โลกพันธกิจที่ 2 ตอนหงส์เปลี่ยนชะตา
ฤดูหนาวของแคว้นโจวปีนี้หนาวเป็นพิเศษ
ทั่วทั้งเมืองหลวงถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวโพลน
ที่ห้องสมุดเหล่าข้าราชบริพารระดับสูงกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ แต่ละคนทั้งร้อนใจ-กลุ้มใจ-ว้าวุ่นใจ
หญิงรับใช้รายงานว่า “ท่านอัครเสนาบดีมาแล้วเจ้าค่ะ”
ทุกคนหันมองไปข้างหน้าพร้อมกัน ม่านประตูเปิดออก ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาช้าๆ หน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ครึ่งหนึ่งพัดลมและหิมะเข้ามา ยกเสื้อคลุมผ้าสีอ่อนเผยิบผยาบ กลีบดอกเหมยติดอยู่ที่ปกเสื้อ มือข้างหนึ่งเขาป้องขึ้นปิดปากไอเบาๆ ทำให้สีหน้าซีดขาวยิ่งขึ้น
คุณชายที่เปรียบเหมือนหยกอ่อนผู้นี้ไม่มีใครในโลกเทียบได้ ไม่ว่าจะคุ้นเคยกับใบหน้านี้แค่ไหนก็ยังต้องทึ่งทุกครั้งที่ได้เห็น
ทุกคนหลีกทางให้
เมื่อคนผู้นี้นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน ทุกคนก็ยกมือคำนับ
“คารวะท่านอัครเสนาดี”
“ไม่ต้องมากมารยาท”
แม้ว่าน้ำเสียงจะฟังอ่อนแอ แต่ก็ราวกับเสียงเครื่องดนตรีซือจู่[1] จากสวรรค์ ผ่านโสตประสาทเข้าสู่หัวใจ ได้ฟังแล้วก็เหมือนกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
คนมาครบแล้ว ทุกคนเริ่มปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องเหตุการณ์ในเมืองหลวงช่วงเวลานี้ ยิ่งพูดกันคนละประโยคสองประโยคก็ยิ่งกังวลใจ เพราะกลัวว่าคนที่โชคร้ายเป็นรายต่อไปจะเป็นตัวเอง
หลังจากการปฏิรูปกฎระเบียบในปีนี้ ตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง สิ่งแรกที่ฮ่องเต้ทำหลังจากขึ้นครองราชย์ก็คือกำจัดผู้ไม่เห็นด้วย
ฐานอำนาจของไทเฮาถูกถอนรากถอนโคน ในเวลาเพียงสองปีฮ่องเต้ก็รวบอำนาจการปกครองกลับคืนไปจนหมด
เสนาบดีสำนักตรวจราชการ[2] ถามว่า “ไม่ทราบว่าฮ่องเต้เคยรับสั่งให้ท่านอัครเสนาบดีเข้าวังเป็นการส่วนตัวหรือไม่?”
ทุกคนมองไปยังคนนั่งในตำแหน่งสูง
ตอนนี้ความหวังทั้งหมดของพวกเขาวางอยู่ในมือชายหนุ่มอ่อนแอคนนี้
ชายหนุ่มส่ายหัวราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจหัวข้อสนทนา
หิมะตกหนักนอกหน้าต่าง ดอกเหมยแดงชูช่ออย่างภาคภูมิใจ หยกทงหลิงร่างโปร่งใสลอยอยู่ในอากาศ เท้าคางอยู่ข้างใบหูชายหนุ่มพลางเรียกขานด้วยความเคารพ “นายหญิง”
หนานซื่อใช้โทรจิตพูดกับหยกทงหลิง “ตื่นปุ๊บก็มาที่นี้ปั๊บ รีบส่งต่อความทรงจำให้ฉันด่วน”
สิ้นเสียงหยกทงหลิงก็เป่าลมออกจากปากทีหนึ่ง พริบตาหนานซื่อก็พลิกความทรงจำของเจ้าร่างเรียบร้อย
เจ้าร่างโลกนี้ชื่อซูเฉิงฮวนและเป็นบุตรสาวคนเดียวของจวนซูตระกูลสูงศักดิ์ ตระกูลซูรับใช้ใกล้ชิดในราชสำนักมาหลายชั่วอายุคน ถือเป็นตระกูลสูงศักดิ์อันดับหนึ่งในแคว้นโจวสืบทอดมายังซูเฉิงฮวน บิดาของนางเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม ทิ้งนางไปตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ซูฮูหยินจึงจำใจต้องยอมให้ซูเฉิงฮวนปลอมเป็นผู้ชายเพื่อปกป้องวงศ์ตระกูล
ซูเฉิงฮวนเป็นคนฉลาดเฉลียวมาตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุได้ห้าขวบก็เป็นที่รู้จักในฐานะเด็กอัจฉริยะ เมื่ออายุสิบสี่ปีก็มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า ปัจจุบันอายุยี่สิบปีรับราชการตำแหน่งอัครเสนาบดีแห่งแว่นแคว้น
บุคคลเช่นนี้ควรจะได้รับการเชิดชูเป็นขุนนางแห่งรัชสมัย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันสืบสานงานก็ถูกฮ่องเต้เคลือบแคลงใจเพราะสถานะสูงส่งของตระกูล ไม่ช้าก็จะถูกลอบสังหารจากพวกนักฆ่า กระทั่งความตายพรากจากก็ไม่มีใครรู้ว่านางเป็นสตรี
หนานซื่อถามตรงประเด็น “ภารกิจที่ต้องการขจัดความคับข้องใจคืออะไร?”
หยกทงหลิงกล่าวว่า “ปฏิบัติตามเงื่อนไขสามข้อก็สามารถบรรลุภารกิจด้วยคะแนนเต็ม ดีกว่าภารกิจของหยวนเจินเจินที่ให้ผู้ปฏิบัติภารกิจคาดเดาเงื่อนไขเสริมเอง”
“สามเงื่อนไขอะไรบ้าง?”
“ข้อแรกหลีกเลี่ยงการลอบสังหาร ข้อสองป้องกันไม่ให้ฮ่องเต้หลงใหลองค์หญิงแคว้นใกล้เคียง และข้อสามทำให้ราชวงศ์โจวยิ่งใหญ่รุ่งเรืองไปอีกร้อยปี”
ซูเฉิงฮวนแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ การศึกษาที่นางได้รับตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้นางไม่สนใจและไม่มีความคิดอื่นใดนอกจากจงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้และรับใช้บ้านเมือง นางถึงขนาดรู้สึกว่าสวรรค์ส่งมาเกิดในร่างผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ นางคิดเสมอว่าตนเองควรเป็นผู้ชาย
ในเมื่อไม่สามารถเป็นแม่ทัพสังหารศัตรูในสนามรบได้ นางจึงมุ่งเน้นไปที่การเป็นข้าราชการที่เที่ยงธรรม รับบทบาทในการช่วยเหลือฮ่องเต้ นางไม่เคยประจบสอพลอ มีแต่ตักเตือนให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่เนื่องจากพื้นนิสัยเป็นคนเย็นชาและดื้อรั้น จึงทำให้หลายคนขุ่นเคือง
ในช่วงแรกที่ฮ่องเต้ครองราชย์ก็ใช้ประโยชน์ความภักดีของนาง ล้างบางตระกูลสูงศักดิ์แบบไม่ไว้หน้า กว้างล้างผู้เป็นปฏิปักษ์ เมื่อเสถียรภาพในราชบัลลังก์มั่นคง ซูเฉิงฮวนก็ถูกโยนทิ้งแม้ว่าจะมีตำแหน่งเป็นถึงอัครเสนาบดีก็ถูกปลดออกจากอำนาจที่แท้จริง ซูเฉิงฮวนไม่เกลียด-ไม่แค้น-ไม่เสียใจ ยังคงรับใช้ฝ่าบาทอย่างขยันขันแข็ง
จากนั้นไม่นานแคว้นจิ้นแคว้นใกล้เคียงต้องการสร้างสัมพันธ์โดยถวายองค์หญิงเลอโฉมที่สุดแห่งแว่นแคว้น มีข่าวลือว่านางมีความงามเลิศล้ำในปฐพีซึ่งไม่ได้ทำให้แคว้นบ้านเกิดผิดหวัง นางล่มสลายวังหลังแคว้นโจว สิบปีต่อมาแคว้นจิ้นส่งทหารเข้าโจมตี กวาดล้างแคว้นโจวจนสิ้นซาก
ตอนที่องค์หญิงแคว้นจิ้นเข้าวัง ซูเฉิงฮวนเคยเตือนฮ่องเต้ว่าอย่าหลงใหลความงามภายนอก ฮ่องเต้ไม่พอใจมาก จึงปลดซูเฉิงฮวนลงจากตำแหน่ง ต่อมานางก็ถูกลอบสังหารจากพวกนักฆ่า
คนที่ลงมือสังหารนางก็คือเยี่ยนอ๋อง---เฮ่อหลานฉือ ศัตรูในราชสำนัก ซึ่งเป็นคนที่อยากแย่งอำนาจในมือนางและเป็นน้องชายแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
เฮ่อหลานฉือและซูเฉิงฮวนเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน เมื่อเห็นว่านางไม่ได้รับความคุ้มครองจากฮ่องเต้อีกต่อไป บวกกับนางวิพากษ์วิจารณ์องค์หญิงแคว้นจิ้นนางในดวงใจของเขาอย่างรุนแรงไม่ไว้หน้า เขาจึงถือโอกาสส่งนักฆ่าไปลอบสังหาร
หนานซื่อเงียบไปหลังจากดูจบ ไม่นานก็เค้นคำพูดออกมาว่า “ผู้หญิงคนนี้รักฮ่องเต้ลึกซึ้งใช่ไหมเนี่ย? ขนาดตายไปแล้วก็ยังคิดจะช่วยราชวงศ์ต่อไป”
หยกทงหลิงบอกหนานซื่อแบบมั่นใจ “ไม่ ที่นางรักคือแคว้นโจว”
หนานซื่อตอบทันที “งั้นก็ง่ายมาก ฉันจะฆ่าฮ่องเต้กับเยี่ยนอ๋องซะ แล้วหาคนดีๆ มาปกครองบ้านเมือง แค่นี้เงื่อนไขทั้งสามก็สมบูรณ์
มุมปากของหยกทงหลิงกระตุก “ไม่... ทำแบบนั้นไม่ได้...”
“ทำไมไม่ได้ล่ะ? ง่าย-รวดเร็ว-สะอาดหมดจด”
“การลอบปลงพระชนม์เยี่ยนอ๋องกับฮ่องเต้จะนำไปสู่การต่อสู้ภายในอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แคว้นรอบด้านเพ่งมองเหมือนเสือรอตะครุบเหยื่อ การทำแบบนี้แคว้นโจวจะถูกทำลายเร็วขึ้นเท่านั้น” เพื่อป้องกันไม่ให้หนานซื่อหุนหันพลันแล่น หยกทงหลิงพูดเสียงนุ่มนวล “นายหญิง โปรดคิดถึงปัญหาจากมุมมองของมนุษย์ปกติ”
หนานซื่อเหวี่ยงมือออกไป หยกทงหลิงแจ้นหนีไปทันที
เมื่อกลับสู่โลกความจริง วันนี้ผู้คนมารวมตัวกันที่นี่เพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีหลีกเลี่ยงภัยพิบัติใหญ่ พวกเขาส่วนใหญ่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ เพื่อส่งเสริมอำนาจของตนเองฮ่องเต้ใช้วิธีการโหดร้าย เมื่อเหล่าตระกูลสูงศักดิ์คิดจะลุกขึ้นสู้ก็ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว ไม่มีใครต้านทานอำนาจแห่งโอรสสวรรค์ได้
หนานซื่อกวาดตามองไปที่กลุ่มตาเฒ่าเคราขาวเบื้องหน้าที่พูดพล่าม กังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ พูดจบประโยคทุกคนก็ต้องหันมาถาม น่ารำคาญชะมัด
หนานซื่อหมดอารมณ์ผุดลุกขึ้น “ที่บ้านมีธุระ ขอตัวก่อน”
ทุกคนอึ้งไปเมื่อมองร่างที่เดินออกไปอย่างอาจหาญ พวกเขาต่างก็ประหลาดใจ ท่านอัครเสนาบดีซูที่ปกติทำอะไรเนิบนาบและอดทน ทำไมวันนี้ถึงหงุดหงิดขนาดนี้?
หลังจากหลุดออกจากวงสนทนาก็กลับไปที่จวนซู หนานซื่อก็รู้สึกไม่ดีไปทั้งตัว
นี่โทรมเกินไปแล้วนะ
บ้านอัตคัดขัดสนยากจนเหลือเกิน
ไม่มีสภาพเหมือนจวนอัครเสนาบดีเลย
หยกทงหลิงบอกออกมา “ซูเฉิงฮวนเป็นข้าราชการใสซื่อมือสะอาด ใช้ชีวิตด้วยเงินเดือนที่ได้รับเท่านั้น มิหนำซ้ำนางยังชอบช่วยเหลือผู้คน ดังนั้นจวนซู... จึงทั้งน่าสงสารและขัดสนมาก” เวลานี้หยกทงหลิงกลายเป็นแมวดำนอนขดตัวสบายใจอยู่ในอ้อมแขนของหนานซื่อ
หนานซื่อถอนหายใจ “ยากจนขนาดนี้ ยังไปช่วยคนอื่นอีก ไม่มีใครช่วยเหลือนางบ้างเลยหรือ?”
หยกทงหลิงกล่าวว่า “มี หลานชายห่างๆ ของซูเฉิงฮวนชื่อซูหย่วนซัน”
เมื่อถามถึงโจโฉ โจโฉก็มา เด็กรับใช้ในจวนเข้ามารายงานว่า “ท่านหย่วนซันมาขอรับ”
ขณะที่เสียงพูดจบลงก็มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เขาสวมเสื้อคลุมยาวผ้าต่วนเดินเข้ามาแบบเรียบเรื่อยเมื่อหยุดลงตรงหน้า หนานซื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเขามีดวงตาคมลึก คิ้วบาง แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับดูเอาแต่ใจซึ่งทำให้คนอื่นไม่สบายใจ
ซูหย่วนซันโค้งคำนับด้วยท่าทางองอาจ “ฮ่องเต้เรียกท่านกับข้าเข้าวัง หลานชายจึงมาแวะรับท่านอาสี่ไปด้วยกัน”
ในภูมิหลังประวัติครอบครัว บ้านของซูเฉิงฮวนอยู่ในอันดับที่สี่ มิหนำซ้ำนางยังเป็นลูกคนเดียวในครอบครัว ดังนั้นรุ่นถัดลงมาจึงเรียนางว่า ‘ท่านอาสี่’
เมื่อเห็นว่านางไม่ได้พูดตอบ ซูหย่วนซันก็ยิ้มกว้างมากขึ้น น้ำเสียงของเขาติดตลก “ท่านอากำลังกังวลเกี่ยวกับพวกตาเฒ่าที่ไม่รู้จักจะก้าวจะถอยอย่างไรใช่ไหม? วางใจเถอะ ถึงตอนนั้นถ้าฮ่องเต้ตำหนิจริงๆ หลานชายคนนี้จะช่วยพูดอะไรดีๆ ให้ท่านอาเอง”
[1] ซือจู่ หมายถึงวงดนตรีที่ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีประเภทไหมและไผ่ (ซอเอ้อร์หู ผีผาและขลุ่ย)
[2] 都察院 ตูฉาย่วน ตำแหน่งราชการในระบบราชการจีนสมัยราชวงศ์หมิง มีสถานะเทียบเท่าหกกระทรวงและสภากลาโหมขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ หน่วยงานลักษณะปรากฏมาตั้งแต่สมัยฉินวิวัฒนาการมาจนสมบูรณ์ในสมัยหมิง ซึ่งมีภารกิจในการตรวจสอบการบริหารราชการ ตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบในแต่ละระดับ ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่