“ฉันถามหน่อยนายเชื่อไหมว่าโลกนี้มีผี”
“โลกนี้ไม่มีผี!” ซูหยางกล่าวด้วยเสียงดังสั่นเทา ยืดอกตรง แต่สำหรับหลินอีซินนี่ไม่ได้ฟังเหมือนพูด เหมือนการสะกดจิตตัวเองมากกว่า
หลังจากที่มั่นใจว่าซูหยางกลัวผีแน่ หลินอีซินก็ลุกขึ้นจากโซฟาอย่างสบายๆ เดินไปที่ด้านข้างเขา ทำหน้าตาน่ากลัวกระซิบบอก “ผี... แค่นายมองไม่เห็นเท่านั้นแหละ บางทีตอนนี้อาจมีผีอยู่ที่หน้าต่างห้องนั่งเล่นกำลังห้อยต่องแต่งอยู่ก็ได้!”
มือของเธอยกขึ้นช้าๆ ชี้ไปที่หน้าต่างห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่า
ซูหยางมองไปตามนิ้วมือนั่นไป หลินอีซินเห็นชัดเจนว่ารูม่านตาของเขาขยายออกกว้าง
“ฮ่าๆๆๆ!” เมื่อเห็นเขาแบบนั้น ก็อดหัวเราะไม่ได้ “ไม่คิดว่านายจะกลัวผีนะเนี่ย?”
ซูหยางมองมาที่หญิงสาวอย่างจริงจัง “ใครบอกว่าฉันกลัวผี ฉันบอกว่าโลกนี้ไม่มีผี! ทำไมฉันต้องกลัวสิ่งที่ไม่มีอยู่ด้วย?”
“ใช่ๆ โลกนี้ไม่มีผี ไม่ต้องกังวล...” หลินอีซินตบหลังซูหยางปลอบโยน ถ้าบอกความจริงว่าในบ้านเขามีผีหลายตน คงจะทำให้เขากลัวจนเป็นบ้า ใจหนึ่งเธอกลัวว่าจะถูกไล่ ดังนั้นจึงแกล้งเขาหอมปากหอมคอแล้วกลับไปที่ห้องตัวเอง
หลินอีซินจ้องมองไปที่หน้าต่างห้องนอนเป็นเวลานาน ไม่มีผีในห้องนั่งเล่น แต่มีในห้องนอน
พอแน่ใจว่าประตูล็อกแน่นแล้ว ก็ย้ายเก้าอี้ไปที่หน้าต่าง นั่งลงเพื่อสังเกตผีเมียน้อยอย่างละเอียด
“ถามหน่อยเป็นผีเพื่ออะไร? ยกไหล่ไม่ได้ มือใช้ไม่ได้ แม้แต่แตะต้องก็ไม่ได้ ถ้างั้นจะยังอยู่ในโลกนี้ต่อไปเพื่ออะไร? ทำไมไม่จากไปล่ะ?” คำถามที่สงสัยมาตลอดทั้งหมดถูกส่งไปที่ผีเมียน้อย
ดวงตาผีเมียน้อยเดิมที่ไม่แยแส จู่ๆ ก็จ้องมาเขม็ง ราวกับว่ามีอะไรจะพูด
เพราะเห็นความน่ากลัวของผีมากนักต่อนัก จึงไม่มีความกลัว “ดูสิการเป็นผี แม้แต่พูดยังทำไม่ได้ เธออยากสื่อสารอะไรฉันก็ไม่รู้”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินอีซิน ดวงตาผีเมียน้อยก็กลับหม่นหมอง ท่าทางท้อแท้ กลั้นสิ่งที่ต้องการจะพูดไว้
“ฉันได้ยินมาดามเมิ่งพูดก่อนหน้านี้ว่าผีบางตัวเพราะมีความคับข้องใจ รัศมีที่เรียกว่าอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกเขาหลุดออกไปไม่ได้ คุณพี่ก็ด้วยเหรอ?”
“ฉันรู้ว่าที่เธอวนเวียนหลอกหลอนเพราะถูกผลักตกลงไป แต่ก็เป็นเธอที่ทำลายครอบครัวคนอื่นก่อน นอกจากนี้ผู้หญิงที่ฆ่าเธอก็ถูกจับแล้ว ฉันคิดว่าเธอไม่ควรยึดติดในกรรมต่อไป ปล่อยวางซะเถอะ...”
ไม่รู้ว่าบทสนทนานี้เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร หัวข้อตอนนี้กลายเป็นการเกลี้ยกล่อมผีเมียน้อยให้ปล่อยกรรม ทำใจให้บริสุทธิ์ก่อนจากไป
“เธอว่าที่ฉันพูดถูกไหม” หลินอีซินถามอย่างไม่แน่ใจ วินาทีถัดมาผีเมียน้อยก็หายวับไป
เอ๊ะ? การโน้มน้าวของฉันได้ผลเหรอ?
หลินอีซินยืนขึ้นเปิดหน้าต่างออก ยืดหัวออกไปเล็กน้อยมองไปรอบๆ ผีเมียน้อยหายตัวไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนออกจากหน้าต่างห้อง เหตุการณ์นี้ควรจะมีความสุข แต่ตอนนี้ฉันกลับกระวนกระวาย หล่อนหายไปไหน?
“ไปไหนน่ะ?” ความรู้สึกแบบนี้เหมือนแม่เร่งลูกไปโรงเรียนทุกวัน แต่ก็รู้สึกใจหายเมื่อลูกไป?
ขณะที่กำลังมองหาผีเมียน้อยไปทั่ว ที่ประตูก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งสอดเข้ามาที่ด้านใต้
หลินอีซินเดินไปเปิดประตู ทันเวลาเห็นสภาพซูหยางกำลังเอ๋อนั่งยองๆ อยู่บนพื้น สอดกระดาษผ่านประตู เขาเงยหน้าขึ้นพอสบตากัน เขาก็กะพริบตาปริบๆ ยืนขึ้น โยนกระดาษที่กำลังจะสอดเข้าไปใส่อ้อมแขนเธอโดยตรง
“นี่อะไร” หลินอีซินรับมา เมื่อเห็นกระดาษเอสี่นี้ก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
สัญญาจ้างงาน
หลินอีซินงงไปทันทีเมื่อเห็นตัวอักษรใหญ่บรรทัดแรกของกระดาษ
เธอขี้เกียจเกินกว่าจะเดา ถามซูหยางไปตรงๆ “นี่คืออะไร?”
“สัญญาจ้างงาน”
“ฉันอ่านคำว่า ‘สัญญาจ้างงาน’ ออก ฉันจะถามว่าสัญญาจ้างแบบไหน? นายแน่ใจหรือว่านี่ให้ฉัน”
“หลังจากคิดอย่างจริงจัง ฉันพบว่าเธอมีประโยชน์มากในการสร้างสรรค์แรงบันดาลใจให้ฉัน ดังนั้นฉันอยากจ้างเธอมาเป็นผู้ช่วย”
“ฉัน-เป็น-ผู้ช่วย-นาย?” หลินอีซินใช้น้ำเสียงคำถามเกือบทุกคำ สงสัยว่านี่เป็นการเล่นตลกของซูหยาง
โดยไม่สนใจสายตากังขาของเธอ ซูหยางกล่าวว่า “เธอตกงาน ส่วนฉันต้องการผู้ช่วย เราแต่ละคนได้สิ่งที่ต้องการ วิน-วิน”
“ฉันขอเวลาคิดก่อน จะยังไง...” หลินอีซินทำท่าลังเล ความจริงอยากจะเล่นตัวสักหน่อย การเป็นผู้ช่วยของซูหยางเป็นสิ่งที่แฟนนิยายหลายคนใฝ่ฝัน กลับเอามาให้ฉันซะเฉยๆ
“เดือนละหมื่นหยวนเน็ตๆ อาหารที่พักแยกต่างหาก รายละเอียดไว้...”
“ได้! ตกลง!” ทันทีที่ได้ยินจำนวนเงินเดือน ความลังเลในใจก็สลายทันที จะมาสงวนท่าทีทำไมโยนทิ้งไปเลย! เงินจ๋าอีซินมาแล้ว
“ฉันยังไม่ได้อธิบายสัญญา...” ซูหยางตกใจกับปฏิกิริยาตื่นเต้นของหญิงสาว แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจว่างานในฐานะผู้ช่วยของเขาเป็นงานที่สวยงามสำหรับคนจำนวนมากแค่ไหน
“ไม่เป็นไร คนอย่างนายคงเขียนรายละเอียดในสัญญาชัดเจน เซ็นที่ไหน หน้าสุดท้ายสินะ” หลินอีซินกลัวว่าซูหยางจะเปลี่ยนใจ รีบคว้าปากกากำลังจะเขียนชื่อตัวเองลงไป จังหวะนั้นซูหยางก็ห้ามไว้
เขาจะเปลี่ยนใจเหรอจริงดิ? หลินอีซินเริ่มขวัญกระเจิง
“เธอเซ็นสัญญาโดยไม่ได้อ่านเลยเหรอ?”
“ฉันเป็นคนมีทักษะมาก ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็สามารถรับมือได้” หลังจากพูดก็ผลักซูหยางออกไป รีบเขียนชื่อตัวเอง จากนั้นก็กระตุ้นให้ซูหยางเซ็นชื่อ
ซูหยางเขียนชื่อตัวเองลงในสัญญาอย่างเรียบร้อยพลางถอนหายใจมองมาที่เธอ “เนื่องจากเธอไม่ได้อ่านสัญญาอย่างจริงจัง ฉันคิดว่าควรอธิบายให้เธอฟังว่าในฐานะผู้ช่วยของฉัน งานที่สำคัญที่สุดคือช่วยนำพาอารมณ์...”
“นำพาอารมณ์... นายหมายถึงอะไร?”
“จำสิ่งที่เสิ่นเส้าเชียนกับฉันทำในวันแรกได้ไหม? เหมือนกับที่เราทำในตอนนั้น วาดตัวละครในใจ เมื่อฉันมีอารมณ์ งานที่เขียนแบบนั้นเท่านั้นจะถูกสร้างขึ้นมาแบบบรรเจิด เป็นของจริง ที่เรียลที่สุด”
หลินอีซินพยักหน้าอย่างไม่แน่ใจ “เหมือนกับการแสดงใช่ไหม นายขอให้ฉันแสดงแบบนั้นใช่ไหม?”
“ใช่ ก็คือการแสดงนั่นแหละ และต้องจริงใจ”
“โอเค ฉันสบายมากกับการแสดง เรื่องแบบนี้โกหกตอนเด็กบ่อยๆ ก็เทพแล้ว” หลินอีซินพูดอย่างสบายๆ แต่จู่ๆ ซูหยางก็เดินเข้ามาบังคับให้ตัวเธอชิดกับกำแพง
ใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากเธอไม่กี่นิ้วแม้ว่าจะยังซกมก แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความหล่อเหลาตามธรรมชาติของเขาได้
กวางบ้าในหัวใจฉันเริ่มบ้าคลั่งอีกครั้ง คราวนี้กำลังจะพุ่งเข้าใส่สมอง
จู่ๆ ดวงตาของซูหยางก็อ่อนโยนขึ้น ปากของเขาเปิดขึ้นเล็กน้อย พูดช้าๆ ว่า “พล็อตต่อไป ฉันอยากลองใช้ธีมความรัก”
หลินอีซินคืนห้องเช่าเดิม ย้ายเข้ามาอยู่ในห้องซูหยางอย่างเป็นทางการเพื่อทำงานตามที่ระบุในสัญญา จ้างงานในตำแหน่งผู้ช่วย แต่ความจริงแล้วไม่ต่างจากเบ๊บวกแม่บ้านคูณหนูตะเภาทดลอง
ไม่เพียงแต่ต้องซักผ้ารีดผ้า ทำอาหารให้เขาทุกมื้อทุกวัน ต้องเช็ดถูเครื่องเรือน ทำงานบ้านทุกตารางนิ้ว ซ้ำยังต้องขัดส้วมด้วย นอกจากห้องนอนเขา ยังต้องบวกเรื่องร่วมมือกับเขาเพื่อทำการทดลองต่างๆ
เช่นบางครั้งเขาจะให้เธอกินหมากฝรั่ง แต่พอเอามือไปหยิบก็พบว่าเป็นกับดักหนึบ...
ไม่ก็เขาจะติดโน้ตบนหลังเธอตอนที่เผลอ เมื่อเธอจับไม่ได้เขาก็พาเธอออกนอกบ้านโดยตั้งใจ กระทั่งเธอตระหนักว่าสายตาของทุกคนจับจ้องมาอย่างกับว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอถึงได้รู้ว่ามีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะอยู่บนหลังโดยมีลูกศรวาดไปทางซ้ายบนนั้นเขียนว่า [บุคคลที่ฉลาดที่สุดในโลก]
ก็ว่าอยู่ทำไมซูหยางยืนอยู่ทางด้านซ้ายมือตลอด!
แต่เรื่องนี้เธอไม่แน่ใจว่าระหว่างการถูกแปะกระดาษที่หลังหรือว่าการอวดอ้างว่าตัวเองฉลาดที่สุดในโลกอันไหนอัปยศมากกว่ากันแน่?! สรุปแบบโดยย่อซูหยางกระตือรือร้นในการเล่นตลกประเภทนี้เหมือนเด็กประถมศึกษาและเขาไม่เคยเบื่อกับมันเลย
วันหนึ่งตามกิจวัตรประจำวัน ซูหยางกลับบ้านพร้อมกับอาการเหนื่อยหอบจากการแบกอาหารแมวถุงใหญ่ พูดกับเธออย่างน่าสงสาร “เมื่อคืนฉันฝันว่าตัวเองกลายเป็นแมวจรจัดไม่มีบ้าน แถมยังถูกกระทืบด้วย สุดท้ายก็หิวจนตาย...”
หลินอีซินเลิกคิ้วขึ้น เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี “ดังนั้น?...”
“วันนี้เธอไปให้อาหารแมวจรจัดรอบเขตชุมชน”
“ห้ะ? ทำไมฉันต้องไป? นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน...” หลินอีซินฝังตัวเองไว้ที่มุมโซฟา ขดตัว ไม่อยากไป
“ฉันยุ่งมาก ก็ต้องเป็นเธอที่เป็นผู้ช่วยไปสิ ตอนนี้เป็นเวลางานของเธอนะ” เป็นอีกครั้งที่ซูหยางโยนสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลใส่
วันเดียวกันนั้นเองในชุมชนก็มีผู้หญิงคนหนึ่งถืออาหารแมวใส่ไว้ในถุงพลาสติกเดินไปยังที่ที่มีแมวจรจัดอยู่ ขณะแจกจ่ายอาหารก็ร้องเหมียวๆ ไปตลอดทาง
อาหารแมวที่ซูหยางซื้อมาหนักยี่สิบห้ากิโลกรัม หลินอีซินต้องเดินไปเดินมาห้ารอบถึงแจกอาหารจนหมด
ระหว่างนั้นก็ถูกแมวดุตัวหนึ่งข่วน ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรับวัคซีน
สองวันต่อมาตอนเย็น แผลที่ถูกแมวข่วนยังไม่หาย ขณะนอนเอ้เตบนโซฟา หลินอีซินก็เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ได้ตั้งใจ วันนี้ฝนตกทั้งวัน แม้ว่าจะเป็นคืนมืดมิด แม้ว่าจะมองไม่เห็นสายฝนโปรยปรายจริงๆ แต่เสียงฟ้าแลบฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ปะปนกันเป็นระยะๆ ทำให้ผู้คนหวาดกลัว
หญิงสาวผล็อยหลับไปสักพัก ก่อนที่จะหลับซูหยางยังอยู่ในบ้าน แต่เมื่อตื่นขึ้นก็ไม่รู้ว่าเขาไปไหนแล้ว สองชั่วโมงกว่าแล้วยังไม่กลับบ้าน เมื่อสายตามองออกไปนอกหน้าต่างก็รู้สึกกังวลขึ้นเล็กน้อย
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว