มังกรซ่อนหัวใจ-26: ห้ามปรามหวงตี้

โดย  TayidaG.

มังกรซ่อนหัวใจ

26: ห้ามปรามหวงตี้

เหยียนอวี้จื่อก้มหน้าคุกเข่าต่อหน้าพระนางไท่โฮ่วเจ้าซู่หนี่ว์ รายงานข่าวการถูกปองร้ายขององค์หวงตี้ในคืนที่ผ่านมานั่นต่อหน้าพระพักตร์ด้วยสีหน้าราบเรียบ ยามนี้ ไท่โฮ่วกลับแย้มริมฝีปากงดงามของนางนัยน์ตางดงามนั้นทอประกายสดใส

“นับว่าใจกล้ายิ่งนัก เหยียนอวี้จื่อ เจ้าจงเอาองครักษ์จากส่วนกลางไปเพิ่มการอารักขาอีกสิบนาย กงกงเต้าหมิงเร่งส่งคำสั่งเราไปที่ส่วนกลางเดี๋ยวนี้จัดสรรคนมีฝีมือที่สุดสิบคนให้กับคนของหวงตี้ ลูกเซินเราจะต้องปลอดภัยที่สุด”

“พะย่ะค่ะ องค์ไท่โฮ่ว กระหม่อมจะรีบเร่งจัดการเดี๋ยวนี้พะย่ะค่ะ”

เหยียนอวี้จื่อลอบยิ้มในใจ เขาแค่รายงานไปตามเนื้อผ้าเท่านั้นไม่นึกเลยว่าไท่โฮ่วจะหลงกล หรือไม่นางก็อาจจะมีแผนซ้อนกลของหวงตี้เซียวซื่อเซินของพระนางไว้ในพระทัยแล้วก็เป็นไปได้ แต่นี่หาใช่สิ่งที่เหยียนอวี้จื่อใส่ใจไม่ เขาแค่ต้องคอยระมัดระวังการเคลื่อนไหวของพวกตำหนักเสวยจันทร์กับจวนอ๋องโม่หยางเท่านั้น ส่วนที่เหลือเหล่าเสนาใต้บังคับบัญชาของหม่าซือถูต่างก็จับตามองอยู่แล้ว ขอเพียงสองฝ่ายไม่ตกลงเข้าร่วมกัน สวรรค์ก็นับว่าปรานี ได้ซื้อเวลาสำหรับหวงตี้ของเหยียนอวี้จื่อไปได้อีกระยะหนึ่ง

แค่ระยะหนึ่งอย่างนั้นหรือ?..นี่ไม่ใช่สิ่งที่เหยียนอวี้จื่อต้องการ เขามองเห็นรอยหวั่นไหวของพระทัยหวงตี้ในแววตาที่ไม่เคยเคลื่อนไหวคู่นี้ กลับมีประกายบางอย่าง มันอ่อนไหวและเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างที่เหยียนอวี้จื่อเองไม่เคยได้รับมาก่อน ยามที่พระองค์ทอดมองไปยังแม่นางเสวี่ยอวี้หลัน นางช่างดึงดูดสายพระเนตรของฝ่าบาทได้ง่ายเกินไปมันล้วนแต่ไม่ดีทั้งสิ้น แม่ทัพเสวี่ยหลงชวน เดิมทีหาได้ต้องการให้บุตรสาวเข้าสู่วังหลังไม่ เขาถึงกับขอร้องต่อหวงตี้เพื่อขอราชโองการงดเว้นให้บุตรสาวเข้าสู่การคัดเลือกตัวนางสนม ไม่นึกเลย ฝ่าบาทของเหยียนอวี้จื่อกลับพาตนเองก้าวสู่กับดักของไท่โฮ่วเสียเอง แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวกับเสาวนีย์ของพระนางแต่อย่างใด พระองค์ทรงเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อบุปผาตั้งแต่เมื่อไหร่?..หรือว่าเป็นเพราะพระชันษาที่มากขึ้น ทรงเริ่มจะเรียนรู้เกี่ยวกับอิสตรี อาจจะเป็นเหตุผลข้อนี้ก็ได้ เหยียนอวี้จื่อ ผ่อนลมหายใจตนเองเมื่อหวนคิดถึงความเป็นไปได้ เหยียนอวี้จื่อวัยยี่สิบปีเศษแล้ว แม้จะเป็นผู้นั่งตำแหน่งขันที เขาก็ยังเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับอิสตรีบ้างแล้วก่อนนั้น และด้วยเป็นคนสนิทของหวงตี้ เขาย่อมมีหูตากว้างไกลไปทั่ววังหลวง

การทิ่มแทงผู้คนด้วยสายตาที่จับผิดย่อมดีกว่าทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา คนในตำหนักเสวยจันทร์นับวันมีคนแปลกหน้ามากฝีมือเพิ่มจำนวนขึ้นทุกปี เรื่องนี้เขาย่อมรายงานฝ่าบาทไว้ได้เพื่อจะได้ระมัดระวังพระองค์มากยิ่งขึ้น

แต่..อ๋องหมิงหยางนั้นเล่าสมควรหรือไม่ที่จะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับราชวงศ์เซียว แม้จะมีอ๋องโม่หยางซื่อเป็นบิดา ก็อย่าหมายว่าจะรอดจากโทษประหาร หากแน่ชัดว่าก่อกบฏล่ะก็..เหยียนอวี้จื่อ ครุ่นคิดจนแทบลืมเวลา เขากลับไปยังจวนไร้พ่ายด้วยความคิดที่หมกมุ่นไม่น้อย ตำหนักเสวยจันทร์นับวันจะแข็งข้อมากขึ้น นางกำนัลหน้าใหม่หลายนางล้วนเป็นวรยุทรและพลังวัตระดับสูงหลายคน บุรุษที่แต่งกายเป็นขันทีนั้นเล่า หน้าตาหล่อเหลาและมากฝีมือไม่ต่างกัน เหยียนอวี้จื่อเผลอข่มจิตใจตนเอง เขากระโดดลงจากหลังม้าพลางเพ่งมองคนที่ยืนใต้ชายคาศาลาแปดเหลี่ยมด้านในของสวนไม้สนที่แทงกิ่งก้านสู่ท้องฟ้าแข่งกับสายหิมะที่โปรยปรายนั่นอย่างสนใจ

“ฝ่าบาท..”

เขาส่งเสียงในลำคอ กวาดสายตามองรอบๆ ด้านนอกนั้นปราศจากองครักษ์แม้เพียงสักคน เหยียนอวี้จื่อเผลอสบถในใจด้วยความเคร่งเครียดที่พุ่งเข้ามา เขาไม่คิดเลยว่าฮองเฮาพระนางเดียวกลับทำให้หวงตี้ที่เขาห่วงใยนั้นกลับไม่ระวังองค์เอง กล้าที่จะอยู่ลำพังกับหวงโฮ่วที่แม้จะมีตำแหน่งแต่ก็ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งตั้งด้วยซ้ำ นับว่านางมีอิทธิพลกับหวงตี้โดยแท้

“ฝ่าบาท..ถวายบังคมพะย่ะค่ะ”เหยียนอวี้จื่อก้าวไปยังศาลาแปดเหลี่ยมโดยไม่รั้งรอ จิตใจเขาร้อนรุ่มยิ่งเมื่อเห็นแม่นางเสวี่ยอวี้หลันในชุดคลุมฉลองพระองค์สวมทับไว้ด้านนอก นางยืนชมหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสายกับองค์หวงตี้นานแค่ไหนแล้ว?

“ถวายพระพรฮองเฮาพะย่ะค่ะ”เขาก้มหน้าคำนับอย่างมีมารยาท หากแต่นัยน์ตานั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความไม่ยินดีซุกซ่อนไว้ มิดชิด แม่นางน้อยยิ้มแย้มให้เขาเล็กน้อย แต่หวงตี้นั้นพยักหน้าให้เขาลุกขึ้นได้

“ลุกขึ้นเถอะ เสด็จแม่ทรงทราบเรื่องแล้วสินะ อวี้จื่อ”

“ทรงทราบแล้วพะย่ะค่ะ ยามนี้เอี้ยนสิงกับเหล่าองครักษ์หายตัวไปไหนกันหมดเล่า เหตุใดทรงปล่อยให้ฝ่าบาทอยู่ลำพังเช่นนี้”เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนั้นราบเรียบบ่งบอกอารมณ์ไม่ปกติได้ดี โอรสสวรรค์นั้นทรงพระสรวลเบาๆ

“เจ้าคิดมากไปแล้วอวี้จื่อ พวกคนร้ายเพิ่งลงมือไปเมื่อคืนนี้ พวกเขาย่อมไม่กล้าลงมืออีกเป็นครั้งที่สอง เราเพิ่งให้เสนาหม่าไปสั่งนางกำนัลให้เตรียมรถม้า เราจะไปอารามเล่งจื๊อ”

นัยน์ตาของขันทีหนุ่มเบิกโต แทบจะก้าวมาหยุดเบื้องหน้าของจักรพรรดิหนุ่มผู้นี้ส่งสายตาร้องขอ

“เราไปไม่นานนัก อวี้เอ๋อร์ย่อมอยากเห็นท่านป้าของนางอยู่จนครบวันถือศีล ก่อนจะมีพิธีแต่งตั้งฮองเฮา อวี้จื่อ ถ้าเจ้ากังวลเรื่องนี้เราจะให้เสนาหม่าเรียกประชุมองครักษ์ทุกนาย ส่งกำลังแน่นหนารอบอารามเล่งจื๊อ”

“ฝ่าบาทโปรดพิจารณา นั่นอาจจะไม่ปลอดภัย”

หวงตี้หนุ่มคลี่รอยยิ้มในสีพระพักตร์เหมือนไม่ใส่ใจ และทำให้ขันทีคนสนิทถึงกับขบริมฝีปาก เขาไม่อาจจะปรามหวงตี้ได้แน่นอน ทางเดียวก็คือหันมาทางฮองเฮาตัวน้อยของพระองค์

“ฮองเฮาพะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าช่วงนี้หิมะตกหนักและการเดินทางค่อนข้าลำบากยิ่ง แม้คราวก่อนม้าเร็วไปส่งข่าวถึงวัดเล่งจื๊อกลับมาถึงกับต้องนอนป่วย เกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาททรงประชวรได้หาไม่หากเกิดเหตุการณ์เลวร้ายกว่านี้ ข้ากระหม่อมคงมิอาจจะมีชีวิตอยู่หากพวกพรรคมารใจกำเริบกล้าลงมือระหว่างทาง...ขอฮองเฮาทรงพิจารณาด้วยพะย่ะค่ะ”

เสวี่ยอวี้หลันเหลือบตามองขันทีผู้นี้ นางมีความคิดอย่างหนึ่งในใจ นางแน่ใจว่าขันทีผู้นี้เป็นคนสำคัญไม่น้อยสำหรับองค์หวงตี้ แต่เขาไม่ชอบหน้านาง ใช่หรือไม่?..แววตานั้นยามทอดมองมาสำรวจนางคล้ายจะไม่พึงใจหลายส่วน และยามนี้เขากลับมาขอร้องให้นางช่วยห้ามปรามหวงตี้ไม่ให้เดินทางไปอารามเล่งจื๊อ นี่แปลว่าอะไรล่ะในเมื่อฮ่องเต้คือเหนือหัวของทุกผู้คนในแคว้นเหอหนาน คุณหนูในห้องหออย่างนางจะมีปัญญาห้ามปรามพระองค์ได้อย่างไร

“ขออภัยท่านกงกง ข้าเองเป็นแค่คุณหนูเสวี่ย หาได้มีตำแหน่งใดๆไม่ ยามนี้ ตำแหน่งหวงโฮ่วนั้น เอาไว้เข้าพิธีแน่นอนเสียก่อนข้าย่อมรับไว้ได้ แต่ยามนี้ข้าเป็นแค่คุณหนูเสวี่ยของจวนไร้พ่าย มิบังอาจไปห้ามปรามผู้ใดได้ อย่าว่าแต่องค์เหนือหัวอย่างหวงตี้ของท่านเลย ท่านกงกง แม้แต่นางกำนัลคนสนิทของข้าเสี่ยวชุน จนป่านนี้ข้ายังมิได้เจอหน้านางเลยด้วยซ้ำ”ด้วยคำตอบนี้ทำให้เหยียนอวี้จื่อนั้นอ้าปากไม่ออกอีกครั้ง

“ฝ่าบาทได้โปรดพิจารณาเถิด หากพรรคมารลงมือซ้ำสองเล่า..”

องค์หวงตี้นั้นหันกายกลับไปยังสวนสนด้านนอกศาลา เขาเหลือบหางพระเนตรคมกริบนั้นไปที่ร่างน้อยใต้เสื้อฉลองพระองค์ของตนเอง เห็นแค่หวงโฮ่วของพระองค์นั้นก้มหน้ามองสิ่งอื่นเสีย หาได้สนใจที่จะสบเนตรของพระองค์ไม่ จักรพรรดิเซียวหลงแอบถอนพระทัย เขาไม่ได้เห็นดวงตากลมโตคู่นี้สบตาเขาอีกเลยนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เมื่อวานนี้ นางคล้ายอับอายส่วนหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งนั้นอาจจะมาจากความไม่พอใจก็ได้ ที่ถูกเขาปล้นจุมพิตนางโดยไม่ได้ตั้งตัว หวงตี้หนุ่มเมินพระพักตร์มาที่คนสนิทคู่พระทัยอีกครั้ง

“เอาเถอะ อวี้จื่อ อย่าเพิ่งร้อนใจ เราจะพิจารณาอีกที หากแม้ว่าหิมะตกหนักกว่านี้เราอาจจะไม่ไปก็ได้ บอกเสนาหม่ายกเลิกการเตรียมรถม้าเสีย อย่างนั้นแล้วเจ้าให้คนส่งข่าวไปที่อารามเล่งจื๊อให้กับฮูหยินซื่อหยวน เรื่องงานพิธีแต่งตั้งฮองเฮา นางย่อมเป็นคนดูแลภายในจวนนี้ได้ดีกว่าใคร เราจะพาหวงโฮ่วกลับไปพักผ่อน”

เขาสั่งการด้วยสีหน้าท่าทีเย็นชาเช่นเดิมอีกครั้ง เหยียนอวี้จื่อนั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันมาสบตากับหวงโฮ่ว มุมปากขันทีหนุ่มขยับเป็นรอยยิ้มที่เป็นมิตรเล็กๆ กระนั้นก็ตามดวงหน้างดงามของคุณหนูเสวี่ย ว่าที่หวงโฮ่วของหวงตี้นั้นกลับไม่มีท่าทีอื่นใด นางทำท่าสนใจกับสองมือเล็กที่บีบกันอยู่ใต้เสื้อคลุมสีทองอร่ามผืนนี้ เปลือกตานั้นหลุบลงต่ำ

ร่างสูงขององค์หวงตี้นั้นเดินนำไปแล้ว นางจึงได้ค่อยๆก้าวตามหลังไป ท่ามกลางรอยยิ้มจางๆของเหยียนอวี้จื่อ เขาคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องให้พระองค์ได้ทรงพักผ่อนสักระยะ เนื่องจากคืนที่ผ่านมานั้นเหตุการณ์เลวร้ายนั่นน่าจะทำให้พระองค์ได้ครุ่นคิดทบทวนให้แน่พระทัยอีกครั้ง การแต่งตั้งหวงโฮ่ว สำหรับพระองค์แล้วไม่ได้ง่ายอย่างที่พระทัยคิดไว้เลย ไท่โฮ่วย่อมหาทางขัดขวางทุกหนทาง ตำแหน่งหวงโฮ่ว ดีไม่ดีย่อมตกเป็นของแม่นางเหอทั้งสองคนนั่น แล้วแต่ว่าจะเป็นคนพี่หรือคนน้อง เหยียนอวี้จื่อเห็นนางมาแล้ว เหอหนิงเซียน งดงามยิ่งทั้งยังห้าวหาญและกิริยาก็สง่าเข้มแข็ง ส่วนเหอกู่จือหัวนั้นเล่า นางอ่อนหวานและวรยุทธสูงส่งกว่าพี่สาวหนึ่งขั้น แม้นว่าความงดงามจะเป็นรองแต่ความอ่อนหวานนั้น บุรุษมักต้องการจากอิสตรีมากกว่าสิ่งใด หากนำมาเทียบกับแม่นางเสวี่ยแล้ว..เหยียนอวี้จื่อกลับพบว่าเขาอ่านพระทัยหวงตี้ไม่ออกเลย แม่นางเสวี่ยงดงามก็จริงแต่นางมิเคยออกจากจวนไร้พ่าย ทั้งยังถูกอบรมมาโดยฮูหยินซื่อหยวนแต่เพียงผู้เดียว ฮูหยินซื่อหยวนนั้น ชีวิตหาได้มีสังคมกับบรรดาฮูหยินทั้งหลายของเสนาในราชสำนักไม่ นางเป็นแค่คู่แฝดของท่านแม่ทัพเสวี่ยหลงชวนเท่านั้น

ว่ากันว่า ยามสงครามก่อนนั้นแม่ทัพเสวี่ยออกรบยังต้องทิ้งจวนไว้ให้กับพ่อบ้านคอยดูแล ส่วนตนเองนั้นไปชายแดนกับรองแม่ทัพซื่อหยวนที่พาฮูหยินไปด้วยทุกที่ และยังหอบหิ้วเด็กเล็กอย่างบุตรชายไปด้วยนางเป็นที่ปรึกษาแก่กองทัพยามสงคราม นับว่าข่าวลือเท่านั้น สตรีอย่างฮูหยินซื่อหยวนนั้นหาได้มีผู้ใดรู้จักนิสัยใจคอของนาง ในเมื่อนางนั้นอาศัยแต่ในค่ายทหาร และยังเลี้ยงบุตรชายกับหลานสาวกำพร้าอีกหนึ่ง คุณหนูเสวี่ยอวี้หลันเติบโตมาเช่นไร ใครเลยจะรู้ได้..



นางแทบจะหลับไปแล้วกับความเย็นเยือกในศาลาแปดเหลี่ยมตรงนี้ เสวี่ยอวี้หลันทอดสายตามองเบื้องหลังของบุรุษเหนือบุรุษผู้นี้ด้วยแววตาไม่เข้าใจนัก เขาพานางออกมายืนในศาลานับครึ่งชั่วยาม โดยปราศจากถ้อยคำใดๆ ระยะห่างนั้นก็เช่นกัน ร่างสูงๆนั้นแทบไม่ได้มองหน้านางเลย ดวงเนตรคมวาววับนั้นมิได้อ่อนหวานดังเช่นคืนก่อน ราวกับว่าเป็นคนละคนกับบุคคลผู้นี้ นางเพียงแค่แปลกใจเท่านั้น แต่ยามใดที่หวนคิดถึงจุมพิตร้อนๆของหวงตี้หนุ่ม นางรู้สึกเหมือนใกล้จะเป็นไข้เข้าทุกที

จำได้ว่าเช้าวันนี้ กงกงซุนหมิงได้ส่งเหล่าต้ากงกงท่านหนึ่งมาให้นาง เพื่อสอนงานปรนนิบัติแก่นาง หนังสือจากเหล่าต้ากงกง ทำให้นางนั้นได้แต่แก้มร้อนไปหลายตลบ เมื่อเห็นภาพล่อแหลมในภาพวาดเหล่านั้น การเสพสังวาสจากหญิงชาย ท่วงท่าสรวงสวรรค์ทั้งยี่สิบสี่ชั้น นางได้แต่ตาโตกับแก้มแดงก่ำไม่เลิก การเป็นสนมนั้นไม่ง่าย แต่การเป็นถึงหวงโฮ่วนั้นเล่ายิ่งต้องยากกว่าหลายเท่า นางเพิ่งจะสิบห้าปี แต่ต้องกลายเป็นหวงโฮ่ว งานปรนนิบัติฮ่องเต้นั้น ยกให้นางสนมขั้นเฟย และสนมนางอื่นๆในวังหลังจะไม่ดีกว่าหรือ? เสวี่ยอวี้หลันนั้นหัวใจเต้นรุนแรงกับคำสอนของเหล่าต้ากงกง ที่ยามนั้นนางได้แต่นั่งฟังและทนมองภาพวาดเหล่านั้นด้วยความอดทนยิ่งยวด

ไม่คิดเลยว่าเป็นสตรีแล้วต้องยุ่งยากปานนี้ ไม่อย่างนั้นนางควรจะเกิดเป็นบุรุษอย่างพี่เฮ่อหลงจะดีกว่าหลายเท่า นางไม่ต้องร่ำเรียนตำรากงซุนให้ปวดนัยน์ตาแบบนี้ก็ได้ บุปผาย่อมมีบุรุษเห็นใจหลายส่วน พวกเขาย่อมถนอมนางเมื่อได้ออกเรือนไปกับผู้ใด แต่กับองค์หวงตี้นั้น..นางได้แต่สั่นหน้าไปมา นางมิกล้าคิดเมื่อปรนนิบัติไม่ถูกพระทัย ไม่ใช่ว่าจะถูกขับไปอยู่ตำหนักเย็นอย่างนั้นหรือ เสียงลือเล่าอ้างมาทุกกาลว่าปีๆหนึ่งนั้นมีสนมนางในล้วนตกตายในตำหนักเย็นหลายราย ส่วนใหญ่แล้วล้วนมาจากการปรนนิบัติที่ผิดพลาด..นางยิ่งคิดยิ่งกังวลมากขึ้นทุกที




จู่ๆร่างสูงในชุดสีดำทะมึนนั้นก็หันมาแบบกะทันหัน ทำให้นางนั้นแทบสะดุดล้มเพียงเพราะมัวแต่ครุ่นคิดไปไกล ร่างน้อยๆถูกแขนแข็งแรงโอบล้อมไว้เต็มอ้อมแขน เสวี่ยอวี้หลันหายใจแทบไม่ออก นางสบเนตรวาววามของหวงตี้ด้วยจิตใจที่เต้นระส่ำไม่เลิกเสียที

“ทำไมเจ้าต้องเย็นชากับเราด้วยหวงโฮ่ว หนำซ้ำยังกล้าดีบอกว่าตำแหน่งหวงโฮ่วนั้นไร้อำนาจทั้งที่ราชโองการนั้นจวนไร้พ่ายรับไปแล้ว..”สุรเสียงแข็งกร้าวนั้นดังกึกก้องในบริเวณนี้ นางอ้ำอึ้งกับท่าทีขุ่นเคืองพระทัยของหวงตี้ยิ่งนัก

“แล้วเมื่อครู่นี้เจ้ายิ้มให้อวี้จื่อ..มันหมายความว่าอย่างไร อวี้เอ๋อร์”

ดวงเนตรสีเข้มส่งทอดไอร้อนมาที่ดวงหน้าของนางอย่างคาดคั้น นางกลับคิดไม่ออกว่าเมื่อครู่นี้นางยิ้มให้ขันทีผู้นั้นยามใดเล่า นางแต่ขยับมุมปากเล็กน้อยเท่านั้นเสวี่ยอวี้หลันย่อมรู้ตนเองดีว่า นางไม่อาจจะยิ้มให้คนแปลกหน้าได้ นอกจากท่านพ่อท่านป้าท่านลุงพี่เฮ่อหลงและอาหมิงหรือแม้แต่คนในจวนไร้พ่ายแล้วนางไม่เคยยิ้มให้กับผู้ใด นั่นเพราะถูกท่านป้ากำชับมาเช่นนั้นตลอดวัยเด็ก ตอนสิบขวบนางได้ยินท่านป้ากำชับไว้หนักหนาจนกลายเป็นกฎสำหรับนางไปแล้ว หรือว่ายามนี้องค์ หหวงตี้กำลังตกอยู่ในไหน้ำส้มจนลืมพระองค์ไปหมดแล้ว นางได้แต่ครุ่นคิดถึงความผิดของตนเองแต่นางนึกไม่ออกเลยว่าได้กระทำสิ่งเลวร้ายอันใดต่อหน้าพระพักตร์ขององค์หวงตี้หนุ่มผู้นี้ ได้ยินแค่คำสั่งของฮูหยินซื่อหยวนเท่านั้นในสมองอันน้อยนิดของนางยามนี้

“ยิ้มล่มเมืองเช่นนี้ จะนำภัยมาสู่ตัว อวี้เอ๋อร์ หลานข้าย่อมหักห้ามใจไม่ให้ส่งรอยยิ้มแก่ผู้ใดได้ง่ายๆ รู้ความหรือไม่ อวี้เอ๋อร์”

“ทราบแล้วเจ้าค่ะท่านป้า อวี้เอ๋อร์จะจดจำไว้เจ้าค่ะ” แล้วนี่องค์หวงตี้กำลังกล่าวหานางใช่หรือไม่?..นางจำได้ว่านางมิได้ยิ้มให้กับขันทีผู้นั้นเลย

“หม่อมฉันหาได้ยิ้ม..”

“เจ้าขยับมุมปาก”

“นั่นไม่ได้แปลว่าหม่อมฉันยิ้มเพคะ ฝ่าบาท”

“แล้วกับเราเล่า เจ้าไม่ได้ยิ้มให้เรา..”คำถามกับสีพระพักตร์ที่เข้มข้นนั้นทำให้นางยิ่งหวาดหวั่น

“กระหม่อมยิ้มให้กับผู้คนในจวนไร้พ่ายเท่านั้นเพคะ นอกนั้นแล้วกระหม่อมมิอาจจะยิ้มให้ผู้ใด ท่านป้ากำชับไว้ว่าเป็นยิ้มนำภัยมาสู่ตนเอง หม่อมฉันไม่กล้าขัดขืนด้วยเกรงว่าจะเป็นภัยมาสู่จวนไร้พ่าย..เพคะฝ่าบาททรงเมตตาด้วย”

เสียงของนางนั้นเรียบๆฟังดูราวกับเสียงนกแก้ว แต่กลับทำให้คนฟังนั้นระคายพระกรรณยิ่งนัก

“ต่อไปเจ้ายิ้มให้แก่เราก็พอแล้วอวี้เอ๋อร์ ได้ยินหรือไม่?..เมียรัก”

ถ้อยคำอ่อนลงเล็กน้อยก่อนที่ร่างน้อยจะถูกโอบอุ้มขึ้นไปทั้งตัว ฝีเท้าเบากริบของโอรสสวรรค์นั้นก้าวสู่แท่นบรรทมในห้องนี้ด้วยท่าที สงบ เหล่ากำนัลก้าวมาเติมเตาร้อนในห้องนี้จนมันอบอุ่นพอ พวกนางล้วน

“พวกเจ้าออกไปก่อน”เสียงเอ่ยไปยังด้านข้างที่มีนางกำนัลสองนางนั้นก้มหน้าคุกเข่ารอคำสั่งอยู่ ไม่นานนัก ความสงบก็มาเยือนอีกครั้ง















รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว