หนึ่งคำ
“ลองผัดไก่จานนี้ดูขอรับ”
เซียวอี้หยางพยักหน้าขยับตะเกียบไปคีบไก่จานที่ปิงเหอเลื่อนมาให้ กินไปได้คำเดียวก็ถอนใจ
ปิงเหอไม่ยอมแพ้ เขายังคงเลื่อนอาหารจานแล้วจานเล่าไปให้ อาหารตั้งมากมายขนาดนี้มันต้องมีสักจานที่เซียวอี้หยางจะกินได้มากกว่าหนึ่งคำสิ เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีจานไหนเลยจริง ๆ น่ะ
ทว่าเซียวอี้หยางกลับกินได้เพียงจานละคำเท่านั้น พอผ่านไปสองสามจาน เขาก็หยุดขยับตะเกียบ มือที่ยกค้างตกลงมา เขามองอาหารด้วยสายตาที่บรรยายไม่ถูก
เขาหิวมาก แต่กลับกินไม่ลง
“ไม่มีจานไหนที่พอกินได้เลยหรือขอรับ” ปิงเหอมองท่าทางอ่อนล้าของเจ้านายอย่างหนักใจ
เซียวอี้หยางส่ายหน้า ร่างผอมแห้งของเขาเกินกว่าจะรับไหวแล้ว เสียงท้องร้องยังคงดัง แต่ท้องกลับไม่ปวด มันคงชินชาแล้วกระมัง
“ข้าจะสั่งอาหารมาอีก”
“เอาโจ๊กเปล่ามาก็พอ” เซียวอี้หยางกลับพูดออกมาเท่านั้น อาหารพวกนี้เหมือนกันหมด สั่งอย่างอื่นมาก็คงไม่ต่างกัน
ปิงเหอถอนหายใจก่อนเอ่ยสั่งโจ๊กเปล่าหนึ่งถ้วย กำชับว่าต้องเป็นโจ๊กที่ไม่ใส่อะไรเลยนอกจากข้าวกับน้ำ ไม่ต้องใส่เนื้อหรือผัก เครื่องปรุงรสก็ไม่ต้อง ห้ามใส่แม้แต่เกลือ ปิงเหอกำชับหลายครั้งว่าต้องไม่ใส่อะไรเลย
พนักงานที่ยืนอยู่หน้าห้องรับคำอย่างงุนงง เขารีบไปที่ครัวแล้วบอกพ่อครัวตามที่ได้ยินมา
หัวหน้าพ่อครัวที่อายุแล้วถึงกับตะลึง ถามย้ำหลายครั้งว่าลูกค้ากล่าวอะไรเกี่ยวกับอาหารหรือไม่ จะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้คำตอบอะไรเลย
หัวหน้าพ่อครัวไม่เข้าใจ ลูกค้าไม่ได้ว่ากล่าวอะไร แต่เหมือนไม่พอใจอาหารที่เขาทำแม้แต่น้อย อาหารหรูหราราคาแพงหลายอย่างถูกสั่งขึ้นโต๊ะอย่างไม่เสียดาย สุดท้ายกลับต้องการเพียงโจ๊กเปล่าถ้วยหนึ่งเนี่ยนะ หัวหน้าพ่อครัวรู้สึกเหมือนถูกท้าทาย โจ๊กเปล่าถ้วยนี้เป็นความท้าทายใหม่ เป็นความรู้สึกที่ตัวเขาเองไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว
หัวหน้าพ่อครัวเป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้นั่นเอง เขาเปิดร้านนี้และตั้งตัวขึ้นจากศูนย์ กว่าจะมีวันนี้ได้นับว่าไม่ง่าย การทำอาหารเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดีและเขาก็มีความสุขในการทำ แม้ตอนนี้กิจการจะไปได้ดีแล้ว เขาก็ยังทำงานครัวอยู่ ส่วนการต้อนรับออกหน้าก็ยกให้เป็นหน้าที่ของบุตรชายสองคน
ทำมาจนไม่รู้ความรู้สึกสนุกและท้าทายในการทำอาหารหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกทีเขาก็ทำเหมือนมันเป็นหน้าที่ไปแล้ว
วันนี้มีลูกค้าแสดงออกชัดว่าไม่พึงพอใจอาหารที่เขาทำ มันเป็นการจุดประกายไฟที่ใกล้มอดของชายวัยเกือบเกษียณเช่นเขาขึ้นมาอีกครั้ง
โจ๊กถ้วยนี้ต้องทำให้ดี
โจ๊กเปล่าขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก ยิ่งถูกกำชับว่าห้ามใส่อะไรลงไปในโจ๊กเด็ดขาดก็ยิ่งง่ายเข้าไปอีก แต่ก็ใช่จะทำให้ออกมาดีไม่ได้
ห้ามใส่วัตถุดิบอื่นรวมถึงเครื่องปรุง นี่มันอาหารกันตายชัด ๆ
ไม่รู้ลูกค้าคนนั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่ แต่เห็นได้ชัดว่า เขาคงไม่ไหวแล้วถึงได้สั่งอาหารแบบนี้
วัตถุดิบคือข้าวกับน้ำ วัตถุดิบมีเพียงสองอย่างเท่านั้น เช่นนั้นก็ต้องคัดเลือกข้าวที่จะเอามาทำโจ๊กให้ดีที่สุด
“ไปเอาข้าวขาวที่ได้จากทางใต้มา เลือกพันธุ์ที่ดีที่สุด ส่วนน้ำก็เอาน้ำแร่ที่ได้มาเมื่อวันก่อน” หัวหน้าพ่อครัวหันไปสั่งงานกับลูกมือ
“ขอรับ”
ข้าวที่เขาสั่งเป็นสายพันธุ์ที่นุ่มและเหนียวหน่อย ๆ เมล็ดเต็มและอวบ ที่จริงเป็นพันธุ์ที่นิยมหุงกิน แต่เอามาทำโจ๊กก็เหมาะเหมือนกัน ตัวข้าวมีความหอมและรสชาติหวานในตัว ไม่จำเป็นต้องปรุงรสเพิ่ม ส่วนน้ำแร่ก็มีรสเค็มปลายลิ้นเล็กน้อยเท่านั้น เหมาะกับโจ๊กเปล่าที่จะทำนี้มาก
แน่นอนว่าวัตถุดิบสองอย่างล้วนเป็นของดีราคาแพง หนึ่งเพราะมันหายาก สองคือที่นี่ไม่นิยม เดิมทีของพวกนี้สั่งมาเพราะเขาจะทำกินกันในครอบครัว
แต่นี่เป็นกรณีพิเศษ
หัวหน้าพ่อครัวบอกว่า เขาจะทำโจ๊กเพียงคนเดียว ให้คนอื่นทำอาหารของลูกค้าคนอื่นไปตามปกติ
เขาจุดไฟเพื่อตั้งน้ำ ขณะรอน้ำเดือดก็หันไปนำเมล็ดข้าวพันธุ์ดีมาล้างฝุ่นละอองต่าง ๆ ออก ล้างและนวดอย่างเบามือแล้วทิ้งให้สะเด็ดน้ำ ขณะเดียวกันก็คอยระวังความร้อนของไฟเพื่อให้มันคงรสชาติของน้ำแร่และสรรพคุณต่าง ๆ ไว้ จากนั้นก็ลงมือตำเมล็ดข้าวให้ละเอียดหน่อย
ครั้งนี้หัวหน้าพ่อครัวตั้งใจจะทำโจ๊กละเอียดที่เนียนนุ่ม เมื่อน้ำเดือดก็ใส่ข้าวที่ตำแล้วลงไป ลดไฟให้เบาลง แล้วเคี่ยวไปเรื่อย ๆ เขาตั้งใจทำอย่างอดทน จนได้โจ๊กเปล่าที่ขาวเนียนราวกับน้ำนมแต่ก็ข้นและเหนียว
“ข้าจะยกไปเอง” หัวหน้าพ่อครัวบอก
เขายกโจ๊กไปด้วยตัวเอง เนื่องจากอยากเห็นหน้าลูกค้าคนที่จะกินโจ๊กถ้วยนี้เหลือเกินนั่นเอง
“โจ๊กมาแล้วขอรับ”
ปิงเหอละสายตาจากเจ้านายหนุ่มที่ท่าทางอ่อนแรงเต็มที ก่อนจะไปเปิดประตู เขาเห็นคนใหม่ที่ชราแล้วเป็นคนถือมาส่ง ปิงเหอเลิกคิ้วสงสัย
ชายชราผู้นั้นก็คือหัวหน้าพ่อครัวที่เป็นคนทำโจ๊กเปล่าถ้วยนี้ขึ้นมา
“โจ๊กเปล่าขอรับ”
“อ่า” ปิงเหอยื่นมือออกไป ทว่าชายชรากลับไม่ยอมส่งถาดให้
เขากล่าวว่า “ขอข้าน้อยยกเอาไปวางให้ ได้หรือไม่”
“หือ”
“ข้าเป็นผู้ทำโจ๊กถ้วยนี้รวมถึงอาหารทุกอย่างบนโต๊ะ” ชายชรากล่าว
ปิงเหอร้องอ๋อ พ่อครัวคนนี้คงจะข้องใจสินะ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยจนเขาไม่ตกใจอะไรอีก ปิงเหอพยักหน้า ยอมให้หัวหน้าพ่อครัวเข้ามา
ชายชราที่เป็นทั้งพ่อครัวและเจ้าของร้านวางถ้วยโจ๊กตรงหน้าเด็กหนุ่ม
จากสายตาที่ชราแล้วเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ยังอายุไม่มาก น่าจะสิบเจ็ดสิบแปดปีแต่ร่างกายผ่ายผอมผิดปกติ ใบหน้าซูบตอบเนื้อหนังแทบไม่มี เห็นโครงสันกระดูกทุกชิ้นชัดเจน ดวงตาลึกโบ๋ สีหน้าหม่นหมอง ดูไม่สดใส
...หรือเขาจะป่วย บางทีอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการกินก็ได้
ขณะกำลังจะถอยออกมา หัวหน้าพ่อก็มองอาหารบนโต๊ะเร็ว ๆ ทีหนึ่ง อาหารแต่ละจานมีร่องรอยการตักเพียงเล็กน้อย หลายจานยังอยู่ในสภาพเหมือนตอนทำเสร็จใหม่ ๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ถูกแตะต้องเลย
ชายชราขมวดคิ้วแล้วถอยไปยืนอย่างสงบด้านหนึ่ง
ปิงเหอไม่สนใจอีกฝ่าย เขาเดินตรงไปยังเจ้านายของตัวเอง เลื่อนจานอาหารที่ไม่ถูกเหลียวแลออกไปไกล ๆ แล้วทำท่าลุ้นอย่างออกนอกหน้า
สีหน้านั้นบ่งบอกเป็นคำพูดได้ว่า ลองดูสิขอรับ ลองกินดู สักคำก็ยังดี เร็วเข้า
เซียวอี้หยางเหลือบมองคนสนิทยกมือขึ้นจับช้อน นิ้วเรียวที่เห็นข้อชัดเจน คนโจ๊กไปมาอยู่พักหนึ่งก่อนตักขึ้นมาคำเล็ก ๆ แต่แทนที่จะเอาเข้าปาก เขากลับยกขึ้นดม
จมูกของเซียวอี้หยางฟุดฟิดไปมาจากนั้นก็พยักหน้า
ปิงเหอลุ้นจนลืมหายใจ เขาเม้มปากแล้วอ้าออกในจังหวะเดียวกับที่เซียวอี้หยางเปิดปาก จากนั้นปิงเหอก็ทำเสียง “อ้ำ”
เซียวอี้หยางมองปิงเหอขณะส่งโจ๊กเข้าปาก พอเขาอ้าปาก อีกฝ่ายก็อ้าด้วย พอเขางับช้อน อีกฝ่ายก็ทำท่างับช้อนตาม ดูแล้วตลกดี
เซียวอี้หยางเคี้ยวสองสามครั้งแล้วกลืน เด็กหนุ่มมองโจ๊กในชามอยู่พักใหญ่จากนั้นก็ตักขึ้นอีกช้อน อ้าปากรับแล้วก็กลืน ช้อนในมือขยับอีกหลังจากนั้น
ปิงเหอแทบจะโห่ร้อง แต่ยังไม่ทันได้เปิดปาก ก็มีเสียงร้องหนึ่งดังขึ้นก่อน ปิงเหอมองพ่อครัวชราที่กำหมัดร้อง “เย้” ขึ้นมา
ชายชราที่หลุดกิริยาจึงกระแอมกระไอแก้เขิน เขารู้สึกเขินอายจนใบหน้าเหี่ยวย่นแดงขึ้นเล็กน้อย
ปิงเหอถามอย่างตื่นเต้นว่า “กินได้หรือขอรับ”
เซียวอี้หยางที่ตักโจ๊กเข้าปากเป็นคำที่ห้า พยักหน้ารับ
“กินได้ ไม่ได้ปรุงรสอะไร แต่ข้าวมีความหวานและนุ่ม ส่วนน้ำก็มีรสเค็มกลาย ๆ รสชาติใช้ได้”
หัวหน้าพ่อครัวชรายิ้มราวกับได้รับคำชมจากองค์ฮ่องเต้ รู้สึกภูมิใจเหมือนวันแรกที่เปิดร้านอาหาร ส่วนปิงเหอก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส หันไปเอ่ยชมหัวหน้าพ่อครัวหลายคำทั้งยังตกรางวัลเป็นเงินถุงใหญ่
หัวหน้าพ่อครัวรับไว้แล้วยิ้มแย้มพูดคุยด้วยท่าทีนอบน้อม ขณะที่เซียวอี้หยางยังคงตักโจ๊กเข้าปากอย่างช้า ๆ
ปิงเหอถามขึ้นว่า “โจ๊กเปล่าถ้วยนี้มีอะไรพิเศษหรือไม่ เหตุใดไม่ทำอาหารให้ได้เช่นโจ๊กถ้วยนี้เล่า”
“โจ๊กถ้วยนี้มีความพิเศษอยู่ที่พันธุ์ข้าวที่ใช้ขอรับ น้ำที่ใช้ยังเป็นน้ำแร่” หัวหน้าพ่อครัวตอบอย่างไม่ปิดบัง “น่าละอายที่อาหารขึ้นโต๊ะยังไม่ดีพอ คุณชายจึงไม่เพลิดเพลินกับมัน เอาเช่นนี้แล้วกัน อาหารเหล่านี้ไม่คิดเงิน”
“ไม่ต้อง ๆ แค่ทำโจ๊กให้คุณชายของข้ากินได้ก็ดีมากแล้ว อย่างนี้มีแต่ต้องตกรางวัล อาหารพวกนี้ก็คิดเงินไปเถอะ” ปิงเหอหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะถามต่อ “ข้าถามหน่อยได้หรือไม่ ข้าวที่ใช้เป็นข้าวพันธุ์อะไร น้ำที่ใช้ด้วย มีขั้นตอนอะไรที่ทำให้ได้โจ๊กถ้วยนี้มา แน่นอนว่าข้าไม่ถามเปล่าแต่จะจ่ายเงินซื้อสูตร แล้วก็ไม่ต้องกังวล สูตรที่ได้มาจะไม่ทำออกขาย จะทำแค่ในจวนของคุณชายเท่านั้น”
...........................................................
เซียวอี้หยางไม่ได้ป่วยทางจิตหรือมีปัญหาสุขภาพอะไรทั้งนั้น แค่มีลิ้นและจมูกที่อ่อนไหวมากเกินไป ทำให้กินอะไรก็ไม่ค่อยอร่อย นานวันเข้าก็เลยเกิดอาการเบื่ออาหาร ซ้ำร้ายกว่านั้นจมูกยังดีมากอีก อาหารที่ทำไม่ดีแล้วมีกลิ่นคาวแม้แต่นิดเดียวก็ทำให้อยากอาเจียนได้ ในโลกจริงก็มีคนแบบนี้อยู่เหมือนกัน บางคนหูดีได้ยินไกลกว่าคนอื่น บางคนสายตาดี กรณีของเซียวอี้หยางคือต่อมรับรสดีกว่าคนปกติประมาณห้าเท่าและรับกลิ่น
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่