บทที่ 15
ตอน เปลี่ยนใจ
ท้องฟ้ามืดมัวกลุ่มเมฆปกคลุมแสงจันทร์พลังมารมังกรปั่นป่วนบันดาลโทสะระบายความโกรธอย่างรุนแรง สายลมโหมกระหน่ำไม่เกรงกลัวสวรรค์ กระบี่สีดำสั่นสะท้านกรีดร้องล่อสายฟ้าฟาดท้าทายพลังเบื้องบน แต่นั้นเป็นเพียงกระบี่ ความจริงผู้ที่ท้าทายอำนาจสวรรค์อย่างถ่องแท้ก็คงไม่พ้น หานอิงหลิว
เมื่อครู่สองเท้าก้าวข้ามร่างอรชร รองเท้าเนื้อดีเหยียบย้ำโลหิตสีแดงฉานที่นองพื้น ดวงตาสีแดงเข้มเพียงแค่ชําเลืองมอง จวบจนข่มจิตให้แน่นิ่งแผ่นหลังเยียดตรงสูงสง่ามากบารมียิ่งกว่าตำแหน่งท่านแม่ทัพมารที่เป็นอยู่เสียอีก
ดูผิวเผินท่านแม่ทัพนั้นออกจะโหดเหี้ยมเหมือนคนเลือดเย็นที่ชอบเหยียดหยามผู้อื่นได้แม้กระทั่งสตรี ซึ่งนั่นเป็นเพียงเบื้องหน้าไม่มีใครรู้หรอกว่าความจริงเขาคิดอะไรในใจ
ถนนสายหลักผู้คนเดินครึกครื้นจับจ่ายยามค่ำคืน ท่านแม่ทัพยืนแน่นิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้าอันดำมืดก่อนถอนลมหายใจหลับตาแน่น
ภาพร่างอรชรถูกกระบี่ทมิฬฟันเลือดไหลอาบนองเต็มพื้น เขายังคงจดจำสายตาโหยหาของนางได้ไม่เคยลืม ภาพนั้นคอยย้ำเตือนความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจอยู่ตลอดเวลาว่า การที่เสียคนข้างกายอย่างนางไปมันเจ็บปวดเพียงใด หานอิงหลิวเม้มริมฝีปากแน่นจนซีดขาว
“ถึงแม้ข้าจะป่วยเจียนตายใกล้ดับขันธ์ ข้าก็จะอยู่ตรงนี้อยู่ข้างเจ้าไม่ไปไหน...ไม่ว่าเจ้าอยากได้อะไรข้าก็จะทำให้และปกป้องเจ้าตลอดไป...หลงมี่”
เสียงทุ่มนุ่มของบุรุษเอ่ยทวนความทรงจำที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่เกิดมาหานอิงหลิวจำได้ดีว่าตนไม่เคยป่วยเจียนใกล้ดับขันธ์อะไรขนาดนั้น แต่คำพูดนั้นกลับทำให้เขาน้ำตาคลอ หยดน้ำตาเอ่อล้นผ่านแก้มฝ่ามือหยาบปัดเช็ดน้ำตาพลางมองเม็ดน้ำตาของตนที่ไม่เคยจะหลั่งไหล
"ทำไมกัน...ทำไมคราวนี้ข้าถึงทิ้งเจ้าไม่ลง"
ร่างอรชรนอนจมกองเลือดเหมือนคนตายซาก ลมหายใจเหนื่อยอ่อนไร้เรี่ยวแรง
สายตาขุ่นมัวพยายามเพ่งมองทุกฝีก้าวของคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินมาทางตน
ความอุ่นโอบกอดร่างบางไว้พร้อมช้อนอุ้มคนตัวเบาทันควัน
ใจจริงซื่อฝานอยากจะถามผู้มาใหม่จริงๆว่าเป็นใคร? แต่หญิงสาวดันพูดไม่ออกแค่แรงหายใจก็แทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว
"โทษที...ที่ข้าลืมเจ้าไว้"
อ้อ...เป็นเขานี่เอง...แต่คำพูดนั้นเป็นข้ออ้างที่ห่วยแตกที่สุด...อ้างลืมการบ้านมาส่งยังน่าฟังกว่าอีก!
ในใจโวยวายแทบจะกรีดร้อง แต่นางคงทำได้แค่หลับตาพักในอ้อมกอดของเขา
รุ่งสางยามเหม่า เมืองเจินชิว
ลมเย็นยามเช้าพัดผ่านท้ายทอยปลายเส้นผมพลิ้วไหว ชายหนุ่มแขนขาดนั่งพิงประตูไม้พร้อมยืดเท้า เหลือบตามองผลงานที่ร่วมกันสรรค์สร้างกับสาวงามไปเมื่อไม่นาน
กลิ่นคาวเลือดคลุ้งโชยไปทั่ว ทว่าหลิวเหว่ยยินดีใช้ปราณมารสร้างเขตแดนปิดกั้นเพื่อไม่ให้กลิ่นคลุ้งไปที่อื่นจนชาวบ้านแตกตื่น ส่วนสภาพศพตรงหน้าไม่อาจหลอกตาได้ ในเมื่อนางไม่คิดจะมาช่วยกันทำความสะอาดก็อย่าหวังว่าเขาจะเป็นคนรับใช้ก้มหัวทำแทน ร่วมทำก็ต้องร่วมรับผิดชอบ
หลิวเหว่ยกอดอกเอนกายพิงประตูมองซากศพอย่างสงบนิ่ง ความเคยชินอย่างทหารผ่านศึกเช่นเขาไม่มีปัญหาแม้แต่น้อยในเรื่องเข่นฆ่าหรืออยู่กับศพ ถ้าให้เดาเทพเซียนงามผู้นี้คงไม่ชิน…
ในห้องยายแก่
สองมือกุมขมับจมูกสูดอากาศเข้าออกฟืดฟัดคัดโพรงจมูกไม่หาย
"ได้เวลาที่ข้าจะมาเปลี่ยนตัวกับเจ้าแล้ว" หมอกสายลมขาวหอบหนึ่งปรากฏอยู่ในห้องแคบทันทีพร้อมมอบรอยยิ้มเทพชะตาให้หญิงสาวอย่างเบิกบาน "ลี่จิ่น ข้ารับปากเจ้าอย่างเต็มใจว่าจะไม่พูดเรื่องนอกห้องของเจ้ากับชายผู้นั้น…" เจิ่นหมิ่นนิ่วหน้าจวนจะเป็นลม พร้อมแลมองหญิงงามที่นั่งหน้ามุ้ย
นางสะบัดแขนเสื้อยกขึ้นปิดจมูกอยู่ตลอด “ถ้าไม่ติดว่าท่านเป็น...ช่างเถิด!” ลี่จิ่นอยากจะสาดคำพูดนับร้อยคำใส่หน้าเทพชะตา แต่อย่างไรก็ต้องกลืนมันลงท้องเพราะเขาถือว่าเป็นผู้มีพระคุณของนาง ทว่าประโยคก่อนหน้านี้เรื่องนอกห้องทำเอาลี่จิ้นขมวดคิ้วลั่นวาจาโต้แทบไม่ทัน "เจ้าพูดเหมือนกับว่าข้ากับเขามีอะไรกันนอกห้อง!"
"เจ้าพูดเองนะ ข้ายังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นเลย" เจิ่นหมิ่นยักไหล่ล้อเลียน "แต่ไม่แปลกที่เจ้าจะพูดแบบนี้ เพราะในหัวเจ้าเอาแต่คิดเรื่องพรรค์นั้นอยู่เลย" เทพชะตาพยักหน้าภูมิใจในข้อสันนิษฐานของตนเองไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเวลาเขาไปเยี่ยมลี่จิ้นที่ตำหนักสวรรค์ มักจะเห็นนางนั่งบ่นพึมพำเกี่ยวกับฉากอย่างว่าในนิยายที่อ่านเสมอ เช่น จะตัดเข้าโคมไฟทำไม! จูบกันให้นานกว่านี้สิ!
มุมปากงามกระตุกยิ้มยอมรับ “แน่ล่ะข้าไม่มีสามีมากี่ปีแล้วนะ…” ลี่จิ่นยืนนับนิ้วคำนวณเป็นจริงเป็นจัง
“เจ้าไม่เคยมีเลยต่างหาก...เจ้าไม่มีสามีตั้งแต่เกิด...เข้าใจตรงกันนะ” เทพชะตากล่าวตอกย้ำความจริงไม่ได้พูดเล่น ถ้านับกันตามอายุลี่จิ่น นางยังอายุน้อยนิดถ้าเทียบกับตนเองแล้ว “ข้าจำได้ เจ้าอย่ามีข้ออ้าง”
หญิงสาวกระแทกพู่กันในมือว่างบนโต๊ะไม้ดังสนั่น “ช่วยปลอบกันหน่อยก็ได้...ไม่ต้องตอกย้ำ”
“อย่างไรเจ้าก็เห็นข้าเป็นสหายต่างวัยอยู่แล้ว...จะพูดอ้อมโลกไปทำไม” เจิ่นหมิ่นยันกายลุกจากเตียงก่อนเอื้อมมือตบไหล่สหายต่างวัยอย่างแผ่วเบา
เทพพู่กันถอนหายใจพร้อมเอ่ยอย่างเด็ดขาดเพื่อแก้ต่าง "จะว่าไปข้าไม่มีสามีก็ไม่เห็นเป็นอะไร"
"อืม...เจ้านี่ใจร้อนตัดปัญหาไม่เอาสามีว่องไวจริงๆ" ใบหน้าหล่อเหลาส่ายไปมาก่อนเหลือบตาไปที่ประตูไม้ "ไม่แน่ชายหน้าประตูอาจจะเป็นสามีเจ้าในอนาคตก็ได้นะ"
"หึ ตลก!" เสียงหวานในลำคอเปล่งออกมาได้น่ารังเกียจ "ก่อนถึงวันนั้นสามวันฆ่าข้าเถิด"
นางว่าตามความรู้สึกจริงไม่ลังเลสักนิด ทำเอาเจิ่นหมิ่นเทพชะตามากเรื่องราวผู้นี้ถึงกับเกาหัวให้ความคิดสั้นของสหายตรงหน้า "ข้าว่าเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า"
คำบอกกล่าวให้เข้าเรื่อง ลี่จิ่นรีบทาบฝ่ามือบนบานประตูอย่างแผ่วเบาพร้อมเอ่ยคำสั้นๆได้ใจความว่า ไร้เสียง ม่านหมอกใสปกคลุมห้องเล็กไว้อย่างแนบเนียน
ชายหนุ่มอย่างเทพชะตาหุบยิ้มพลางจับจ้องศิษย์เพียงคนเดียวของตน ลี่จิ่นมองตอบโดยไม่ได้เอ่ยการใด
“เหนื่อยหรือไม่ที่ต้องใส่หน้ากากเป็นสหายรู้ใจของข้าน่ะ” เจิ่นหมิ่นแสยะยิ้มสองเท้าก้าวเดิน สายตาเหลือบมองไปรอบห้อง
เทพพู่กันประสานมือคารวะทิ้งคราบสหายรู้ใจทันที “ศิษย์ได้แสดงงิ้วเล่นละครคู่กับท่านอาจารย์ถือว่าเป็นบุญแล้ว”
“อืม ว่าแต่งานที่ข้าสั่งให้เจ้าไปทำเป็นอย่างไรบ้าง” นิ้วเรียวจับจีบจัดชายเสื้อของตัวเองอย่างสบายอารมณ์
“เรียนท่านอาจารย์ ตำราเก่าแก่เล่มนั้นศิษย์ส่งถึงมือท่านผู้นั้นแล้ว” หญิงสาวรายงาน “ท่านอาจารย์ ท่านผู้นั้นฝากมาบอกอีกว่าซื่อฝานอยู่ในมือท่านแม่ทัพหานแล้ว”
เจิ่นหมิ่นพยักหน้าพลางอมยิ้ม “ดี…ข้าหวังว่าท่านแม่ทัพหานจะได้สติเสียที”
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ขอบังอาจถาม” เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างนอบน้อม
“ว่ามา”
“ท่านอาจารย์ขึ้นตรงกับใครกันแน่” คำถามนี้ติดค้างในใจของลี่จิ่นมาเป็นนานปี แต่ตั้งตนเป็นศิษย์ของเทพเจิ่นหมิ่นไม่ว่าจะครั้งไหนท่านอาจารย์ก็มักออกหน้าสนับสนุนผู้ที่ไม่ก่อสงคราม ยึดมั่นที่จะทำให้ไร้สงครามไม่ว่าจะที่เบื้องล่างหรือเบื้องบน แต่ดูสีท่าแล้วเรื่องใหญ่นี้ที่ท่านเข้าไปยุ่งเกี่ยวนี้คงหนีไม่พ้นศึกสงครามใหญ่แน่ๆ
เทพชะตาถอนหายใจปั้นหน้ายิ้มเหม่อมองจับจ้องดอกไม้จันทน์ที่ปลูกไว้ข้างห้อง “ตัวข้าจะเข้ากับฝ่ายไหนไม่สำคัญ แต่ใจข้าไม่เคยคิดคดหักหลังผู้เป็นตำนานผู้นั้นแน่”
“ผู้เป็นตำนาน...เขาเป็นใครกัน” ลี่จิ่นขมวดคิ้วพันกันยุ่ง “ถ้าจำไม่ผิดผู้เป็นตำนานที่ว่ามานั้น ได้ล้มตายดับขันธ์กันไปนานแล้วมิใช่รึ? อีกอย่างพวกนั้นมีกันห้าคน...คนไหนล่ะที่เป็นตำนาน”
“เป็นกันหมดแหละ แต่แค่มีเพียงคนเดียวที่โดดเด่น” ชายหนุ่มเดินไปริมหน้าต่างพร้อมเอื้อมมือเด็ดดอกไม้งามสีขาวนวล เขาจ้องมองมันไม่ละสายตา “ก่อนเขาตาย ข้ารับปากว่าจะทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้เพื่อทดแทนบุญคุณที่เขาเคยช่วยชีวิตครอบครัวข้าไว้”
ลี่จิ่นหน้าถอดสีหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะนางเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าท่านอาจารย์กำลังทำอะไรกันแน่ “ในเมื่อเขาตายไปแล้ว...ท่านจะแทนคุณอย่างไร”
“ข้าก็กำลังทำอยู่นี่ไง” ว่าแล้วดอกไม้งามในมือถูกวางอย่างนุ่มนวลยิ่งบนหมอนสี่เหลี่ยมบนเตียง “ลี่จิ่น ข้าว่าเจ้าไปช่วยชายหนุ่มข้างนอกห้องนั้นเก็บศพคนเถิด” เจิ่นหมิ่นตัดบทจบพลางผายมือสลายม่านหมอกกักเสียงให้หายไป “ข้าจะกลับสวรรค์แล้ว เจ้าทำหน้าที่แทนข้าละกันนะวันนี้”
“เขายังไม่ได้เก็บศพรึ?” นางเอ่ยกระซิบ
เจิ่นหมิ่นเลิกคิ้วพลางสูดกลิ่นเข้าจมูกฟึดฟัด “กลิ่นส่งมาขนาดนี้ข้าว่ายังหรอก...สหายข้าเจ้าไปช่วยเขาเถิด” ว่าแล้วก็ยกชายแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกก่อนสลายร่างหายลับ ทิ้งให้ศิษย์รักเผชิญหน้ากับสิ่งที่เคยทำไว้ไปก่อนหน้า
“แต่ข้าว่าเขาน่าจะรู้แล้วนะว่าเราเป็นใคร” ลี่จิ้นกังวล
“อืม” เทพชะตาพยักหน้ารับรู้ก่อนอ้าปากกล่าวออกมาอย่างไร้เสียงว่า “ข้าตั้งใจ ตั้งใจหาสามีให้เจ้าไง”
ลี่จิ้นกุมขมับมองบนกำหมัดแน่น “ข้าไม่เอาเขา ข้าเลือก!” ลี่จิ้นกล่าวออกมาอย่างไร้เสียงแต่ท่าทางของนางดูเดือดพล่านแทบจะพังบ้านได้ทั้งหลัง
อาจารย์ที่ขึ้นว่าเป็นเทพชะตาพลันหายลับ นางยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้าตนเองพร้อมผ่อนลมหายใจออกมาได้เหน็ดเหนื่อยจับจิต ก่อนเอื้อมมือคว้ากระทะที่ตนวางทิ้งไว้ในห้อง
ประตูไม้เปิดออกกว้าง หญิงสาวย่างกายออกมานอกห้องพร้อมถือกระทะหนึ่งใบติดมือ เสื้อผ้าอาภรณ์ถูกผลัดเปลี่ยนเป็นสีม่วงอ่อนงามตา แสงแรกของวันสอดส่องขับผิวพรรณใบหน้าของลี่จิ่นดูน่าจดจำ โดยเฉพาะอาวุธคู่กายอย่างกระทะ หลิวเหว่ยจะจำไม่ลืม
ชายหนุ่มนั่งกอดอกเหลือบมองหญิงสาวอย่างตกตะลึง “เจ้าไม่คิดจะเปลี่ยนอาวุธคู่กายหน่อยรึ?”
ค่ายใหญ่หน้าด่านเมืองช่างม่าน
ซื่อฝานนอนนิ่งไร้สติบาดแผลฉีกขาดถูกผ้าขาวพันแน่น แต่ความเจ็บปวดแทบทำให้กระอักเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า หมดสติไปนับครั้งไม่ถ้วน ฝันเห็นความตายซ้ำๆจนด้านชา เปลือกตาไม่ยอมเปิดเหมือนกับว่ามันต้องการปิดตายไปตลอดการ
ร่างกายนางอ่อนล้าพักฟื้นหลับสนิทเหมือนผ่านพ้นไปหลายวัน แต่เมื่อลืมตาตื่นสิ่งแรกที่ซื่อฝานเห็นกลับเป็นเพดานถ้ำหิน ไอเย็นปกคลุมไปรอบถ้ำ ดวงตางามเหลือบมองซ้ายแลเห็นซี่กรงขังเหล็กกล้าปิดตายไร้รูกุญแจ แต่นั้นไม่ได้น่าตกใจเท่าหยดน้ำร้อนจากเพดานที่กระทบลงกัดกร่อนพื้นผิวหินจนเป็นวงกว้าง
ซื่อฝานสูดลมหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้าพลางยันร่างตนให้ลุกขึ้น ทว่าบาดแผลพลันเจ็บแปลบขึ้นหัวใจ นางกัดฟันกั้นเสียงร้องสุดกำลังแต่น้ำตากลับหลั่งไหลแทน มือหนึ่งกุมบาดแผลตามสัญชาตญาณ คิ้วได้รูปขมวดเป็นปมแน่นสายตาไล่มองพื้นหินที่ถูกหยดน้ำร้อนกัดกร่อนรอบๆเตียง
หยดน้ำตกลงมาหนึ่งหยดกระทบพื้นใช้เวลาไม่ถึงสองวินาที น้ำก็จะหยดลงมาอีกระลอก สรุปให้โดยง่ายหยดน้ำตกลงมารอบเตียงเหมือนเป็นกรงขังอีกชั้นก็ว่าได้
“หยดน้ำมรณะ” เสียงบุรุษดังมาจากมุมมืดของถ้ำ วงหน้างามหันควับเพ่งมองมุมมืดของห้องทันใด
ซื่อฝานไม่คิดจะขยับถอยหนีแต่อย่างใด แม้กระทั่งเอ่ยถามนางก็คร้านจะพูดแล้ว ใช้สายตามองก็เกินพอ
ร่างในเงามืดเผยชายเสื้อสีดำสนิท หน้ากากสีเงิน เส้นผมยาวดำสยายไปข้างหลัง สองเท้าก้าวเดินหยุดอยู่ตรงหน้านางโดยมีหยดน้ำกั้นกลาง “ตามที่ข้าคาดคิดไว้จริงๆด้วยว่าเขาไม่ทิ้งเจ้าและดูเหมือนว่าเขาเริ่มจะกลับมาอยู่กับร่องกับรอยสักที”
“ทิ้งหรือไม่ทิ้ง มันพิสูจน์อะไรได้? เห็นข้าตายแล้วกลับมาอยู่กับร่องกับรอยเหรอ กลับมาเชื่อใจกันเหรอ ประสาท!” แววตางามแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “ข้ามีอยู่ชีวิตเดียว! ข้าเป็นตายร้ายดีอย่างไรใครสน!” เสียงตวาดดังลั่นแทบจะคุมไม่อยู่นั้นฟังดูน่ากลัวสุดๆ “เจ้าใช้กระบี่แทงทะลุกายข้าปล่อยให้นอนตายจมกองเลือด!” เบ้าตาของนางแดงก่ำ เพราะกลั่นน้ำตาไม่ให้นองหน้า ก่อนจะแสยะยิ้มจ้องชายหนุ่มอย่างเหลืออด “หึ! เพื่อพิสูจน์ว่าคนผู้นั้นจะช่วยข้าหรือไม่ ช่วยแล้วอย่างไร? เกิดอะไรขึ้นต่อเล่านอกจากข้าจะโดนขังแล้วเจ้ายังมีเวลาว่างมาเยี่ยมเยือน...ช่างดีจริงๆ!”
“เจ้ากำลังโกรธ” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างนิ่งสงบเหมือนกับว่าคำพูดที่นางพ่นใส่หน้านั้นเขาหาได้ใส่ใจ
“ข้ากำลังอารมณ์ดีมั้ง!” ซื่อฝานกัดฟันตอบเสียงแข็งแต่ก็เอ่ยเสียงเย็นเช่นกัน “และตอนนี้ข้าต้องการกลับบ้านด้วย ข้าจะถือเสียว่าเราไม่เคยเจอกัน แต่นั่นข้าได้แค่คิดเพราะยังไงพรุ่งนี้ข้าก็จะถูกประหารอยู่ดี”
ชายหนุ่มใต้หน้ากากเงยหน้ามองเพดานไปโดยรอบพร้อมเอ่ยว่า “เจ้าจะถูกประหารวันนี้...แสงยามเช้ามาเยือนแล้ว”
“ท่านว่าอะไรนะ” หญิงสาวถามเสียงหลงอย่างตื่นตกใจหันมองไปรอบๆแต่กลับไม่เห็นแสงเช้าวันใหม่สักนิด ถ้ำนี้ช่างมืดสนิทมีเพียงแสงเทียนกลางถ้ำเท่านั้นที่ส่องสว่าง
“เจ้าอยู่ในคุกถ้ำที่ลึกที่สุดของค่ายทหารช่างม่านและค่ายแห่งนี้คือค่ายแนวหน้าของกองทัพ” ชายหนุ่มอธิบาย “พวกเขากำลังรบกัน”
“ไม่ใช่ว่ารบชนะไปแล้วรึ” ระหว่างทางที่วิ่งไปหอโคมเขียวซื่อฝานจำได้ว่าชาวบ้านต่างดีใจไม่น้อยที่ท่านแม่ทัพชนะข้าศึก แต่ไหนกลับตาลปัตรพลิกเรื่องได้หน้าตายกันขนาดนี้เล่า
“นี่แหละที่ข้ายังสงสัย” แววตาของชายหนุ่มครุ่นคิดขมวดคิ้วแน่นอยู่ภายใต้หน้ากาก “ข้าว่างานนี้ต้องมีไส้ศึก”
ซื่อฝานเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย “ไม่ใช่ว่ากองทัพที่มานั้นเป็นของท่านหรอกรึ?”
“หึ!” ชายหนุ่มกอดอกมองหญิงสาวอย่างสบายอารมณ์ “ถ้าข้านำทัพ...ข้าไม่โง่สั่งการให้บุกค่ายใหญ่ของหานอิงหลิวหรอก”
ซื่อฝานยกมุมปากยิ้ม “ถ้าเป็นข้าจะบุกทั้งสองทาง...ในเวลาที่แม่ทัพใหญ่ไม่อยู่”
หลังจบประโยคของซื่อฝาน ชายหนุ่มทิ้งสองมือลงข้างตัวทันที “เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนหานอิงหลิวทำแผลให้เจ้า ดูแลเจ้า...แล้วก็ออกไปเมื่อมีทหารมารายงานว่า จือเฟิง มา...” เสียงพึมพำเรียงเหตุการณ์ทบทวน
“ท่านอยู่ในเหตุการณ์หรือไง…รู้ไปเสียหมด” นางเอ่ยถาม
“เจ้าอยู่ไหนข้าอยู่นั่น นี่แหละความสามารถของข้า” เขาตอบนางอย่างไม่ลังเล “…ก็เจ้าคือคนของข้า”
สองสายตาสบประสาน ซื่อฝานถอนหายใจก่อนเอ่ยอีกว่า “ท่านว่าหานอิงหลิวดูแลข้ารึ?” นางพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“ใช่ เขาแบ่งปราณมารให้เจ้าบางส่วนเพื่อยื้อชีวิตไว้” นั้นเป็นคำตอบที่ไม่น่าเชื่อที่สุด หานอิงหลิวผู้ที่อยากฆ่านางใจแทบขาดทำไมถึงคิดช่วย…นั้นเป็นคำตอบที่ชวนสับสนเสียจริง
“ช่างเถิด” ซื่อฝานคร้านจะคิด จึงเอ่ยปากเปลี่ยนเรื่องอีกรอบ “แล้วพวกค่ายแนวหน้าจะโดนโจมตีเมื่อไร” นางเอ่ยถามเล่นๆเผื่อที่จะได้เตรียมตัว
“เจ้าถามได้ถูกจังหวะจริงๆ” ว่าแล้วเงยหน้าเพ่งจิตเป็นการใหญ่
“สาม” เสียงพึมพำเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า
“สอง”
“หนึ่ง”
ตูม!!!
เสียงโจมตีดังสนั่นสะเทือนแดนมาร คุกถ้ำสั่นไหวหินแตกร้าวเหมือนจะพังทลาย
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกข้างนอกนั้นจะจู่โจม! แต่เดี๋ยวนะพวกไหนโจมตีค่าย?!” ซื่อฝานกระวนกระวายจ้องคนตรงหน้าดุดัน ชายหนุ่มชี้ไปที่ศีรษะของตนเอง
“พลังปราณของฝ่ายกบฏจากมารแดนใต้โจมตีน่ะ” ปากกล่าวบอก ทว่าสายตากลับมองเพดานถ้ำจ้องที่หยดน้ำอย่างไม่ไหวติงเหมือนรอจังหวะ “ข้าว่าเจ้าพูดถูกนะ เรื่องการบุกโจมตีน่ะ เพราะว่าท่านแม่ทัพใหญ่คงไม่ได้อยู่ที่ค่าย พวกมันถึงกล้าบุกโจมตี” หยดน้ำเริ่มหยดลงมาช้ากว่าเดิม “แต่ที่แน่ๆดูเหมือนว่าแดนมารทางเหนือนี้จะมีไส้ศึกจริงๆ” สิ้นเสียงกล่าวฝ่ามือหยาบคว้าร่างบางได้ว่องไวยิ่งก่อนที่หยดน้ำจะลงหัวนาง
ร่างอรชรอยู่ในอ้อมแขนชายหนุ่มซึ่งเขากอดนางเสียแน่นพร้อมเอ่ย “อีกอย่าง…หานอิงหลิวรู้ว่าข้าอยู่มุมถ้ำ…ก่อนไปเขาถึงบอกให้ข้าดูแลเจ้าแทน”
“เขาบอก?” นางคิดจะเอ่ยถามทว่ากลับถูกตัดบททันที
“และดูเหมือนว่าเขารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเสียด้วย”
“เขาได้บอกแผนอะไรหรือเปล่า” แววตานางดูตื่นตระหนก
“ไม่ได้บอก”
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว