กับดักคามิน-บทที่ 7..3/3

โดย  อัมราน l บรรพตี

กับดักคามิน

บทที่ 7..3/3

หัวหน้าพ่อครัวเองก็ไม่ปิดบัง ตอบอย่างไม่ลังเลว่า

“ข้าวที่ใช้เป็นข้าวสายพันธุ์ดีจากทางใต้ หากจะหาซื้อคงยากสักหน่อยเพราะไม่ค่อยมีใครขนขึ้นมาถึงที่นี่ ราคาก็แพงเอาเรื่อง ส่วนน้ำที่ใช้คือน้ำแร่ของเมืองใกล้กัน เป็นน้ำแร่ธรรมชาติที่มีรสเค็มเล็กน้อย เวลาเคี่ยวโจ๊กต้องระวังไฟให้มาก อย่าให้ไฟแรงเกิน ข้าน้อยได้มาด้วยความบังเอิญ ได้มาไม่มากแต่หากคุณชายอยากกินโจ๊กอีกข้าน้อยจะเก็บวัตถุดิบทั้งหมดไว้ให้”

“ดี” เซียวอี้หยางเผยรอยยิ้มที่มุมปาก

ปิงเหอไม่รอช้า ควักเงินอีกถุงออกมายัดใส่มือหัวหน้าพ่อครัวทันที “เช่นนั้นต้องรบกวนด้วย คุณชายจะอยู่ที่เมืองนี้อีกสองสามวัน วัตถุดิบมีเพียงพอหรือไม่”

“จะมากินทุกมื้อเลยหรือไม่ขอรับ” หัวหน้าพ่อครัวถามขณะคำนวณปริมาณวัตถุดิบที่มีอยู่

“ทุกมื้อ” เซียวอี้หยางเป็นคนตอบ

“...อาจจะไม่พอ”

ปิงเหอเอาตั๋วเงินออกมาจำนวนหนึ่ง กล่าวว่า “ลองหาทางดูหน่อย”

หัวหน้าพ่อครัวมองถุงเงินและตั๋วเงินในมือ กล่าวพึมพำอย่างเหม่อลอย “...ข้าจะลองใช้เส้นสายดูขอรับ”

หัวหน้าพ่อครัวเดินออกไปโดยลืมไปเลยว่า ตนตั้งใจเข้ามาเพื่อถามเกี่ยวกับอาหาร ว่ามีปัญหาอะไร หรือคุณชายคนนั้นไม่ถูกปากตรงไหน แต่มานึกดูแล้ว ปัญหาอาจจะเป็นที่ตัวเด็กหนุ่มคนนั้นก็เป็นได้ คนที่มาด้วยมีท่าทางดีใจที่เห็นเขากินโจ๊กได้จนออกนอกหน้า


ปิงเหอปิดประตูหลังจากชายชราเดินออกไปแล้วก็ยิ้มอย่างแจ่มใส ขณะพูดอย่างรู้งานว่า “พอกลับไปข้าจะส่งคนไปซื้อข้าวกับน้ำแร่ ไม่ว่าอย่างไรก็จะหาทางเอามาให้ได้ขอรับ”

“อืม” เซียวอี้หยางรับคำสั้น ๆ หลังจากได้กินอะไรลงท้องบ้าง ก็ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีขึ้น ไม่หงุดหงิดฉุนเฉียวตลอดเวลาอีกแล้ว

โจ๊กเปล่าถ้วยนั้น เซียวอี้หยางละเลียดกินจนหมด นานแล้วที่เขาไม่ได้กินอะไรจนแน่นท้องเช่นนี้ การเดินทางมาที่นี่ไม่เสียเปล่าเสียทีเดียว

ปิงเหอเองก็อารมณ์ดีมากเช่นกัน เส้นทางจากเมืองหลวงมาที่นี่หากใช้ม้าเดินทางจะใช้เวลาราวยี่สิบวัน แต่ถ้าเป็นการขนส่งจะใช้เวลาสองเท่า ตลอดเส้นทางคุณชายแทบไม่ได้กินอะไรเลย

ไม่ใช่คุณชายเรื่องมาก เขาแค่มีประสาทรับรสดีเกินไป ทั้งยังจมูกดีอีก

ความสามารถนี้ดูจะส่งต่อกันทางสายเลือด มารดาของคุณชายก็เช่นกัน คุณชายรองก็ด้วย ปิงเหอเห็นแล้วยังอดสงสารไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงท่านโหวที่เป็นบิดาและสามี ท่านโหวเป็นห่วงมาก มีสีหน้าปวดใจทุกครั้งที่เห็นพวกเขาผ่ายผอมลงทุกวันจึงมักสรรหาของที่เขาว่าอร่อยมาให้ภรรยาและลูก ๆ ลิ้มลองเสมอ

ไม่ว่าไกลหรือลำบากแค่ไหน ก็จะไปหามาให้จงได้ ด้วยหวังว่าพวกเขาจะกินได้มากขึ้นอีกสักหน่อย

เวลายี่สิบวันที่เดินทางมา คุณชายกินอาหารที่เรียกว่ากินได้เต็มปากเพียงหนึ่งหรือสองมื้อเท่านั้น อย่างมากก็ฝืนกินข้าวเปล่าและดื่มน้ำผึ้งละลายน้ำร้อนประทังชีวิตทุกวัน

ฮ่องเต้เห็นเซียวอี้หยางเช่นนี้ยังทรงรู้สึกเวทนา พระองค์ถึงขนาดส่งพ่อครัวในวังหลวงมาให้ถึงสามคน อาหารเหล่านั้นทำให้ฮูหยินและคุณชายทั้งสองกินได้มากขึ้น ท่านโหวดีใจเป็นอย่างมาก ตกรางวัลให้พ่อครัวอย่างใจกว้างที่สุด อีกทั้งยังทำงานให้ฮ่องเต้อย่างอ่อนโยนทั้งที่ปกติมักคัดค้านงานบางอย่างอยู่บ่อยครั้ง และมักบอกอย่างตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีเท่าไหร่

แต่พอมีเรื่องนี้ ท่านโหวถึงกับพูดตักเตือนอย่างอ่อนโยนจนขุนนางท่านอื่นแปลกใจ ส่วนฮ่องเต้ก็ยิ่งดีพระทัย

ท่านโหวเป็นคนเก่งมากทั้งยังเป็นคนเก่าแก่ตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน การได้คนเช่นนี้มาทำงานให้ ย่อมดี เขาไม่นอบน้อมเกินไป เห็นว่าไม่ดีก็จะคัดค้านและกราบทูลตรงไปตรงมา เสียแต่พูดจาห้วนไปหน่อย พอพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผลด้วยท่าทีอ่อนลง จึงทรงประทับใจมาก

ฮ่องเต้ปฏิบัติกับท่านโหวอย่างดี มักเรียกไปปรึกษาราชการอยู่บ่อยครั้ง ทั้งเปิดเผยและเป็นความลับ นับเป็นคนสนิทคนหนึ่งก็ว่าได้ พระองค์มักเอาข่าวเรื่องของอร่อย ๆ หรือพ่อครัวฝีมือดีไปบอกท่านโหวเสมอ ท่านโหวก็ยิ่งทำงานถวายหัว


คืนนั้นมีเรื่องเกิดขึ้นที่มุมหนึ่งของเมือง นั่นคือจวนของขุนนางกรมคลังที่ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตมาก แต่ก็มีอำนาจไม่น้อย ไม่ว่าใครก็ต้องไว้หน้าเขาบ้าง

แต่ค่ำคืนนี้ กลับมีเงาประหลาดสองเงากระโดดเข้าออกจวนไปมา

เป้าหมายก็คือห้องนอนคุณชายของจวน ชายหนุ่มกำลังหลับสบายอยู่บนเตียง พลันต้องสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจ มือสองข้างถูกมัดไพล่หลังเอาไว้ ที่ข้อเท้ายังถูกมัดจนแน่น ดวงตามืดสนิทเนื่องจากถูกผูกผ้าปิดตาไว้ ปากที่กำลังจะส่งเสียงร้องก็ถูกบางอย่างอุดไว้จนได้แต่ส่งเสียงอู้อี้

“อือ!” ชายหนุ่มตื่นตระหนกสุดขีด เขาตกอยู่ในความหวาดกลัวจนแทบจะฉี่ราด

เสียงอู้อี้ดังอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องโอดโอยในลำคอ เสียงบางอย่างกระทบกันหนัก ๆ หลายครั้ง คุณชายจวนขุนนางตัวงออย่างเจ็บปวด พยายามขดตัวลงเพื่อป้องกันตัวเองแม้จะไม่ได้ผลก็ตาม

เสียงร้องในลำคอกับเสียงตนเองถูกทุบตีไม่เบาเลย เหตุใดบ่าวด้านนอกจึงไม่ได้ยินเสียงหรือนึกเอะใจอะไร นี่จะไม่มีใครมาช่วยเขาจริง ๆ หรือนี่ ยิ่งเขาคิดเช่นนั้นก็ยิ่งหวาดหวั่นจนฉี่ราดออกมาจริง ๆ

ด้านนอก ถูกผู้บุกรุกจัดการเอาไว้แล้วจึงไม่มีใครมาช่วยคุณชายผู้นี้แน่ สาวใช้ก็ถูกทำให้หลับลึก กว่าพวกนางจะตื่นคงเป็นยามเช้านั่นแหละ

ผู้บุกรุกสองคนมีสีหน้าขยะแขยง แทบไม่อยากเชื่อว่าคุณชายผู้นี้จะฉี่ราดออกมาจริง ๆ แม้ตั้งใจจะกระทืบต่ออีกหน่อยก็ทำไม่ลงแล้ว ผู้บุกรุกคนหนึ่งจึงเตะขาที่ถูกมัดอยู่ให้เหยียดออก จากนั้นก็เล็งขาข้างเดียวกับที่ลู่เหวินหัก ยกเท้าขึ้นกระทืบลงไปแรง ๆ

ด้วยวรยุทธ์ของผู้ลงมือ ทำให้ขาข้างนั้นของคุณชายผู้เคราะห์ร้ายลั่นดัง

เป๊าะ!

ขาบิดเบี้ยวผิดรูปอย่างสวยงาม กระดูกที่หักยังหักได้สวยมากด้วย ผู้ลงมือขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจว่าผลลัพธ์เช่นนี้ดีหรือยัง อีกคนก็มองส่วนหัวของคนที่นอนเจ็บปวดจนน้ำตาแตก อ้าปากกรีดร้องลั่น ขนาดมีของอุดปากไว้ยังเอาไม่อยู่ ก่อนจะมีคนมาเพราะเสียงร้อง ผู้บุกรุกจึงตัดสินใจคว้าแจกันใบงามที่มุมห้องมาทุ่มใส่หัวอีกฝ่าย

เพล้ง!

คุณชายผู้เคราะห์ร้ายสลบเหมือดแน่นิ่งไปทันที

“เจ้าบ้า! เดี๋ยวก็ตายหรอก” คนที่หักขาดุด่าคนที่ทุ่มแจกันใส่

คุณชายสั่งให้มาสั่งสอนอย่างมากก็กระดูกหักนอนติดเตียงสักหลายเดือน แต่ไม่ได้บอกให้ฆ่า เอาแจกันทุ่มใส่ขนาดนั้น ประเดี๋ยวก็ตายหรอก

“จริงด้วย” อีกฝ่ายรีบก้มลงไปตรวจสอบลมหายใจ เมื่อเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ก็โล่งใจ เขาจำได้ว่าคุณหนูผู้นั้นถูกทำร้ายหัวกระแทกก็เลยคิดว่าต้องทำให้เป้าหมายหัวกระแทกด้วยนี่นา


เสียงแจกันแตกดังสนั่นจวน ทำเอาคนในจวนตื่นกันหมด เมื่อรู้ว่าต้นเสียงดังมาจากห้องของคุณชายก็รีบวิ่งตรงมา

ผู้บุกรุกพลิ้วกายจากไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงคุณชายผู้แสนโชคร้ายในสภาพอเนจอนาถ

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ขุนนางกรมคลังผู้เป็นบิดาถึงกับตัวสั่นด้วยความโมโห ทำร้ายบุตรชายคนเดียวของเขาถึงเพียงนี้ ใครมันช่างอาจหาญทั้งยังอุกอาจเข้ามาทำร้ายคนถึงในจวน

“ฉวีเอ๋อร์!” ส่วนฮูหยินผู้เป็นมารดาแท้ ๆ ก็ร่ำไห้ นางกล่าวกับสามีอย่างน่าเวทนาว่า “ท่านพี่ท่านต้องแก้แค้นให้ลูกฉวีของเรานะเจ้าคะ ท่านดูสิ ท่านดูสภาพของลูกเรา ข้าไม่ยอม!”

ขณะที่ฮูหยินเดือดร้อนจนเต้นผาง อนุสองคนของขุนนางกรมคลังกลับลอบหัวเราะ

คุณชายผู้นี้เป็นคนชอบโอ้อวดอำนาจ แสดงนิสัยกร่างไปทั่ว คราวนี้คงไปหาเรื่องผิดคนจนเขาตามมาเอาคืนเป็นแน่ คิดไว้แล้วว่าสักวันจะต้องมีวันนี้

ฮูหยินที่มีบุตรชายก็เอาแต่รังแกพวกนางตลอดมา คอยดูเถอะนี่เป็นโอกาสแล้ว ต้องฉวยโอกาสนี้ตั้งครรภ์ให้ได้

อนุทั้งสองเหลือบมองตากัน ความคิดช่างบังเอิญตรงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย หากจะบอกว่านี่เป็นโอกาสก็ถูก แต่ก็เป็นการแข่งกันด้วย ทว่าแทนที่จะมาแข่งกันแล้วถูกฮูหยินกดขี่ สู้พักรบแล้วหาวิธียั่วยวนนายท่านดีกว่า อนุทั้งสองพยักหน้าน้อย ๆ ให้กันเป็นอันเข้าใจตรงกันว่า ช่วงนี้ฮูหยินคงทุ่มเทดูแลคุณชายที่บาดเจ็บ ไม่มีเวลามากีดกันอย่างทุกที โอกาสเช่นนี้มีน้อย ต้องรีบคว้าไว้

“รออะไรอยู่ รีบไปตามหมอมาสิ”

“ขอรับ” บ่าวรีบทำตามคำสั่งเจ้านาย


ไม่นานก็ตามหมอมาได้ หลังตรวจแล้ว ขุนนางกรมคลังก็ถามอาการบุตรชาย

“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”

“คุณชายขาหัก แต่กระดูกหักได้รูป หากต่อกลับแล้วรอให้แผลหายดีก็ไม่มีปัญหา สามารถกลับมาเดินเหินได้ดังเดิมแน่นอนขอรับ แผลที่ศีรษะดูจะน่าห่วงกว่า แผลใหญ่เลือดออกมาก แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่อาการอย่างอื่นคงต้องรอดูตอนคุณชายฟื้น”

หมอตรวจรักษาตามอาการ กระดูกหักได้รูปดีจริง ๆ ราวกับคนตั้งใจให้หัก ต่อกลับแล้วอยู่นิ่ง ๆ จนกว่าจะหายก็คงไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินหรือวิ่ง

“ใช้เวลานานหรือไม่ เขาจะหายทันการสอบเซียงชื่อ* ใช่หรือไม่”

ที่กังวลก็คือเรื่องนี้ อีกไม่นานจะถึงการสอบเซียงชื่อแล้ว

“เอ่อ เกรงว่าจะหายไม่ทันขอรับ กว่ากระดูกจะสมานต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือนแล้วยังต้องพักฟื้น ห้ามขยับตัวจนกว่าจะหาย ไม่เช่นนั้นกระดูกจะเคลื่อนผิดตำแหน่งอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวได้ขอรับ แผลที่ศีรษะก็รุนแรงเอาเรื่อง การสอบเซียงชื่อในอีกสองเดือนนั้น เกรงว่า...”

“บัดซบ! ผู้ใดมันทำ คุณชายของพวกเจ้าไปมีเรื่องกับใครมา ฮะ!” เสียงเกรี้ยวกราดดังลั่น

หากพลาดการสอบปีนี้ก็ต้องรอไปอีกสามปี นี่ไม่นับว่าเสียโอกาสอันยิ่งใหญ่ไปหรอกหรือ อะไรก็เตรียมเอาไว้หมดแล้ว เหล่าคุณชายจากเมืองหลวงก็ทำการสานสัมพันธ์ไว้แล้ว เสียเงินทองไปตั้งเท่าไหร่

บ่าวรับใช้ต่างหวาดกลัวต่อความโกรธเกรี้ยวของผู้เป็นนายก่อนจะนึกย้อนว่า คุณชายไปมีเรื่องกับใครหรือไม่ เพราะช่วงนี้คุณชายระวังตัวมาก เนื่องจากใกล้จะสอบเซียงชื่อแล้ว

จะมีก็แต่...

“เมื่อสองวันก่อน คุณชายมีเรื่องกับคุณหนูลู่บ้านสามขอรับ”

“คุณหนูลู่บ้านสาม” คล้ายจะจำได้ “ใช่คุณหนูที่อ้วน ๆ หรือไม่”

“ใช่ขอรับ เป็นนางนั่นแหละขอรับ”

“เจ้าจะบอกว่าสตรีโง่งมที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลคนนั้นส่งคนมาตีเขางั้นรึ เจ้าคิดว่าข้าโง่?”

สตรีที่ยังเอาตัวเองไม่รอดนางนั้นจะทำเรื่องอย่างนี้ได้อย่างไร เกรงว่าจะมีเบื้องหลังน่ะสิ

..................................................................................................

* การสอบระดับมณฑลหรือภูมิภาค จัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี ณ เมืองหลวงของแต่ละมณฑล เนื่องจากการสอบมักจัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จึงเรียกการสอบในระดับนี้อีกชื่อหนึ่งว่า "ชิวซื่อ" หรือการสอบในฤดูใบไม้ร่วง

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว