บทที่ 21
ตอน เมิ่งเออร์
ท่านแม่ทัพเหม่อมองไปยังป่าใหญ่ที่นางเพิ่งย่ำเท้าหายไป ทีแรกก็คิดจะตามไปโดยไม่ลังเลแต่ในเมื่อเซียวเมิ่งมีข้อเสนอที่น่าสนใจ คนอย่างหานอิงหลิวมีหรือที่จะไม่ลองรับฟัง และที่สำคัญข้อเสนอนี้ย่อมเกี่ยวกับฝูซื่อฝาน
เมืองเจินชิว
ซอกซอยมุมมืดปรากฏร่างสองหนุ่มสาวยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น จนซื่อฝานถอนหายใจพร้อมพยักหน้าให้ชายหนุ่ม ร่างบางเดินจะออกจากซอกซอย แต่เซียวเมิ่งกลับสร้างเขตแดนขึ้นกระทันหัน หน้าผากมลของซื่อฝานชนเข้าอย่างจัง
“ท่านจะเอาอะไรกับข้าอีก!”
ร่างบางยืนประจันหน้าเซียนสวรรค์ที่มองนางด้วยสายตาเยือกเย็นทรงอำนาจต่างจาก ก่อนหน้าที่ตะโกนใส่หานอิงหลิวเป็นไหนๆ
ฝีปากงามเม้มปิดทันควัน สายตานางไล่มองบุรุษตรงหน้าเต็มตาก่อนประสานฝ่ามือคารวะอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม “ข้าผิดไปแล้ว ขอฝ่าบาท...”
“ช่างเถิด” เซียวเมิ่งโบกมือเป็นนัยปล่อยผ่าน “เรื่องที่แล้วมานั้นข้าไม่ถือสา ถึงอย่างไรการที่ตีสนิทกับเจ้าก็ไม่ได้เสียหาย อีกอย่างถ้าข้าไม่ตีสนิทกับเจ้า เจ้าจะไว้ใจข้าแล้วยอมเชื่อฟังข้าได้เท่ากับตอนนี้รึ แม้จะเป็นเวลาสั้นๆก็เถิดแต่จงรู้ไว้ว่ามิตรภาพที่ข้ามอบให้เจ้าย่อมไม่สูญเปล่า”
...จริงๆฉันก็รู้อยู่แล้วแหละว่าเขาคือ เจี้ยนเซียวเมิ่ง เง็กเซียนฮ่องเต้สวรรค์ก็ตอนท้ายบทประพันธ์เขียนแบบนั้น จริงๆก็ไม่แปลกถ้าฉันจะยอมฝากชีวิตไม่กี่วันผ่านมาไว้ที่พระเอกของเรื่อง เพราะมันทำให้อุ่นใจกว่าเยอะยังไงล่ะ…
ซื่อฝานยิ้มพลางพยักหน้าเห็นด้วย “ว่าแต่ทำไมท่านถึงติดสนิทกับข้า อย่าอ้างว่าเพื่อใช้ให้ข้าไปเอาหยก...เพราะตอนนี้ข้าก็ไม่มีหยก และดูเหมือนว่าท่านจะไว้ใจหานอิงหลิวเหมือนกันนะ...”
“อืม...จะว่าไปเจ้าก็เป็นคนช่างสงสัยมากจริงๆด้วย...” เซียวเมิ่งเบะปากเลิกคิ้วพยักหน้าให้ซื่อฝานเป็นกันเอง “ความจริงถ้านับกันตามอายุ ข้าก็ไม่ได้สนิทกับเจ้าหรอกเพราะข้าเกิดไม่ทัน...”
ซื่อฝานอ้าปากค้างคิ้วกระตุกพูดไม่ออกทำได้เพียงขบคิดอยู่ในหัว อำกันเล่นหรือเปล่า! เขาเนี่ยนะเกิดไม่ทัน! ฮ่า! ก่อนโดนไฟช็อคฉันน่าจะพกใบเกิดมาด้วย!
เซียวเมิ่งเห็นท่าทีคนตรงหน้าน่าขันจึงเก็บอาการเผยรอยยิ้มออกมาเพียงเสี้ยวก่อนกล่าวความต่อ “จริงๆนะข้าเกิดไม่ทันจริงๆ” คำพูดนี้ตอกย้ำอายุหญิงสาวเป็นอย่างดี “แต่คนที่รู้จักเจ้าก็มี…แต่เหลือน้อยแล้ว ส่วนคนที่รู้จักเจ้าจริงๆก็...ไร้กายหยาบดวงจิตลอย...อยู่ไหนไม่รู้” ชายหนุ่มยักไหล่กว้างตีหน้านิ่งเฉย “ซึ่งคนที่รู้จริงย่อมไม่ใช่ข้า...”
ประโยคยังพูดไม่ทันจบ ซื่อฝานยกมือห้ามพลางใช้นิ้วกลางและนิ้วโป้งนวดคลึงขมับของตนอย่างเบามือ “พอเถิด”
หญิงสาวบอกปัดทันควัน
“ก็ข้าเห็นว่าเจ้าสงสัย”
เขาพูดถูกนางสงสัยจริง แต่ถ้าสงสัยมากไปปัญหาคงตามมาอีกเป็นโขยง “ข้า...หายสงสัยแล้ว”
ใบหน้างามเผยรอยยิ้มอันปกปิดความอยากรู้อยากเห็นของนางไม่มิดจริงๆ
“เหรอ? ข้าว่าความอยากรู้อยากเห็นของเจ้ามันอยู่ใน…”
“สันดาน…” ซื่อฝานตัดบท “ที่ท่านพูดมาก็เหมือนกับว่ารู้จักข้าดีอยู่นะ” แววตานางมองคนตรงหน้าพร้อมอมยิ้มแลดูเป็นมิตร
เซียวเมิ่งถอนหายใจฝ่ามือไพล่หลังเหยียดตรง ทำให้ร่างกายดูสูงสง่างามยิ่งกว่าเก่า “เจ้าเป็นแม่ทัพแดนสวรรค์”
อืม...ฉันเริ่มไม่แปลกใจละว่าทำไมถึงถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ
แววตานางเบิกกว้างเลิกคิ้วดูไม่ตกใจสักนิด “มีแค่นี้รึ?”
เสียง หึ ดังทุ้มในลำคอ สองเท้าก้าวเข้าหานางด้วยสีหน้าท่าทางฉงนอยู่เต็มอก “เจ้าไม่ตื่นตกใจรึ?”
“ทุกวันนี้ข้าก็เจอเรื่องน่าตกใจมามากพอละ...ข้ารวบยอดตกใจในคราเดียวไปแล้วด้วย” ริมฝีปากผ่อนลมหายใจ เหลือกตามองบนต่อหน้าเง็กเซียนฮ่องเต้อย่างลืมตัว
ท่าทีเป็นกันเองของนางทำลายความเคร่งครึมที่พยายามสะสมมานานวันของเซียวเมิ่งลงฉับพลัน จนชายหนุ่มต้องแอบหลุดยิ้มจนหันหน้าหนี
มือเรียวเอื้อมคว้าชายแขนเสื้อเนื้อผ้าดีเพื่อเรียกให้เทพเซียนมากบารมีผู้นี้เลิกหลุดขำเสียที ซื่อฝานขมวดคิ้วมองเห็นว่าเง็กเซียนฮ่องเต้ผู้นี้ออกจะกวนประสาทอยู่ไม่น้อย นางจึงถามว่า “ในเมื่อท่านบอกว่าข้า...”
ไม่อยากจะยอมรับเลย!
“...เป็นแม่ทัพแดนสวรรค์...จะเชื่อถือได้เท่าไรเชียว”
“เจ้าสงสัยข้าที่เป็นถึงเง็กเซียนฮ่องเต้สวรรค์น่ะรึ?” ใบหน้าหล่อเหลาหันมองจับจ้องซื่อฝานอย่างไม่สบอารมณ์
ซื่อฝานรีบเก็บลิ้นนุ่มเสียมิดชิด แหม่...ตอนบทในเรื่องก่อนนายจะมาเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ นายก็พูดสร้างวีรกรรมไว้ไม่เบาเหมือนกันแหละ
“ไม่กล้าๆ” วาจาที่กล่าวออกมาช่างตรงข้ามกับสิ่งที่นางคิดเสียส่วนใหญ่ “เมื่อข้าเป็นอย่างที่ท่านว่า ทำไมท่านถึงไม่ช่วยเหลือข้าให้เร็วกว่านี้เล่า ข้าเป็นแม่ทัพแดนสวรรค์ของท่านไม่ใช่รึ?”
ถ้าช่วยกันตั้งแต่แรกแม่ทัพฝูคนก่อนก็คงไม่ต้องหนีตาย แปลงกายเป็นยายแก่หน้าหม่นหมองขนาดนี้หรอก
“เจ้าเป็นแม่ทัพแดนสวรรค์ก็จริง แต่ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของข้า”
“แล้วข้าอยู่ใต้อาณัติของใครเล่า?” หญิงสาววางตัวเค้นข้อมูลหลงลืมฐานะฝ่ายตรงข้ามอีกครา
“ไม่รู้” คำพูดเรียบง่ายเอ่ยออกมาอย่างคล่องแคล่ว “เรื่องที่ข้ารู้ก็มีเท่านี้ ถ้าอยากรู้เพิ่มก็สืบหาความจริงจากผู้อื่นแทนเถิด” เซียวเมิ่งว่าความจริงออกมาทุกประการ
“ช่างเถิด ไว้ข้าพร้อมกว่านี้ค่อยสงสัยต่อก็ได้” ซื่อฝานละทิ้งความฉงนอย่างไวเหมือนก้อนน้ำแข็งที่ละลายอยู่กลางแสงแดดจ้า ถ้าว่าตามความเข้าใจของซื่อฝานแล้ว นางเห็นว่าเรื่องออกจะน่าลึกลับวุ่นวายอยู่ และดูเหมือนว่าทุกอย่างที่นางยืนฟังมานั้นหลักฐานที่จับต้องได้ก็ไม่มี มีแต่คำพูดปากเปล่ายากจะปักใจเชื่อ
เหมือนเล่นเกมสืบสวนสอบสวนเลย ฉันจะถือว่าเรื่องพวกนี้เป็นเควสรองละกัน
เซียวเมิ่งถอนหายใจเหนื่อยจิตอยู่ไม่น้อย คิดไม่ตกอีกต่างหาก บางทีเขาก็อยากจะให้นางดื่มยาประสานดวงจิตให้เป็นหนึ่งเดียวจะได้มีความจำจริงๆอยู่ในหัวของนางเสียที แต่ถ้าให้นางดื่ม ผลข้างเคียงคงร้ายแรงยากจะช่วยชีวิต
ร่างอรชรหมุนกายเดินจากไป ใบหน้างดงามเด่นชัดใครได้ยลโฉมย่อมรู้ว่านางมีชื่อเสียงเลื่องลือด้านก่อกบฏอยู่อันดับหนึ่งของพิภพ ถ้าออกไปสภาพนี้มีหวัง…
“ช้าก่อน” เสียงทุ้มดังขึ้นจากข้างหลัง “เจ้าคงไม่อยากหัวโขกอีกหรอกรอบนะ”
ประโยคหวังดียับยั้งฝีเท้าซื่อฝานทันการ หญิงสาวหันมองคนเบื้องหลังพลางปรายตาบอกให้อีกฝ่ายคลายเขตแดน “ไหนว่าจะพาข้ากลับบ้าน”
“พากลับน่ะพาไปแน่ แต่ถ้าเจ้าไปสภาพงดงามขนาดนี้ รับลองไม่ถึงหนึ่งเค่อหัวเจ้าหลุดออกจากบ่าแน่” เซียวเมิ่งเดินเข้าหาซื่อฝานก่อนสะบัดชายแขนเสื้อผ่านใบหน้างามว่องไว
สายลมเย็นพัดผ่านใบหน้างดงามถูกเก็บซ่อน ความแก่ชรายึดครอง ร่างสูงสง่าดั่งพญาหงส์แปรเปลี่ยนเป็นเหมือนต้นไม้แห้งเหี่ยวต้นหนึ่ง หลังมือเหี่ยวย่นในทันตา ซื่อฝานเลิกแขนเสื้อขึ้นเพ่งมองการเปลี่ยนแปลงยากจะทำใจ “อีกแล้วรึ?”
“ใช่ อีกแล้ว แต่ใช่ว่าเจ้าจะกลับมาอยู่ในสภาพจริงๆเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้” เซียวอธิบาย “ข้าทำให้พลังปราณที่เจ้าผนึกไว้ฟื้นคืน ฉะนั้นแค่ใช้พลังปราณบางส่วนแปลงกายก็ไม่ได้เสียหาย แต่ว่าอย่างไรมันก็เป็นวิชาชั้นสูง เจ้าก็เป็นถึงแม่ทัพส่วนตัวของคนผู้หนึ่งที่อยู่เบื้องบน ข้าว่าอย่างไรท่านผู้นั้นก็ต้องเคยสอนเจ้าบ้างแหละ”
"เวลาเจ้าใช้ปราณเซียนจิตต้องสงบนิ่ง มุ่งมั่นตั้งใจ นึกถึงผลที่จะตามมา นึกถึงสิ่งที่ต้องกระทำเพียงแค่เจ้าสะบัดชายแขนเสื้อปราณเซียนที่เจ้าต้องการก็ใช้ได้แล้ว……"
“ไหนท่านบอกว่ามันเป็นวิชาชั้นสูงไม่ใช่รึ ทำไมไม่เห็นยากเลย”
“เพราะข้าเป็นคนสอนเจ้าไงล่ะ”
"..." ซื่อฝานหน้าซีดจุ่ๆก็นึกถึงเสียงอันคุ้นเคยขึ้นมา มีใครคนหนึ่งเหมือนจะเคยสอนนาง...แต่เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่เหมือนมีนางเพียงคนเดียวที่ได้ยินอีกด้วย
"ซื่อฝาน เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่?" ประโยคร่ายยาวนั้นนางขอยอมรับเลยว่า ไม่ได้ยิน ใบหน้าซีดเผือกของหญิงสาวดูน่ากังวล เซียวเมิ่งเอื้อมแตะๆหลังมือย้น ก่อนจะชัดมือกลับปานสายฟ้าฟาด "ตัวเจ้าเย็นเหมือนอยู่ในน้ำแข็งเลย"
อะ...เอาแล้ว ถ้าจะมาสอนกันด้วยเสียงแล้วไม่มีตัวไม่ต้องมา…
หญิงสาวในร่างคนชราขยับกายยืนเคียงข้างชายหนุ่มไม่ห่าง สายตานางกวาดมองไปทั่วซอยทึบยาว "ฟังๆ เมื่อครู่ได้ยิน"
"เจ้าแน่ใจนะ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่" อาการหวาดระแวง ขนแขนตั้งชัน ทำให้เซียวเมิ่งขมวดคิ้วมองหญิงชราข้างๆอย่างนึกสงสาร
"ถ้าเจ้าไม่รีบพาข้ากลับบ้าน ข้าจะสติแตกแล้วนะ"
นางยื่นคำขาดแบบนี้ออกจะใจเด็ดไปหน่อยเพราะดูจากท่าทางที่ลุกลี้ลุกลนแล้ว นางก็น่าจะเริ่มจะสติแตกจริงๆ เซียวเมิ่งจึงเอ่ยตัดบทซื่อฝานเสียทันทีถือเป็นการใช้โอกาสตรงหน้าไม่ให้สูญเปล่า
"ข้าพาเจ้ากลับบ้านแน่ ถ้าเจ้ารับปากว่าจะไปฝึกกระบวนท่า และพลังปราณกับหานอิงหลิวที่ค่ายทหารที่เขตชายแดนเมืองเจินชิวตกลงไหม"
"ไม่" เสีองแหบชรารีบเอ่ยทันควัน
"ทำไม?"
หญิงชราถอนหายใจ "ข้าไม่อยากเจอ…" คำว่าไม่อยากเจอทำให้นางกลืนน้ำลายตัวเองแทบสำลัก เพราะลืมไปเสียสนิทเลยว่าคนผู้นั้นต้องมาเรียนวาดรูปกับนาง
ซื่อฝานนิ่งเงียบคิดหนัก จะว่าไปแล้วนางก็สอนท่านแม่ทัพโดยที่ไม่ได้คิดเงินสักแดงเดียว…อืม…ถ้านางตกลงฝึกฝนวิชาด้านที่เขาถนัด นางก็จะได้ไม่ขาดทุนเผลอๆได้กำไรก็ออกจะคุ้มค่าอยู่ไม่น้อย
“ข้าตกลงก็ได้” คำตอบเปลี่ยนไปเพียงเงียบไปไม่กี่วิ
“แต่ข้าขอฝึกกับเขาหนึ่งวันต่อหนึ่งอาทิตย์” นางยื่นข้อเสนอ
เซียวเมิ่งส่ายหน้าปฏิเสธทันที “สามวันต่อหนึ่งอาทิตย์”
“แต่ข้ามีสอนนะ”
“ถ้าอย่างงั้นเจ้าก็ต้องกลับไปบอกศิษย์แล้วละว่าเปิดสอนเพียงสี่วันต่อหนึ่งอาทิตย์” เซียวเมิ่งยื่นคำขาดบ้าง “อย่าคิดต่อรองไม่อย่างนั้นข้าจับเจ้าไปค่ายชายแดนเจินชิวตอนนี้เลย”
ซื่อฝานปิดปากอย่างเชื่อฟัง แต่สีหน้านางกลับบูดบึ้ง ยิ่งนางอยู่ในคราบหญิงชรายิ่งตลกเข้าไปใหญ่
“จะ…กลับบ้านหรือไม่” เซียวเมิ่งพยายามกลั้นหัวเราะสุดกำลังก่อนปลดเขตแดนลง
“กลับ!” นางตอบรับ
“นี่กระบี่ของเจ้า” ชายหนุ่มรีบยื่นกระบี่มาขวางหน้าซื่อฝาน นางคว้ากอดไว้แน่นเหมือนยายแก่คลั่งสงครามไม่มีผิด
กระบี่ที่เคยกอดแน่นแนบอก บัดนี้นางกลับใช้มันเป็นไม้เท้าประคองร่างเวลาเดินไปเสียแล้ว เซียวเมิ่งสวมหมวกฟางปิดบังใบหน้า สายตาเหลือบมองการกระทำอันพิลึกพิลั่นของหญิงชราพร้อมส่ายหน้าไปมา กระบี่คู่กายนับเป็นอาวุธสังหารฆ่าฟันอย่างเลือดเย็นเปรียบเหมือนนิสัยเจ้าของ แต่ดูเหมือนว่ากระบี่ของนางใช้ประโยชน์ได้มากกว่าสังหารคนแล้ว
ชายหนุ่มใต้หมวกฟางเอื้อมมือแตะประคองยายแก่ ผู้คนเดินผ่านไปมาต่างเอ่ยปากทักทายหญิงชรา บ้างก็ว่าชายหนุ่มผู้นี้คงเป็นบุตรชายของนางที่พลัดพรากจากกันมานาน
ซื่อฝานกัดฟันปั้นหน้ายิ้มให้ทุกคน
“ท่านยาย หนังสือที่ท่านวาดเล่มต่อไปเมื่อไรจะได้อ่านรึ?”
ใบหน้ายิ้มหุบหายไปทันควัน “หลายวันมานี้ข้าต้องแบกสังขารออกไปนอกเมืองเพื่อไปเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อเขียนเล่มต่อนี้แหละ” เสียงแก่ชราเอ่ยอธิบายสั่นระริก ทำให้ผู้คนเห็นใจอยู่ไม่น้อย “ต้องขออภัยพวกเจ้าด้วย ช่วงนี้สุขภาพของข้าก็ใช่ว่าจะดี”
“ไม่เป็นไรท่านยายพวกข้ารอได้ ท่านต้องพักผ่อนให้มากๆจะได้มีแรงเขียนต่อ งั้นข้าไม่รบกวนท่านแล้ว” ชาวบ้านแยกย้ายไปคนละมุม
กลับไปฉันจะรีบนั่งรีบนอนทันทีเลย! จะได้มีแรงวาดให้เสร็จ รู้สึกผิดจริงๆที่ไม่ได้วาด!
หญิงชราเร่งฝีเท้าก้าวถี่ๆ จนแลเห็นทางเบื้องหน้าที่คุ้นเคย อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะได้นั่งพักนอนพักแล้ว!
“แม่นางฝู!”
เสียงแหบชราตะโกนดังลั่น ทำเอาเรื่องเงินแปดร้อยตำลึงที่เหมือนจะลืมเลือนกลับมาเปล่งประกายในความคิดชวนเครียดอีกครั้ง
เซียวเมิ่งเหลือบตามองไปทางต้นเสียง ชายชราโบกมือทักทายมาหาซื่อฝานอย่างเป็นกันเอง ทว่าสีหน้าของนางยามนี้ดันซีดเสียวเหมือนเห็นผี
“ฝ่าบาท” นางเอ่ยกระซิบ “ข้าขอหยิบยืมเงินแปดร้อยตำลึงจากท่านได้หรือไม่”
คิ้วได้รูปเลิกขึ้นก่อนเขาหันมองไปมาระหว่างซื่อฝานกับชายชราผู้นั้น “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า”
“ท่านไม่สงสารหญิงแก่อย่างข้ารึ?” แววตาอ้อนวอนส่งถึงหนุ่มข้างกายสุดกำลัง
เซียวเมิ่งตบบ่าของหญิงชราอย่างเบามือ “ไม่” เขาว่า “ข้าสงสารตัวเองมากกว่า ข้าไม่อยากนอนนอกห้อง”
ร่างบางผงะเลิกคิ้วแปลกใจ นางไม่คิดว่าเง็กเซียนฮ่องเต้อย่างเซียวเมิ่งจะมีมุมนี้ด้วย
“กลัวเมียว่างั้น” นางกระซิบตอบ
“เจ้า!” เซียวเมิ่งส่งเสียงกัดฟันเอ่ยเหมือนอยากจะบีบคอซื่อฝานที่สุด
หญิงชราเอื้อมมือตบบ่ากว้าง “ข้าเข้าใจ ทำดีแล้ว ฮึๆ” นางพยายามกลั้นหัวเราะพร้อมโบกมือให้เจียงเหอตามมารยาท
ยิ่งเข้าใกล้เจียงเหอมากเท่าไรใจซื่อฝานแทบอยากจะร้องไห้ เรื่องเงินทองสะสมตอนทำงานกว่าจะได้มาแปดร้อยตำลึงคงเป็นฝัน เพราะทุกอย่างที่มีตอนนี้ยังมีไม่ถึงร้อยตำลึงเลย! สองเท้าก้าวเดินเหมือนจะหนักอึ้งทุกคราริมฝีปากเม้มแน่นเครียดจัด กิริยาท่าทางของนางตรงข้ามกับเซียวเมิ่งเสียสิ้นเชิง
ไอปราณเซียนเข้มข้น เซียวเมิ่งเร่งฝีเท้าก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าชายชราต่างจากซื่อฝานที่เดินเหมือนสัตว์ขาสั้น
เซียวเมิ่งจ้องเจียงเหอนิ่งงัน ปราณเซียนแกร่งขนาดนี้กลับเป็นเพียงชายชราใกล้สิ้นอายุขัยคนหนึ่ง เจียงเหอเงยหน้ามองบ้าง มุมปากนั้นค่อยๆยกยิ้มแววตาสุกใสกลับจ้องดวงตาเซียวเมิ่งไม่สะทกสะท้าน ฝ่ามือที่ไพล่หลังของเจียงเหอพลังลดเขตแดนที่คลุมบ้านซื่อฝานอย่างเบามือ ชายหนุ่มรีบหันมองตามเขตแดนที่ค่อยๆจางหาย เขตแดนแกร่งกล้าขนาดนั้นชายชราผู้นี้คงไม่ใช่เซียนทั่วไปแน่
กลิ่นอายปราณเซียนของคนผู้นี้เหมือนกับหานอิงหลิวไม่มีผิด
“เจ้า…”
เจียงเหอตัดบทชายหนุ่มอย่างว่องไว ทว่ารอยยิ้มยังคงยิ้มกริ่ม “แม่นางฝู ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครรึ?”
สองบุรุษยืนประจันหน้ากันคนหนึ่งแก่คนหนึ่งหนุ่ม สายตาคมก็จ้องกันแทบจะทะลุปรุโปร่ง ซื่อฝานถอนหายใจคว้าแขนเซียวเมิ่ง “คนนี้รึ…ฮ่าๆ…หลานชายข้าเอง ข้าเรียกข้าว่าเมิ่งเออร์”
“หา?” เซียวเมิ่งขมวดคิ้วฉับพลัน
“จะหาอะไรเล่า เมิ่งเออร์” ซื่อฝานยิ้มแป้น “หลานชายสงสารข้าเลยมาส่ง เอาล่ะข้าถึงบ้านแล้วเมิ่งเออร์อยากจะอยู่ต่อหรือไม่”
“รบกวนท่านยายแล้ว” เซียวเมิ่งกัดฟันยิ้มตอบพลางกระซิบ “เมิ่งเออร์ขอให้ท่านโชคดีกับสามวันต่อหนึ่งอาทิตย์”
“ฮ่าๆ” หญิงชราหัวเราะเสียงแหบเสียงแห้ง แต่ก็นึกสงสารตัวเองที่ต้องเผชิญกับอนาคต
“กล้าเรียกข้าเมิ่งเออร์ ถือว่าใจกล้ามาก” เสียงกระซิบของเขาชวนผวาสุดๆ
ซื่อฝานกลืนน้ำลายฝืนยิ้มโบกมือให้เจียงเหอก่อนจะโบกมือไล่เซียวเมิ่ง นางยื่นเท้าก้าวข้ามประตูจวนไปแล้วหนึ่งข้าง แต่ใบหน้ายังคงจับจ้องกลัวจับใจว่าเซียวเมิ่งจะมีเรื่องกับเจียงเหอ ยิ่งชายชราผู้นี้มีอารมณ์หึงหวงง่ายเสียด้วย
เซียวเมิ่งหันหลังเดินกลับทางเดิมพร้อมเก็บงำความสงสัยไว้มิด
ความโล่งใจก่อตัวขึ้นทันควัน แต่ก็หดหายอย่างว่องไวเหมือนกัน เมื่อเจียงเหอหันมองนางพร้อมโปรยยิ้ม เพียงเห็นรอยยิ้มของชายชราเรื่องเงินแปดร้อยตำลึงก็โผล่มาแล้ว
ซื่อฝานรีบก้าวเท้าเข้าประจวนพร้อมปิดประตูสนิท
“วันนี้ข้าอุตส่าห์ไม่ทวงเงินที่ยืมไป ถือว่าเห็นแก่ไอ่หนุ่มเทพเซียนที่มาส่งเจ้าละกัน” ชายชราพูดคุยกับตนเองก่อนหันกายเข้าจวนไปอย่างสบายใจ
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว