อ้อมรักเป็นคนมีลางสังหรณ์แรง และคืนนี้ทันทีที่รถของคุณลุงแล่นไปตามโค้งถนนภายในคฤหาสน์หลังงาม หล่อนก็รู้สึกแปลกๆ คล้ายจะหวาดหวั่นแต่ก็วาดหวังกับอะไรบางอย่าง อันที่จริงความรู้สึกนี้เริ่มเกิดตั้งแต่ช่วงเช้า จู่ๆ คุณลุงวันชัยกับคุณป้าแจ่มจันทร์ก็พาออกไปชอปปิ้งซื้อเสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าให้ใหม่ทั้งชุด แถมยังจ้างสไตลิสต์กับช่างแต่งหน้าแต่งผมมาช่วยแปลงโฉมจนความงามสดใสของวัยสาวสิบเก้าเจิดจรัส เนื้อในที่เร่าร้อนแอบซ่อนอยู่ล้ำลึกถูกเผยด้วยทรงผมและแบบของชุดที่เน้นทรวดทรงเพรียวระหงแต่อวบล้นตรงทรวงอกและโค้งสะโพก
ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้คุณลุงคุณป้าไม่รักหรือเลี้ยงดูอย่างปล่อยปละละเลย แต่สองสามปีที่ผ่านมาธุรกิจของครอบครัวได้รับผลกระทบจากต้มยำกุ้งซินโดรมจนย่ำแย่ ขาดทุนจนต้องปิดกิจการและยังเป็นหนี้สินก้อนใหญ่ แม้จะขายทรัพย์สินที่ดินเพื่อใช้หนี้แล้วยังไม่พอ แถมอ้อมรักยังแอบได้ยินคุณลุงคุณป้าคุยกันว่าเร็วๆ นี้บ้านหลังใหญ่ที่อยู่ในปัจจุบันจะถูกธนาคารยึดไปขายทอดตลาด ทั้งสองรักบ้านหลังนี้มากเพราะเป็นเรือนหอและเป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อกู้ฐานะ คุณลุงเป็นประธานบริษัทก็จริง แต่ไม่เคยบริหารด้วยตัวเอง เมื่อผู้บริหารมืออาชีพที่จ้างด้วยเงินเดือนสูงลิบตัดสินใจผิดพลาดและแสดงสปิริต...หรือที่ถูกเอาตัวรอด...ลาออกไป ท่านก็ไม่มีปัญญาจะบริหารด้วยตัวเอง นักบริหารเก่งๆ ก็ไม่มีใครคิดจะทำงานกับบริษัทที่เหลือแต่ชื่อ ไม่มีเครดิต ไม่มีโอกาสฟื้นตัว ส่วนคุณป้าเกิดมาเป็นคุณหนู แต่งงานมาแล้วก็เป็นคุณนายอภิมหาเศรษฐี มีแต่คนรองมือรองเท้า ทำอะไรไม่เป็นนอกจากชี้นิ้วสั่งหรืออ้อนขอจากสามี ทั้งสองเป็นคู่ตัวอย่างของคนที่จมไม่ลง เหมือนลูกโป่งที่ละล่อง ภายในมีแต่อากาศที่เหลือน้อยลงๆ ใกล้ตกลงเรี่ยดินเต็มที
อ้อมรักนั้นเล่าพ่อแม่เป็นนักวิจัยที่ไม่ยอมทิ้งลูกให้ใครเลี้ยง พาตะลอนเดินทางไปทำงานตามที่ต่างๆ ทั่วโลก บางครั้งพาไปลำบากตรากตรำ แต่เมื่อพ่อแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันก็ไม่มีสักวันที่จะขาดความอบอุ่น จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิตที่ทั้งครอบครัวประสบอุบัติเหตุรถตกเหว พ่อแม่ตายคาที่ อุ้มรักเป็นคนเดียวที่รอดชีวิตโดยได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เพราะพ่อแม่กอดหล่อนไว้ ใช้ตัวเองรองรับแรงกระแทก คุณลุงคุณป้าซึ่งเป็นญาติสนิทและเคยขออุ้มรักไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมรีบมารับหล่อนไปดูแลปลอบขวัญ หมดพ่อแม่หล่อนจึงไม่ถึงกับเคว้งคว้าง ไม่ว้าเหว่ขาดความรัก แต่ขณะเดียวกันการที่ได้รับปกป้องก็ทำให้หล่อนทำมาหากินไม่เป็น ความรู้นั้นมีอัดแน่นในสมอง ถึงจะเรียนแบบโฮมสกูล พ่อแม่สอนให้ที่บ้าน แต่การเดินทางก็ช่วยให้รู้เห็นอะไรแปลกใหม่อยู่เสมอ ทว่าน่าเจ็บใจที่ไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน หยิบจับเป็นอาชีพได้เลย ไปสมัครที่ไหนก็ใช้ได้แค่วุฒิมอหกซึ่งสอบเทียบได้เมื่อปีก่อน ปริญญาตรีที่ลงเรียนกับมหาวิทยาลัยเปิดก็ต้องใช้เวลาอีกสามปีกว่าจะจบ ครั้นพยายามดิ้นรนทำมาหากิน แอบไปสมัครงานเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ร้านฟาสต์ฟู้ด พอคุณป้ารู้ก็กรี๊ดดังไปถึงปากซอย อับอายขายหน้าและสงสารหลานที่ต้องไปทำงานใช้แรงงานบริการคนอื่น แถมยังต่อว่าผู้จัดร้านที่รับเข้าทำงานว่าใช้งานเกินกำลัง ขู่ว่าจะฟ้องถึงเจ้าของกิจการ ซึ่งเท่ากับปิดจ๊อบไปในตัว หญิงสาวถูกเชิญออกจากงานในวันนั้น ถึงจะแอบไปสมัครงานอีกหลายแห่ง แต่ก็ไม่มีที่ไหนรับอีกเลย ได้รู้จากอดีตเพื่อนร่วมงานว่าผู้จัดการที่แรกกระจายข่าวฤทธิ์เดชของคุณป้าไปทั่วในหมู่ร้านฟาสต์ฟู้ดด้วยกัน หล่อนจึงขึ้นเป็นแบล็คลิสต์ทุกที่ ชาตินี้คงไม่มีวันหางานทำในร้านประเภทนี้ได้
เมื่อช่วยหาเงินมาเพิ่มไม่ได้ หญิงสาวก็พยายามจะช่วยลด ขอร้องให้คุณป้าปิดห้องในบ้านที่มีอยู่มากมายเกินจำนวนคนอยู่อาศัย ลดจำนวนคนรับใช้จากยี่สิบเหลือแค่สามคนรวมแม่ครัว ตัวหล่อนเองหยิบจับทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้านได้มากมาย ถึงกระนั้นยังเหลือเงินสดในมือไม่ถึงแสน หล่อนกับบรรดาคนรับใช้ช่วยกันประหยัดจนตัวกิ่ว แล้วนี่อะไร คุณลุงคุณป้าลุกขึ้นมาจับหล่อนแต่งตัวออกงาน ต้องใช้เงินไปเท่าไร
‘เราต้องออกจากบ้านไปพบปะผู้คน สร้างคอนเนคชั่น เผื่อจะมีลู่ทางใหม่ๆ ไม่ใช่ซุกตัวกระเหม็ดกระแหม่อยู่ในบ้าน’ คุณป้าเถียงคอเป็นเอ็นเมื่อหล่อนทัดทาน ‘ลงทุนซื้อชุดมาแล้วเป็นหมื่น ถ้าหนูไม่ไปก็เสียเงินเปล่า ชุดโอต กูตูพวกนี้ พอสั่งให้เขาแก้ขนาดแล้วก็ไม่มีที่ไหนเขารับคืนหรอก ไหนๆ ก็ซื้อชุดมาแล้ว หนูก็ไปงานนี้เป็นเพื่อนคุณลุงกับป้าสักครั้งเถอะนะ ไปทำความรู้จักกับคนหน้าใหม่ๆ เผื่อจะเจอใครที่ช่วยอุดหนุนจุนเจือเราได้ จะให้ป้าไหว้ก็ยอม’
พอท่านพูดอย่างนี้อ้อมรักก็ไม่กล้าปฏิเสธ ยอมให้จับแต่งตัวแต่โดยดี หล่อนไม่คิดว่าการที่ตัวเองไปงานกับคุณลุงคุณป้าจะช่วยอะไรได้ แต่ก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจผู้มีพระคุณที่หล่อนรักและรักหล่อนรองจากผู้ให้กำเนิด