ฝูซื่อฝาน : พูดกันขนาดนี้เรียกฉันว่า ยายเถอะ! (สนพ.เฟยฮุ่ย)-บทที่ 38 ตอน หมั่นโถวสวรรค์สร้างโอกาส

โดย  ฮวางจือฟาง

ฝูซื่อฝาน : พูดกันขนาดนี้เรียกฉันว่า ยายเถอะ! (สนพ.เฟยฮุ่ย)

บทที่ 38 ตอน หมั่นโถวสวรรค์สร้างโอกาส



ดวงตากรำด้วยประสบการณ์ของชายหนุ่มจับจ้อง เพ่งสะกดมองแนวกำแพงอาคมที่แผ่ขยายออกไปอย่างเงียบงัน แสงสว่างสีทับทิมเรืองรองราวเปลวไฟที่ลุกโชน คอยเผาไหม้ทุกสิ่งที่เข้าใกล้

สังเกตเห็นมันเลื่อนออกจากกำแพงเมือง ห่างออกไปหลายสิบก้าวเดิน ราวกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังแผ่ขยายอาณาเขตของมันอย่างเงียบเชียบ แต่เต็มล้นไปด้วยความน่าสะพรึง

“เมื่อวานยังประชิดติดขอบกำแพงอยู่เลย” เขาพึมพำ น้ำเสียงหนักแน่นแต่เจือด้วยความกังวล

ราวกับถ้อยคำประกาศการมาเยือน สุ้มเสียงแหวกอากาศ และแสงวูบวาบจากด้านหลังได้ปรากฏขึ้น

เขาชำเลืองกลับไปมอง ดวงตาสบเข้ากับร่างในชุดคลุมที่ยืนอยู่ตรงจุดเดิม เช่นเดียวกับวันก่อน นัยน์ตาสีทับทิมจับจ้องรูปถ่ายครอบครัวบนผนัง จดจ้องอยู่นาน หาได้แยแสคำทักทายของเขา ราวกับไม่เคยทุกข์ร้อน ปรากฏตัวตามใจชอบ ไม่แจ้งเตือน ไม่บอกกล่าว

“ข้าเห็นท่านสนใจรูปถ่ายนั่นเหลือเกิน นับได้สามครั้งแล้ว” ชายหนุ่มพูดขึ้น

ไร้เสียงตอบ คนในชุดคลุมหมุนตัวแล้วเยื้องย่าง ก้าวเข้ามายืนเคียงข้างชายหนุ่ม ทิ้งสายตามองยังกำแพงอาคมสูงตระหง่าน ส่องแสงสีเดียวกับดวงตาของตน

“อย่าได้สนใจโลกภายนอกเลย กลับมามองดูโลกของท่านเถิด” สตรีผู้อยู่ในสถานะสูงส่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง กลอกตามองชายผู้ยืนเคียง

ผมดำหยักศกยาวระต้นคอเสริมให้ ‘กฤษณะ’ ดูดิบเถื่อนเล็กน้อย ดวงตาสีดำขลับเต็มไปด้วยความกร้าวแกร่ง มุ่งมั่น เปี่ยมด้วยแววแห่งประสบการณ์ รูปร่างของเขาสูงใหญ่กำยำ กล้ามเนื้อแขนและขาโดดเด่นชัดเจน ผิวสีเข้มคล้ำจากการฝึกหนักกลางแดดยิ่งเสริมให้เขาดูเหมือนกับนักสู้ มากกว่าจะเป็นนักล่าที่เฝ้ารอคอยเพื่อลงมืออย่างฉับพลัน

ภายใต้รูปลักษณ์โดดเด่นนี้ หลายครั้งเขามักต้องปลอมตัวเป็นทหารรับจ้าง หรือไม่ก็ทาสผู้ใช้แรงงาน เพื่อลบเลือนตัวตนที่แท้จริง ซ่อนเร้นสถานะอันน่าเกรงขาม ในฐานะยอดมือสังหารระดับห้า จุดสูงสุดของภาคีแห่งฟาริสในเวลานี้



“ข้าถูกลิขิตให้ต้องตายที่นี่?”

กฤษณะชะงักเล็กน้อย เอ่ยถามอีกครั้งราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน สายตาคมนิ่งจับจ้อง ราวกับต้องการค้นหาคำตอบจากคนในชุดคลุม ความสงสัยฉายชัดอยู่ในดวงตา ไม่แน่ใจว่าเป็นความนัยหรือคำพยากรณ์

“ดังที่ข้ากล่าวไว้” รูนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ท่านหมายความว่า… ภารกิจของข้าจะล้มเหลว?”

“ภารกิจจะบรรลุหรือล้มเหลว หาได้เกี่ยวข้องกับจุดหมายปลายทางของท่าน ซึ่งถูกลิขิตเอาไว้แล้ว”

กฤษณะเม้มปากแน่น คิ้วยู่เข้าหากัน คิดทบทวนถึงบทบาทของตน

เขาถูกส่งมาแฝงตัวในบูล็องต์เป็นเวลาหลายปี ร่วมทีมกับสายลับอีกสี่คน เพื่อปฏิบัติภารกิจลับในการสืบข่าวและค้นหา ‘มณีจันทรา’ กระทั่งพวกเขาได้เบาะแสยืนยันว่ามณีในตำนานที่หายสาบสูญนั้น แอบซ่อนอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งของบูล็องต์มานานแสนนาน เมื่อนั้นการเสาะแสวงหาไปทั่วแดนดินจึงยุติลง และพุ่งเป้ามายังดินแดนหมู่เกาะเล็ก ๆ แห่งนี้

เป้าหมายถัดไปของพวกเขาคือการแทรกซึม ยึดอำนาจดยุกแห่งบูล็องต์ แต่ทุกอย่างกลับสะดุด ชะงักงัน เมื่อเคานต์ดาวิดชิงยึดอำนาจเสียก่อน ประหนึ่งขุนนางหนุ่มหยั่งรู้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่าง คาดเดาได้ภายหลังว่ามณีอสูรอาจเปิดเผยเรื่องราวกับเขา

จนเหตุการณ์นองเลือดเมื่อหลายเดือนก่อนได้เปลี่ยนทุกอย่าง ดาวิดใช้พลังของมณีอสูร อัญเชิญเหล่าปีศาจต่างมิติออกมา พวกมันสังหารชาวเมืองอย่างโหดเหี้ยมไปพร้อมกับกองทหารของภราดรภาพแห่งบูล็องต์ เหตุการณ์นั้นคร่าชีวิตสมาชิกในกลุ่มของกฤษณะ รวมถึงสมาชิกกลุ่มอื่น ๆ ที่มารวมตัวกันภายในเมืองหลวง จนเหลือเพียงเขาผู้เดียวที่ยังคงยืนหยัดในภารกิจ

แต่แล้วความหวังที่ริบหรี่ดุจเปลวเทียนใกล้มอดดับ กลับถูกจุดประกายด้วยแสงแห่งความหวัง เมื่ออัคราจารย์ส่งรูนมาช่วยเหลือเขา ทุกคนล้วนรู้ดีว่าทูตมรณะมีหน้าที่เพียงส่งข่าวสาร การที่นางเผยตัวตนและเข้าร่วมยุทธวิธี เป็นเครื่องยืนยันว่าภารกิจนี้สำคัญมากเพียงใด

“เช่นนั้นคงไม่ต้องกังวล ตราบที่ข้ายังมีลมหายใจ ภารกิจจะดำเนินต่อไป และข้าจะทำมันให้ดีที่สุด… หากข้าเพียงสงสัย ว่าเหตุใดท่านกลับเผยความลับนี้กับข้า มีประโยชน์อันใดที่ท่าน–”

“เพราะข้าคือทูตมรณะ ผู้ส่งสารแห่งความตาย”

ความสงสัยที่ฉายชัดในดวงตาสีนิลพลันคลี่คลาย

คนในชุดคลุมยกมือขึ้น ร่องรอยแห่งอำนาจสร้างเกราะอาคมขึ้นล้อมรอบห้อง พร้อมช่องว่างดำมืด ราวกับแหวกมิติแห่งกาลเวลาออก เงาดำไหววูบครู่หนึ่ง ก่อนมือเรียวยาวจะล้วงเข้าไปภายใน ดึงสิ่งหนึ่งออกมา

มันคือวัตถุไร้สัณฐานขนาดเล็กจิ๋ว ส่องแสงระยับราวผลึกแห่งดวงดาว ลอยค้างอยู่เหนือปลายนิ้วของคนสวมหน้ากาก แสงสีเงินยวงแผ่กระจายรอบตัวของมัน ส่องสว่างดุจอัญมณีจากสรวงสวรรค์ที่ไม่มีทางพบเจอบนผืนดิน

หัวใจของกฤษณะเต้นกระหน่ำ เขาจับจ้องวัตถุชิ้นนั้นอย่างไม่อาจวางตา รู้จักมันดีจนสัมผัสได้ถึงพลังที่แฝงอยู่ใจกลางดงแสง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมัน

“.....มณีปฐมกาล” คำพูดเล็ดลอดจากริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว

สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าแสดงออกถึงจิตวิญญาณ ลมหายใจ และเจตจำนงของตัวเองอย่างเด่นชัด อำนาจที่มันปล่อยออกมาชวนให้ขนลุก ความหนาวเย็นและแรงกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายออกมาท่วมท้น หากไม่มีขอบเขตอาคมของรูนที่ดึงโถงในห้องเข้าสู่ต่างมิติละก็ บางทีบ้านหลังนี้อาจถูกพลังของมันฉีกกระชากเป็นชิ้นไปแล้ว

ท่ามกลางมวลหมู่แสงอำไพของมณีลึกลับที่แผ่ซ่านรอบกาย เสียงแผ่วพร่าดุจสายลมของคนในชุดคลุมดังขึ้นสยบความคิดของชายหนุ่ม

“มหาปุโรหิตหญิงผู้ยิ่งใหญ่นั้นหยั่งรู้ได้ทุกสิ่ง มองเห็นได้ทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดจากสายตาของนาง ไม่ว่าจะเป็นความคิดอ่านของเคานต์ดาวิด ความปรารถนาลึกเร้นของมณีอสูร หรือแม้แต่จันทรา… ผู้เร้นกายมาเนิ่นนาน แอบซ่อนตัวอย่างมิดชิด หลบหนีจากสายตาทุกคู่ แม้จอมเวทบรรพกาลผู้มีญาณทิพย์ยังมิอาจค้นพบกระทั่งรอยเงา”

ดวงตาสีทับทิมสลักสัญลักษณ์มหามนตรามองชายผู้ถูกเลือก จับจ้องเขม็งชวนให้สะท้าน ราวกับจะแทงทะลุไปถึงจิตวิญญาณของเขา

“กระนั้นท่านคงทราบดี มณีปฐมกาลไม่หยิบยื่นอำนาจแก่ผู้ใดโดยปราศจากข้อแลกเปลี่ยน บัดนี้ท่านคงตระหนักถึงความหมายในถ้อยคำของข้า”

นางกล่าวต่อด้วยเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง และยิ่งเย็นยะเยือกขึ้นไปอีก ราวกับกำลังบอกให้กฤษณะทิ้งกายลงสู่หุบเหวลึกเสียบัดนี้

“นี่คือจุดหมายปลายทางของท่าน จงรับเอาพลังอันยิ่งใหญ่นี้ ถือครองมัน และใช้มันเพื่อประโยชน์ของเรา… เพื่อสันติสุขของผู้คน”


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว