จือฉิงด่าทอลบหลู่ลู่จือเหยาทุกถ้อยคำ ลู่จือเหยาได้ยินทว่ามิได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอันใด เพียงนั่งเฉยอยู่ตรงนั้นและปล่อยให้กระทำกำเริบเสิบสานต่อไป
“ทำไม รอท่านพ่อข้ากลับมาหนุนหลังเจ้าหรืออย่างไร? อย่าคิดเลย ข้าบอกเจ้าก็ได้ ตอนนี้ท่านพ่อไม่อยู่ในจวน” ลู่จือฉิงเดินเข้าหาลู่จือเหยา มองนางพลางกล่าวด้วยอาการเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “วันนี้ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าได้”
ลู่จือเหยามองใบหน้าลู่จือฉิงซึ่งอยู่ใกล้แค่คืบพลางย่นหัวคิ้ว นางยกมือขึ้นผลักลู่จือฉิงไปทางด้านหลัง จากนั้นจึงตบอกพร้อมเอ่ยว่า “น้องหญิงช่วยอยู่ห่างจากข้าสักหน่อย ข้าเห็นใบหน้านี้แล้ว เกรงว่าตกกลางคืนจะฝันร้าย”
“เจ้า...”
“อาการป่วยยังไม่หายดี ไฉนกล้าออกมาเช่นนี้? หรือน้องหญิงไม่ต้องการใบหน้านี้ของตนแล้ว?” ลู่จือเหยาดูออกว่าวันนี้หากลู่จือฉิงไม่อาละวาดสักหนึ่งคงไม่มีวันยอมรามือแน่ ดังนั้นจึงแสดงท่าทีของตนให้ชัดเจน “เดิมทีข้ายังคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมท่านพ่อ ให้ท่านตามหาท่านหมอดี ๆ มาช่วยดูอาการให้เจ้า เพื่อให้เจ้าได้เข้าวังเพื่อคัดเลือกพระชายารัชทายาทเสียหน่อย ทว่าตอนนี้ดูแล้วคล้ายไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้แล้วล่ะนะ”
“ถุย!” ลู่จือฉิงเห็นใบหน้าลู่จือเหยาแล้วอยากจะถ่มน้ำลาย ถึงกระนั้นลู่จือเหยากลับหลบพ้น “เจ้าเสแสร้งให้น้อย ๆ หน่อยเถอะ ข้าขอบอกไว้เลยนะ ลู่จือเหยา ผู้อื่นไม่รู้ แต่ข้าจะไม่รู้ว่าใจเจ้าคิดสิ่งใดอย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่อยากให้ข้าหายหรอกน่า! เงินพวกนั้นของท่านแม่ข้าอีก เจ้าต้องเป็นคนขโมยไปแน่! คนหน้าไม่อาย ยังมีหน้ามีชีวิตอยู่อีก คอยดูเถอะ วันนี้ข้าจะจัดการเจ้าให้จงได้!”
ลู่จือฉิงพูดจบก็เริ่มม้วนแขนเสื้อ แสดงท่าทีว่าจะลงมือกับลู่จือเหยา
ลู่จือเหยามองลู่จือฉิงกับเย่ว์ฉานซึ่งอยู่ข้างหลังนางด้วยความรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า กำลังครุ่นคิดว่าตนควรลงมือดีหรือไม่ หวั่นเย่ว์วิ่งออกไปได้สักพักหนึ่งแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา นางไปหาลู่หย่วนเจิงหรือไม่นะ ต่อให้นางลงมือกับลู่จือฉิง เรื่องราวก็ไม่อาจจบลงด้วยดี ไม่ง่ายดายเลยกว่านางจะนำอวี่เตี๋ยมาไว้ข้างกายได้ แต่วันแรกก็มีคนมาหาเรื่องถึงที่เสียแล้ว จะดีชั่วนางมิอาจสูญเสียบารมีจนทำให้บ่าวไพร่รู้สึกว่าเจ้านายอย่างนางใช้การไม่ได้เด็ดขาด ถึงกระนั้นหากลงมือทำร้ายลู่จือฉิง ไม่แน่อาจเกิดเหตุวุ่นวายอันใดอีกก็ได้ แต่ถ้าตนโดนทุบตี อีกทั้งเรื่องนี้ปราศจากพยานรู้เห็น หลังเกิดเรื่องต่อให้ตนกล่าวโทษร้องทุกข์กับผู้อื่นก็ไม่มีผู้ใดเชื่อนางเชื่อกัน สุดท้ายนางควรทำเช่นไรแน่
ลู่จือเหยาลอบครุ่นคิด สุดท้ายก็คิดว่าควรประวิงเวลาไปก่อน และฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่หวั่นเย่ว์ ดังนั้นจึงหมุนกายขยับหลบฝ่ามือลู่จือเหยาพร้อมเดินถอยหลังไปทีละก้าว ลู่จือเหยาจ้องดวงตาซึ่งคุโชนด้วยเพลิงโทสะของลู่จือฉิง ริมฝีปากสีชาดขยับเอื้อนเอ่ยเบา ๆ “น้องหญิงมีโทสะมากเช่นนี้จะไม่ดีต่อสุขภาพนะ”
“เจ้าไม่ต้องยุ่ง!”
“น้องหญิง ข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่ง ขอเพียงเจ้าบอกความจริง ข้าจะยอมให้เจ้าทุบตีแต่โดยดี ว่าอย่างไร?” ลู่จือเหยาคว้าจับมือลู่จือฉิง เหวี่ยงร่างมาข้างกายตน แล้วโน้มกายเอ่ยกระซิบข้างใบหูลู่จือฉิงอย่างรวดเร็ว “ข้าเพียงอยากถามเจ้าว่า แม่เจ้าเป็นคนทำร้ายท่านแม่ข้าจนตายใช่หรือไม่?”
ลู่จือเหยากล่าวถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผยอีกครา ครั้นลู่จือฉิงได้ยินแล้วก็ร่างสั่นเทา หวนนึกถึงผู้ที่อยู่นอกหน้าต่างในคืนที่ตนสนทนาเรื่องนี้กับเย่เหลียนหรง ลู่จือฉิงถลึงตาใส่ลู่จือเหยาด้วยสองตาแดงก่ำและไม่ยอมรับ “เจ้าใส่ร้ายป้ายสีให้น้อย ๆ หน่อยเถอะ ระวังท่านแม่จะจัดการเจ้า!”
“หลายปีที่ผ่านมา มีวันใดที่ข้าไม่เคยถูกพวกเจ้าสองแม่ลูกจัดการบ้าง?” รอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้น ณ มุมปากลู่จือเหยา จ้องมองใบหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของลู่จือฉิง พลางกล่าวต่อไปว่า “การตายของท่านแม่และพี่ชายข้า ที่แท้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าหรือไม่ พวกเจ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจดี น้องหญิง วันนี้ข้ายังเรียกเจ้าว่าน้องเพราะเห็นแก่หน้าท่านพ่อ หลังจากผ่านวันนี้ไปแล้ว ลองคิดดูว่าพวกเจ้าสาดโคลนใส่ข้ามากเพียงใด พูดจาให้ร้ายลับหลังข้ามากเพียงใด ความแค้นพวกนี้ เจ้าไม่กลัวว่าสักวันหนึ่งหากข้ากลายเป็นหงส์ฟ้าที่ได้โบยบินขึ้นสู่ยอดไม้จริง จะคืนทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าฝันเฟื่องให้น้อยหน่อยเถอะ! รัชทายาททรงไม่มีวันชายตามองเจ้าแน่!” ลู่จือฉิงแค่นเสียงคราหนึ่ง คิดว่าลู่จือเหยาช่างคิดเพ้อเจ้อยิ่งนัก
“เช่นนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้หรือ?” ลู่จือเหยาเผยรอยยิ้มแฝงความนัยลึกซึ้ง กล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ “เช่นนั้นพวกเราคอยดูไปก็แล้วกัน”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว