แสงไฟภายในห้องสว่างขึ้นเมื่อเจ้าของห้องกลับมาถึง ธันวาหันกลับมาที่หน้าประตูห้อง เขาเอื้อมมือมารับถุงใส่ของหลายอย่างจากมือของชินกฤตที่อาสาหิ้วมาส่งถึงที่พัก
“ขอบคุณครับ”
ธันวาเอ่ยแล้วยิ้มน้อยๆ เหมือนเคย เขามักระวังตัวเสมอเหมือนคนปิดกั้นตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลา
“ไม่เป็นไร ชินกลัวว่าจะมีเรื่องแบบเมื่อสามสี่วันก่อนนั้นอีก ชิน...ชินเป็นห่วงนะ”
ยังไม่ทันที่ชินกฤตจะพูดอะไรต่อ เจ้ากระรอกตัวซนก็ทำเสียงโครมครามเข้าให้เสียก่อน ทำให้ทั้งคู่ยุติบทสนทนาลงแค่นั้น แต่ในใจธันวารู้สึกขอบใจเจ้าจอมซนที่ทำเหมือนรู้หน้าที่ดี อีกฝ่ายยังคงร่ำลาเกินความจำเป็น
ประตูห้องปิดลงพร้อมการระบายลมหายใจเบาๆ นับวันธันวาก็รู้สึกอึดอัดกับสายตาของชินกฤตมากขึ้นทุกที ธันวาไม่อยากคาดเดาว่าชินกฤตคิดอะไรในใจ หากสายตาที่มีให้ มีความหมายมากกว่าคำว่าเพื่อน
แต่สำหรับธันวานั้น ความรักเป็นเรื่องที่ยากเกินจะเข้าใจ ครั้งหนึ่งก็ทำเขาเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย ถึงเวลาจะเลยผ่านมา 3 ปีแล้ว เขาไม่เคยลืมเรื่องราวในคราวนั้นเลย รวมถึงครั้งแรกที่ได้สบตากับดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ดูกลมกลืนกับเส้นผมที่เวลานั้นเป็นสีน้ำตาลจนเกือบแดง เพียงแต่เวลานี้สีของผมนั้นอ่อนจางลงไป แต่ใบหน้าของเขายังคงเหมือนเดิมในความรู้สึกของเขา
เสียงของตกลงพื้นทำให้ธันวาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เดินไปทางต้นเสียงที่ได้ยิน ลิ้นชักโต๊ะข้างหัวเตียงถูกรื้อค้นจนรก ตัวต้นเหตุยังซุกตัวมุดอยู่ในกองกระดาษเขียนจดหมายของเขา
“แกนี่นะ หาเรื่องให้วุ่นวายทุกทีเลย”
ธันวาต่อว่าไม่จริงจังตามด้วยเสียงหัวเราะ ก็เพราะนิสัยอย่างนี้ เขาจึงได้ไม่รู้สึกเหงามากมายนักเวลาที่อยู่ลำพัง ธันวาอุ้มเจ้าตัวซนขนขึ้นมาจากลิ้นชักแล้วนั่งที่เตียงนอน ในมือคู่หน้าของมันก็เกาะบางสิ่งไว้ไม่ยอมวาง แต่เมื่อธันวาเอื้อมมือมาหยิบดูก็ปล่อยออกง่ายดาย สร้อยเงินที่มีรูปเต่าทองสีเงินตัวเล็กๆ ส่องแสงแวววาวเมื่อกระทบแสงไฟสีส้มที่หัวเตียงนอน นานแล้วที่ไม่ได้หยิบสิ่งนี้ขึ้นมาสัมผัส เขาขยับปีกสีเงินของเต่าทองออก เสียงเพลงหวานใสบรรเลงแผ่วเบาจนคนฟังต้องยกขึ้นแนบหูเพื่อให้ได้ยินชัดเจน ด้านในเป็นนาฬิกาบอกเวลาซึ่งมันยังคงเดินปรกติดีและทำให้เขานึกถึงครั้งแรกที่ได้รู้จักกับคนที่ให้สิ่งนี้
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เขาหวนคิดถึงอดีตที่ผ่านมา
.............
เสียงนักเรียนกลุ่มหนึ่ง รุมกลุ่มเด็กเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มอยู่ใกล้ป้ายรถเมล์ เรียกสายตาของคนที่อยู่บริเวณนั้นให้หันไปดูได้อย่างไม่ยากนัก และรวมถึงเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากโรงเรียนด้วย
“เฮ้ย! นักเรียนตีกันอีกแล้วโว้ย!”
ไม่รู้ว่าใครส่งเสียงตะโกนลั่น เหมือนเรื่องธรรมดา แต่ไม่มีใครสนใจว่ามาจากสาเหตุใด บางคนวิ่งหลบ บางคนอยู่เชียร์เพราะตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์นี้เพื่อจะได้นำไปเล่าให้คนอื่นฟัง ราวกับตัวเองเป็นผู้สื่อข่าวตัวยงที่ทันเหตุการณ์นั้น เด็กหนุ่มสวมแว่นตาหนาเตอะกอดกระเป๋านักเรียนใบโตไว้แน่นกับอกอย่างทำอะไรไม่ถูก ธันวามาหาบิดาที่บริษัทแต่ท่านยังประชุมไม่เสร็จ แม้พ่อจะบอกให้นั่งรอในบริษัทแต่ตอนนั้นเขาอยากซื้อขนมเค้กกลับไปกินที่บ้าน ซึ่งมีร้านขายขนมหวานแสนอร่อยไม่ไกลนัก เขาจึงเดินออกมาและบังเอิญอยู่ในเหตุการณ์กลุ่มนักเรียนตีกัน
“หยุด!พวกเธอหยุดเดี๋ยวนี้นะ”
อาจารย์ฝ่ายปกครองวิ่งมาห้าม แต่ไม่มีใครทำตามคำสั่ง ต่างแยกย้ายวิ่งหนีจ้าละหวั่น รวมทั้งคนดูที่ส่งเสียงเชียร์ก็แตกกระเจิงไม่ต่างกัน ธันวาถูกชนอย่างแรงจนเกือบล้ม แต่มือของเขาก็ไวทันพอที่จะหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ตังเองล้มได้ แต่คนที่มาชนกลับล้มกลิ้งนอนคลุกฝุ่นตรงหน้า ธันวาตกใจทำอะไรไม่ถูก จนเมื่อคนล้มเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าขาวๆ มีรอยช้ำ คราบเลือดที่มุมปาก หากไม่เพราะดวงตาและสีผมเป็นสีน้ำตาลไหม้เหมือนกันล่ะก็เธอคงเข้าใจว่าเด็กเสื้อชอปคนนี้ไปกัดสีผมจนดูยียวนกวนบาทาใครกันแน่
“เร็วเข้า!เดี๋ยวอาจารย์มา!”
ธันวาได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกยังคงดังอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อหันไปมองทางที่อาจารย์วิ่งไป ก็เห็นว่าจับนักเรียนได้หลายคน และเหมือนได้ยินเสียงไซเรนตำรวจที่กำลังใกล้เข้ามา ธันวาหันมาสบตากับดวงตาสีแปลก ก่อนที่จะยื่นมือไปตรงหน้าให้คนที่นั่งอยู่จับ แล้วออกแรงดึงเขาลุกขึ้นมา ธันวารู้สึกถึงความสูงของอีกฝ่ายซึ่งมองด้วยสายตาอ่อนโยน แต่เพื่อนของเขาตะโกนเรียกตัว คนแปลกหน้าจึงรีบวิ่งไปซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่จอดรออยู่ไม่ไกลนัก แต่เก็ยังเหลียวหลังมามองธันวาตลอดจนรถเลี้ยวไปที่มุมถนน
“ธันวามาทำอะไรตรงนี้” อาจารย์ฝ่ายปกครองมหาโหดเข้ามาถามน้ำเสียงห่วงใยนักเรียนผลการเรียนดีเด่นอย่างธันวา
“มารอคุณพ่อครับ”
“แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เป็นอะไรครับ” ธันวาส่ายหน้าไปมาแล้วขยับแว่นสายตาให้กระชับใบหน้า
“ดีแล้ว รีบกลับบ้านไปซะ”
“ครับอาจารย์”
ธันวายกมือไหว้อาจารย์แล้วรีบกลับบ้าน แต่ความคิดคำนึงยังอยู่ที่เจ้าของดวงตาสีแปลกหน้าด้วย ธันวาจะติดใจสายตาของคนๆ นั้นอย่างไร เขาก็ไม่เคยคิดตามค้นหา เพียงแค่คิดถึงในบางครั้งที่ว่างเว้นจากตำราเรียนกองโต และเวลาที่ความเหงาเข้ามาทักทาย ธันวามีเพื่อนไม่มากนัก แต่ถ้าหมายถึงเพื่อนที่คุยได้ทุกเรื่องคือไม่มีใครเลย แม้แต่ที่บ้านก็ไม่มีใคร พ่อกับแม่แยกทางกัน ธันวามาอยู่บ้านกับพ่อซึ่งเอาแต่บ้างานแต่เขาก็เข้าใจพ่อ ทว่าตัวเขากลับไม่คุ้นกับครอบครัวใหม่ของแม่ แม่แต่งงานใหม่หลังเลิกกับพ่อได้ปีเศษๆ มีคนนินทาว่าแม่มีชู้ แต่ก็มีเสียงกระซิบว่าพ่อต่างหากที่นอกใจแม่ก่อนด้วยการมีเอาเลขาฯ มาเป็นเมียน้อย แม่จึงประชดพ่อด้วยการมีคนใหม่บ้าง
เรื่องราวแท้จริงเป็นอย่างไร ธันวาไม่อยากสืบเสาะนัก การหย่าร้างของพ่อกับแม่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เขาคิดว่าพวกท่านทำถูกแล้ว ดีกว่าอยู่บ้านเดียวกันแล้วเอาแต่ทะเลาะมีปากเสียงกันทุกวัน ธันวามีหนังสือเป็นเพื่อน เขาพยายามไม่คิดเรื่องพวกนี้ด้วยการทุ่มเทเวลาทั้งหมดที่มีด้วยการทำคะแนนเรียนให้ดีเยี่ยม
นานวันเข้า ธันวาเริ่มชินกับการอยู่บ้านเพียงลำพัง พ่อจะกลับมาบ้านแค่สัปดาห์ละไม่กี่วัน พ่อบอกว่าบริษัทรับเหมาก่อสร้างของพ่อกำลังเติบโต พ่อจำเป็นต้องคอยดูทุกขั้นตอน เขาอยากบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่พ่อพูด แต่ก็ทำได้เพียงแค่นิ่งเงียบ มีเพียงเงินที่โอนเข้าบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายของเขาเท่านั้นที่มันมาอย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากพ่อและแม่ ดูราวกับทั้งสองจะลืมไปว่าลูกคนนี้อายุเพียงสิบเจ็ดเท่านั้น
เช้านี้หลังจากรดน้ำต้นไม้แล้ว ธันวายังคงแต่งชุดเรียบร้อยออกจากบ้านแม้จะเป็นวันอาทิตย์ก็ตาม ป้าอุ่น-เพื่อนบ้านใกล้เคียงอดถามไม่ได้
“ไปเรียนพิเศษครับป้า” ธันวาเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม ก็มีป้าอุ่นที่ใจดีอยู่ใกล้ๆ ทำให้ถึงไม่รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียว
“ธันวาเรียนเก่งจะตายยังไปเรียนพิเศษอีกหรือ ขยันจริงๆ ไม่เหมือนตาอู๊ดเลยขี้เกียจตัวเป็นขนแล้ว”
“ไม่หรอกครับ แค่ทำตามที่พ่อสั่งเท่านั้นเอง” ธันวายิ้มเหงาๆ “พี่อู๊ดก็เก่งนะครับ เป็นนักกีฬาของโรงเรียน ได้ยินว่าได้โควต้าเข้ามหาวิทยาลัยไม่ใช่เหรอครับ”
“ไอ้เรื่องนั้นมันก็ดีหรอก แต่อยากให้มันเก่งสักครึ่งของธันวานะสิ วันข้างหน้าไม่ได้เล่นกีฬาแล้วก็ยังมีความรู้หางานทำได้”
“ผมไปเรียนก่อนนะครับ เดี๋ยวจะสาย”
“โทษทีๆ ป้าก็ชวนคุยเพลิน ไปเถอะลูก”
ธันวาอยากอยู่คุยด้วยแต่เขาก็ไม่อยากกลั้นความน้อยใจของตัวเองไว้ ซึ่งมันอาจกลายเป็นหยดน้ำตาเปื้อนแก้มก็ได้
พี่อู๊ดที่พูดถึงหมายถึงลูกชายคนดีของป้าอุ่นที่เรียนอยู่ ม.6 อยู่คนละโรงเรียนกับเขา ความจริงก็เปรียบเสมือนญาติคนหนึ่งของธันวาด้วย ป้าอุ่นเป็นพี่สาวของพ่อปลูกบ้านใกล้กัน แต่ครอบครัวของทั้งสองแตกต่างกันมากนัก ครอบครัวของป้าอุ่นทำร้านอาหารเป็นร้านไม่ใหญ่นักแต่เพราะฝีมือป้าอุ่นกับสามีทำให้มีคนติดใจกันมาก เคยมีรายการโทรทัศน์มาสัมภาษณ์ แต่พี่อู๊ดไม่สนใจเรื่องทำอาหารและไม่คิดจะสืบทอดกิจการ จึงไปเอาดีด้านกีฬาฟุตบอลแทน ธันวาฝากท้องกินข้าวด้วยบ่อยๆ บ้านที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะโหวกเหวกโวยวายแต่ไม่เหงา ผิดกับบ้านของเขาที่หลังใหญ่โตแต่วังเวง
ธันวาไม่ได้ไปเรียนพิเศษ แต่เขาเดินมาที่โรงเรียนของตัวเอง โรงเรียนของธันวาเป็นศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนด้วย ธันวาตั้งใจมาหาหนังสืออ่านแก้เบื่อ ว่ากันตามจริง บ้านเขามีหนังสือเรียงอัดแน่นเต็มชั้นแต่เขาไม่รู้สึกอยากอยู่บ้าน การได้พาตัวเองอยู่ในห้องสมุด ได้กลิ่นกระดาษและเสียงพัดลมเพดาน มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายสบายใจ แล้วเขาก็ไม่ชอบไปเดินห้างสรรพสินค้าด้วย ซ้ำยังไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทที่จะไปนั่งเล่นอีกต่างหาก ธันวาก้มหน้าก้มตาเดิน ซึ่งมันแทบจะเป็นบุคลิกของเขาไปแล้ว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น สายตาของธันวาเห็นผู้ชายผมสีน้ำตาลแดงเข้มคนนั้น
“อย่าทำหน้าหมดหล่อแบบนี้สิวะ สอบตกก็สอบใหม่ได้เพื่อน เรียนกศน.วิชาไม่กี่บาทเอง” เพื่อนอีกคนพูดแล้วตบไหล่เบาๆ
“ตกรวดหมดแบบนี้พูดว่าไม่เป็นไรนี่นะ” คนฟังแค่นยิ้มฝืนทำตลก ทำเอาเพื่อนซึมตามไปด้วย
“ไม่เอาน่า...เดี๋ยวเลี้ยงเบียร์เอาม่ะ ปลอบใจ”
“ไม่เอา กูกินไม่ลง”
คนตอบเดินก้มหน้ามาทางธันวาที่ยืนขวางทางอยู่แบบไม่ตั้งใจ ธันวาเองก็เดาไม่ออกว่าเด็กหนุ่มหน้าฝรั่งคนนี้เชื้อชาติไหน เพราะสำเนียงคนไทยชัดเจน
“ขอ...ขอโทษครับ” เขาเอี้ยวตัวจะหลบทางให้ อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยนิ่งและนาน จนรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้า
“วันนั้นเจ็บหรือเปล่า”
“ครับ?” ธันวาแปลกใจที่อีกฝ่ายจำเขาได้ หรือเพราะท่าทางเชยๆ ที่เขาจำได้
“ผมชนคุณ...ขอโทษแล้วก็ขอบคุณที่ช่วย”
“ครับ...” ธันวาพูดได้แค่นั้นนึกคำพูดอะไรไม่ออกไม่เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
“โกรธผมเหรอ” เขาถามตรงๆ ดวงตาอ่อนโยนดูเศร้าลงทันที
“เปล่า” ธันวารีบส่ายหน้าไปมา แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาได้ แม้ว่าที่มุมปากจะยังมีรอยเจ็บก็ตาม
“ผมให้คุณเป็นการขอโทษ”
เขาปลดสร้อยเงินจากคอของตัวเองมาสวมใส่ให้ธันวา ความเย็นของสร้อยทำให้ธันวาสะดุ้งก่อนที่จะก้มลงมอง เต่าทองสีเงินเป็นมันเงาวาว ธันวาพลิกดูไปมาอย่างงุนงง เขาไม่เคยรับของจากคนแปลกหน้า จะถอดคืนก็กลัวให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ
“ตกลงคุณหายโกรธผมนะ ผมชื่อบิลลี่ฮะ”
“ครับ” จนแล้วจนรอดธันวาก็เอ่ยอยู่คำเดียว
“ไม่ชอบเหรอฮะ” เขาถามกลับ น้ำเสียงน้อยใจจริงๆ
“เปล่า” ธันวาส่ายหน้าไปมา “ผมชอบมาก”
“ชื่อธันวาเหรอฮะ” เขายิ้มกว้าง ชี้นิ้วไปที่อกเสื้อของอีกฝ่ายที่ปักชื่อและนามสกุล ดวงตาพราวระยับไปหมด ดูอ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อ ว่าจะไปมีเรื่องที่หน้าโรงเรียนเมื่อ 3-4 วันก่อนได้
“ผมคงรบกวนธันวามากไปแล้ว แต่หวังว่าเราคงได้เจอกันอีกนะฮะ”
เขาเอ่ยเมื่อเพื่อนเขามาสะกิดแขนเบาๆ เขากำลังจะเดินสวนทางจากไป ธันวานึกถึงเรื่องที่จะสนทนาเมื่อครู่ที่บังเอิญได้ยิน เพียงเสี้ยวนาที ธันวาก็ตัดสินใจเรียกเขาไว้
“เพื่อเป็นการขอบคุณที่ให้เต่าทองตัวนี้ ผมจะช่วยติววิชาที่อ่อนให้เอาไหมครับ”
..............
ธันวาสะดุ้งทันทีที่เสียงโทรศัพท์มือถือส่งเสียงดัง มันดังกว่าเสียงเพลงจากเต่าทองตัวน้อยของเขามากนัก เขารีบลุกขึ้นมารับโทรศัพท์ ขณะที่เจ้ากระรอกมีความสุขอยู่กับขนมของมัน
“พี่ธัน น้องนกเองนะ”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับน้องนก” ธันวานึกถึงเด็กสาววัยสิบเจ็ดปีซึ่งน้องสาวคนเดียวของชินกฤต
“น้องนกมีเรื่องจะรบกวนพี่ธันวาคะ พี่ธันวาคนดี เทวดาของน้องนก” น้ำเสียงอ้อนวอนน่าเอ็นดู
“เรื่องอะไรครับ” ธันวาหัวเราะในคำเยินยอของอีกฝ่าย
“น้องนกอยากไปงานวันเกิดเพื่อน เริ่มตอนสองทุ่มครึ่ง แต่ช่วงนั้นพี่ชินยังทำงานอยู่เลย แม่กับพ่อไม่ให้น้องนกไปคนเดียว พี่ธันวาที่น่ารักมารับน้องนกได้ไหมคะ ถ้าพี่ธันมาเอง พ่อกับแม่ต้องให้ไปแน่นอน น้องนกขอร้อง น้องนกสัญญาจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อจะช่วยงานพี่ชิน...”
“แน่ใจนะครับ” ธันวาหัวเราะในน้ำเสียงออดอ้อนของเด็กสาว และก้มมองเวลาที่นาฬิกาเต่าทองในมือ
“กลับไม่เกินห้าทุ่ม” อีกฝ่ายตอบไม่รอคำถาม
“งั้นขอเวลาพี่อาบน้ำก่อนนะครับ แล้วพี่จะไปรับที่บ้าน”
“ขอบคุณพี่ธันมากค่ะ รักพี่ขวัญมากกว่าพี่ชินอีก”
ธันวาหัวเราะเบาๆ กับคำยอของน้องสาวเพื่อนที่นิสัยตรงข้ามกับพี่ชายสิ้นเชิง ปลายสายเงียบไปแล้ว ธันวาวางโทรศัพท์มือถือของตัวเองลง เจ้ากระรอกออกมาคลอเคลียเอาใจแต่เจ้าของก็รู้ดี ชายหนุ่มดีดหน้าผากเจ้าจอมซนเบาๆ ก่อนที่จะหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ
“ไม่ต้องมาอ้อนไม่ให้ไปด้วยหรอกนะบิลลี่”
ธันวาเรียกชื่อเล่นของเจ้ากระรอกน้อย รู้ว่าเวลาที่มันไม่ได้อะไรดั่งใจก็จะแกล้งงอแงทำซึมให้คนเอาใจ แต่เมื่อไม่มีใครใส่ใจจริงๆ มันก็กลับมาซนตามเดิม เขาเองก็มีเพียงเจ้ากระรอกตัวนี้ที่อยู่เป็นเพื่อนแก้เหงา อย่างน้อยก็ดีกว่าจมอยู่กับความทรงจำเก่าๆ
ธันวาไม่แน่ใจตัวเองนัก ที่เขามาอยู่ที่นี่เพื่อหนีอดีตหรือหลบหน้าใครบางคน แต่ที่ชัดเจนในใจเธอไม่เคยลืมผู้ชายคนนั้น
คนที่เป็น “รักแรก” ของเขาได้เลย
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว