[NC 18+] THE ILLUSION OF LOVE มารยายั่วรัก-มารยายั่วรัก : บทที่ 14 [Loading__100%]

โดย  Mamaya

[NC 18+] THE ILLUSION OF LOVE มารยายั่วรัก

มารยายั่วรัก : บทที่ 14 [Loading__100%]

บทที่ 11 มากสุดก็แค่ตาย


หญิงสาวนางนั้นคงไม่คาดคิดว่าเหลียงเฟย จะเปิดโปงความเท็จของนางได้ในพริบตาเช่นนี้ มันทำให้นางอ้ำอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อตระหนักได้ว่านางคงปิดบังอะไรไม่ได้แล้วจึงได้พูดออกมาตามตรง "เช่นนั้นก็ดี! ข้าจะบอกความจริงให้ท่านฟังก็ได้ แต่ท่านต้องเชื่อข้าด้วย!"  


เหลียงเฟยพยักหน้ารับคำ


นางผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ แล้วเริ่มเล่าเหตุการณ์ “ข้าชื่อเซียวหนิงเสวี่ย เป็นศิษย์รองของสำนักเซียนหยูฮั่ว! ช่วงนี้พวกเราตระกูลเซียว ถูกคนสกุลโหลวใส่ความจนตระกูลแตกสลาย พวกสกุลโหลวน่ารังเกียจนั่นหมายปองตัวข้าเลยวางยาพิษบิดามารดาของข้า บังคับให้ข้าแต่งงานกับโหลวอวี้ตี๋ ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะไม่ให้ยาถอนพิษแก่พวกท่าน!”

  

ศิษย์รองสำนักเซียนหยูฮั่ว?


  เหลียงเฟยในที่สุดก็กระจ่างใจ ที่แท้เซียวหนิงเสวี่ยนี้ก็คือคนในภาพที่แม่สื่อหวง นำมาแสดงให้กับคุณชายโหลวดูนั่นเอง


  ฮ่าฮ่า ช่างน่าสนใจ! น่าสนใจยิ่งนัก!


  สำหรับคำพูดของเซียวหนิงเสวี่ย เหลียงเฟยรู้สึกว่านางเชื่อถือได้ อนึ่งก็เพราะเขารู้สึกไม่ชอบใจพวกคนสกุลโหลวอยู่แล้ว และอีกหนุ่งก็มาจากการกระทำของพวกคนพาลเมื่อครู่ การกระทำที่ต่ำช้าเหล่านั้นแม้จะเป็นเดรัจฉานยังไม่กล้าทำ ไม่อยากคิดเลยว่าคนที่เคยตกเป็นเหยื่อของเจ้าพวกนี้จะต้องพบเจอกับฝันร้ายอย่างไรบ้าง


  ที่จริงแล้วเหลียงเฟยเองก็รู้สึกโกรธแค้นกับเรื่องราวของเซียวหนิงเสวี่ยไม่น้อย! ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเวลานี้เขากับเซียวหนิงเสวี่ยได้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเขามีศัตรูคนเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไอ้โหลวอวี้ตี๋คนนั้นที่ชวนให้หงุดหงิดเป็นพิเศษ!


  เหลียงเฟยก็ทุบมือลงบนโต๊ะเสียงดังพร้อมตวาดลั่น “ชั่วช้า! คนของสกุลโหลวนี่ชั่วช้าจริง ๆ!” พูดถึงตรงนี้ เขาก็หันไปมองเซียวหนิงเสวี่ยแล้วพูดอีกว่า “แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ช่วยเหลือบิดามารดาของเจ้า กลับหนีออกมาเพียงลำพังเช่นนี้ได้อย่างไร?”


  นึกย้อนกลับไปเซียวหนิงเสวี่ยก็เริ่มร้องไห้ออกมา เสียงสะอึกสะอื้นดังคลอเคล้าบรรยากาศรอบข้าง “ข้าได้พยายามที่จะช่วยพวกท่านแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ บิดามารดาของข้าไม่ต้องการให้ข้าต้องลำบากลำบน ทั้งยังตักเตือนให้ข้ารีบหนีออกไป ทั้งยังเอาความตายมาขู่บังคับ ข้าไม่มีหนทางอื่น จึงได้หนีออกมาเพียงลำพัง!”


  จับต้นชนปลายได้เป็นที่เรียบร้อย เหลียงเฟยพลันลุกพรวดด้วยสีหน้าร้อนใจ “แม่หญิงเซียว เจ้าหิวหรือไม่? หากไม่หิว เราก็ไปยังบ้านสกุลโหลวเพื่อชิงยาแก้พิษ มาช่วยเหลือบิดามารดาของเจ้า เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะช่วยเจ้าเอง!”


  เซียวหนิงเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย นางไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เดิมทีนางเพียงเห็นว่าเหลียงเฟยมีจิตใจที่ชอบความยุติธรรม จึงหวังพึ่งให้เขาช่วยเหลือนางหลบหนี


  ครู่หนึ่งนางจึงกล่าว “ลืม ๆ เรื่องนี้ไปเสีย ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องลำบาก! หรือถ้าหากเจ้าปรารถนาจะช่วยเหลือข้าจริง ๆ ก็…ก็ช่วยพาให้ข้าหลบหนีไปจะดียิ่งกว่า!”


  เมื่อกล่าวจบคำสุดท้ายเซียวหนิงเสวี่ยก็สำลักเสียงสะอื้น


เหลียงเฟยยังคงโกรธอยู่ เขาตบโต๊ะอีกครั้งแล้วกล่าวกับนาง "ถึงเจ้าจะเป็นเพียงศิษย์รองแห่งสำนักเซียนหยูฮั่ว แต่นั่นก็หาใช่เหตุผลที่เจ้าต้องมาขี้ขลาดราวกับเต่าที่เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองเช่นนี้ไม่!"


"แต่สกุลโหลวมีอำนาจ เงินทองและมีผู้เก่งกล้ามากมาย พวกเขามีอิทธิพลกว้างขวาง การเอาไข่ไปชนกับหินเช่นนี้มิใช่วิสัยของปัญญาชนหรอกนะ!"


"ไข่ชนหินแล้วอย่างไร คนเราต้องกล้าสู้จึงจะเป็นที่ยอมรับ หากไม่สู้จะยิ่งถูกผู้คนดูถูก หากไม่สู้จะยิ่งถูกกลั่นแกล้ง หากไม่สู้แล้วจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าเป็นไปได้หรือไม่ ถอยแล้วจะก้าวหน้าได้อย่างไร?"


เซียวหนิงเสวี่ยเฝ้ามองเหลียงเฟยที่พูดจาอย่างอาจหาญราวกับผู้ที่ไม่รู้จักเกรงกลัว ความฮึกเหิมของเขาช่วยกระตุ้นให้นางค่อย ๆ รู้สึกฮึกเหิมไปตาม ๆ กัน ท้ายสุดแม้ว่าจะเห็นด้วยแต่นางก็ยังคงมีเรื่องที่ไม่สามารถมองข้ามได้ "หากเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องถามก่อนว่าฝีมือของเจ้านั้นอยู่ระดับใดแล้ว?"


เหลียงเฟยรู้สึกขัดใจนักที่ผู้คนดูถูกฝีมือของตน


ชิ ฝีมือสูงส่งเพียงใด หากใช้ไม่เป็นก็ไร้ค่ามิใช่หรือ? เมื่อครู่ที่จวนตระกูลเย่ เหลียงเฟยก็เพิ่งใช้ฝีมือระดับการขัดเกลากระดูกขั้นสูง เอาชนะราชันยุทธ์ระดับกลางได้เอง!


ชายหนุ่มเงยหน้าแล้วกล่าว "เจ้าคิดว่าข้ามีฝีมือเช่นใดเล่า?"


"เอ่อ..." เซียวหนิงเสวี่ย สังเกตเห็นความไม่พอใจแวบผ่านในดวงตาของเหลียงเฟย นางเองก็ไม่รู้จะตอบเช่นไร


เพราะขณะที่นางเดินเข้าหาเหลียงเฟย นางได้ตรวจดูฝีมือของเขาก่อนแล้ว ซึ่งน่าจะอยู่ที่ขั้นการขัดเกลากระดูกระดับสูงเท่านั้น แต่บางสิ่งบางอย่างมันก็ขัดแย้งกันเอง กล่าวคือ ด้วยระดับฝีมือที่ตื้นเขินเช่นนี้ เขาสามารถสังหารนักรบแห่งสกุลโหลวที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างง่ายดาย


รวมถึงการที่เขามีจิตใจอันหาญกล้าจึงนำพานางให้มานั่งข้าง ๆ เขา ความรู้สึกลึก ๆ ของเซียวหนิงเสวี่ยกลับรู้สึกว่าเหลียงเฟยผู้นี้ไม่ได้เป็นดังที่เห็นได้ด้วยตาแน่นอน


เป็นไปได้ว่าคนคนนี้กำลังแสร้งทำเป็นอ่อนแอ แล้วซุ่มซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้


เหลียงเฟยเห็นนางดูจะลังเลอยู่พักใหญ่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขากล่าวกับนาง "เจ้าจะคิดเยอะไปแล้ว ฝีมือของข้าอยู่เพียงการขัดเกลากระดูกขั้นสูง เท่านั้น ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังเลือกที่จะสู้ ข้าไม่ยอมให้แก่ความอยุติธรรม แล้วเจ้าล่ะ กลัวสิ่งใดอยู่หรือ?"


เซียวหนิงเสวี่ย นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายกัดฟันแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว "หนีก็ตาย อยู่เฉยก็ตาย งั้นข้าก็จะสู้ด้วย! อย่างมากก็ตาย แต่ถ้าโชคดีข้าอาจจะมีทางรอดได้!"


เหลียงเฟยพยักหน้ารับ ทั้งสองพากันเดินออกไปนอกโรงเตี๊ยมโดยมีเหลียงเฟิงก้าวออกไปเป็นคนแรก ย่างก้าวของเขามั่นคง ท่าทีองอาจ สีหน้าอาจหาญไม่หวั่นเกรงผู้ใด


ขณะที่ด้านหลัง เซียวหนิงเสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะก้าวตามไปอย่างกระชั้นชิด


เมื่อเจ้าของโรงเตี๊ยมเห็น เขายืนมองทั้งสองจนกระทั่งหายลับไป ราวกับผลลัพธ์ได้ถูกขีดชะตาไว้แล้ว เขาส่ายหน้าถอนหายใจ “ด้วยความสามารถของเขามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะต่อสู้กับสกุลโหลวอันทรงพลัง น่าเสียดายที่เด็กหนุ่มที่นิสัยดีเช่นนี้คงจะเหลือเพียงแค่ชื่อหลังจากปะทะกับสกุลโหลวแน่ ๆ!”


โรงเตี๊ยมนั้นอยู่ห่างจากสกุลโหลวพอสมควร ทั้งสองเดินไปตามถนน บางคนที่พอจะรู้เรื่องราวอยู่บ้าง ต่างพากันซุบซิบถึงการที่เหลียงเฟยไม่รู้จักประมาณตน เป็นคนโง่เขลาที่ไม่รักชีวิตตนเอง!!


เหลียงเฟยได้ยินดังนั้นก็ยังคงไม่สนใจ!


ในใจของเขาบางสิ่งอาจจะไม่สำคัญ แต่บางสิ่งบางอย่างเขาต้องต่อสู้และทุ่มเท! แม้ว่าจะต้องเสียเลือดเสียเนื้อ เขาก็ไม่กลัว อย่างน้อยมันก็ทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษได้ในอีก 18 ปี!


การมีชีวิตอยู่คือการมีชีวิตเพื่อความสุข มิใช่มีชีวิตอยู่เพื่อความทุกข์!


เหล่ายอดฝีมือแห่งสกุลโหลวที่ได้ยินข่าวต่างก็รีบรุดมาที่นี่ พวกเขาไม่เคยพบเห็นคนอย่างเหลียงเฟยมาก่อน และไม่รู้ว่าเขามีความสามารถมากแค่ไหน แต่กลับรู้สึกราวกับถูกข่มขวัญโดยความยิ่งใหญ่ของเขาโดยที่ยังมิได้ลงมือเสียด้วยซ้ำ


เหล่ายอดฝีมือกว่ายี่สิบคนต่างก็เฝ้ามองทั้งสองเดินเข้ามาอย่างใจเย็น ทว่าเมื่อทั้งสองร่างเข้ามาใกล้ พวกเขากลับเป็นฝ่ายถอยร่นโดยที่ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปปะทะก่อน!


ท้องถนนที่เคยคึกคักและมากด้วยผู้คนกำลังเงียบสงบลงราวกับฟากฟ้าก่อนพายุใหญ่จะโหมกระหน่ำ กลุ่มคนร่างใหญ่เหล่านี้กำลังถูกชายหญิงคู่หนึ่งบังคับให้ถอยทีละก้าว


ภาพรวมดูแปลกประหลาดยิ่งนัก!


ผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดคอยซุบซิบนินทาอยู่ในขณะนี้ ทุกคนราวกับถูกกระตุ้น พวกเขาเพียงแค่หวังว่าหนุ่มสาวคู่นี้จะสามารถสั่งสอนพวกอันธพาลแห่งสกุลโหลวและระบายอารมณ์แทนพวกเขาได้


โหลวอวี้ตี้ในเวลานี้อยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน เมื่อเขารู้ว่ามีคนกล้ามาท้าทายสกุลโหลวก็รู้สึกสนใจ อยากจะดูว่าผู้ที่บ้าบิ่นเช่นนี้เป็นใครกัน!


เรื่องมันกลับกลายเป็นว่า เจ้าคนบ้าบิ่นที่พูดถึงกันนั้นก็คือเหลียงเฟย!


เห็นเช่นนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก!


โหลวอวี้ตี้ด่าทอเหลียงเฟยอยู่ในใจว่าช่างเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา สมองคงมีแต่น้ำ แต่เมื่อเห็นยอดฝีมือแห่งสกุลโหลวหลายคนถอยห่างออกไปทีละก้าว เขาก็โกรธจนกระทืบเท้าพลางตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอ้พวกขี้ขลาด! ไอ้เด็กนั่นมันเป็นแค่ผู้ฝึกสัตว์อสูรที่มีพลังในระดับการขัดเกลากระดูกขั้นสูง พวกเจ้ากลัวมันขนาดนั้นเลยหรือไร?”


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว