เสียงสัญญาณเตือนสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือสีดำแบบบางเฉียบดังขึ้น ชวินทร์ก้มลงหยิบหูฟังบลูทูธขึ้นเสียบที่พอพร้อมกดรับสาย
“สวัสดีชาร์ล พร้อมรึยังสำหรับบ่ายนี้”ปลายสายเอ่ยถามน้ำเสียงแจ่มใส
“แน่นอน”
นายช่างใหญ่ขยับเสื้อโปโลสีนาวีบลูให้ออกนอกกางเกงยีนส์จนรู้สึกสบายตัวขึ้น ร่างสูงใหญ่หย่อนตัวนั่งลงข้างเตียงของตัวเองแล้วย้อนถามคู่สนทนากลับไป
“แล้วคุณแน่ใจนะว่ายังไม่มีใครสงสัยเรื่องนี้”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว เรื่องนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ทางเราไม่มีทางเปิดเผยข้อมูลให้สื่อมวลชนรู้แน่นอน...เว้นแต่”
“เว้นแต่อะไร?”
“ก็อย่างที่รู้ๆกัน...ว่ามีพวกเราในพวกเขา มันก็ต้องมีพวกเขาในพวกเราเหมือนกัน เรื่องแบบนี้มีอยู่ทุกที่คุณคงเข้าใจ”
“จริงสินะ”
ชายหนุ่มยิ้มเย็น มือกำหมัดแน่นสั่นนิดข้อนิ้วทั้งห้าซีดจนแทบไม่มีสีเลือด
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ระทึกที่แท่นขุดเจาะเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า เรื่องนี้เป็นข่าวในเมืองไทยเพียงแค่ข้าม
คืนผู้คนก็ลืมกันแล้ว
หากแต่อีกฝั่งคือด้านของผู้ที่สูญเสียที่ไม่มีทางจะลืมได้ง่ายๆ ชวินทร์จะไม่ยอมให้เพื่อนร่วมงานที่เปรียบ
เสมือนพี่น้องของพวกเขาต้องตายฟรี
เพราะแบบนี้ไม่ใช่หรือ...ที่ทำให้เขาต้องกลับมาเมืองไทย
“แล้วทางโน้นมีอะไรคืบหน้าบ้างไหม?”
“ผมว่า คุณยังไม่ต้องรู้หรอกเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง แล้วก็คนใกล้ชิด...แบบนี้น่าจะดีกว่า”
“คงจะจริงอย่างที่คุณว่า”
บทสนทนามีต่ออีกสองสามคำ เนื้อหาคงมีแต่ต้นสายและปลายสายเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ชายหนุ่มกดวางสายเตรียมตัวอออกเดินทางเพื่อไปตามนัดหมาย
ลมพัดแรงวูบหนึ่งพัดเข้ามาผ่านหน้าต่างข้างหัวนอนผ่านม่านสีขาวเนื้อบางจนปลิวไสว
ลมแรงนั้นมากพอที่จะทำให้การ์ดแต่งงานที่แปรสภาพจากแผ่นตรงเป็นลอนเหมือนกระเบื้องมุงหลังคา
เนื่องจากการเปียกน้ำเมื่อสองสามวันก่อนร่อนตกลงบนพื้นเบื้องหน้าเขา
ชวินทร์หยิบขึ้นมาดูนึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องที่เขาต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินทางกลับไปทำงานให้เร็ว
ที่สุดเมื่อเคลียร์ปัญหาบางอย่างเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งนั้นก็คือวัตถุประสงค์หลักอีกอย่างหนึ่งที่เขาเดินทางกลับมาเมืองไทยในครั้งนี้
หลายปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาเมืองไทย
สาเหตุเพราะต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยสองมือและสองขาของตัวเอง แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อไปให้ไกลเกิน
กว่าที่จะคิดถึงใครบางคน ที่เขาพยายามจะลืม...
ชวินทร์ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการกลับมาครั้งนี้จะเกิดขึ้นหากไม่เหตุการณ์หลายอย่างประดังประเดขึ้นมา
พร้อมๆกัน
แท่นขุดเจาะน้ำมันที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งทรัพยากรมหาศาลแห่งใหม่ของโลกซึ่งเขาได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมงานขุดเจาะ กลับมีอันต้องเกิดระเบิดครั้งใหญ่จนนำมาซึ่งความเสียหายทั้งทางด้านเศรษฐกิจ พลังงาน สิ่งแวดล้อมรอบข้าง รวมปถึงชีวิตเพื่อนร่วมงานอีกหลายสิบคน
สาเหตุของมหันตภัยร้ายครั้งนี้กำลังอยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องถูกพักงานทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่เขาที่มีตำแหน่งเป็นนายช่างใหญ่ผู้ควบคุมการทำงานของแท่นขุดเจาะขนาดมหึมาแห่งนั้น
การเก็บรวมรวมหลักฐานต้องทำอย่างรัดกุมที่สุด รวมไปถึงการให้ปากคำในชั้นศาลด้วย กรณีแบบนี้
ผู้คุมงานทุกส่วนล้วนต้องแบกความรับผิดชอบร่วมกันไปเต็มๆ
หากแต่ต้องรอข้อพิสูจน์อีกหลายอย่างเพื่อหาข้อสรุปว่า ต้นเหตุที่แท้จริงแล้วมามูลเหตุใด
“อ้าว!วินทร์ว่ายังไง จะไปแล้วเหรอ”
ช้องนางวางแก้วพอร์ซเลนในมือลงเบาๆ เมื่อเห็นหลานชายเข้ามานั่งหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ข้างๆ
“ครับคุณย่า ชาอะไรครับหอมจัง”
“ชากุหลาบ...หนูเดือนทำมาให้ สนใจจะลองดูหน่อยไหมล่ะ”
ผู้เป็นย่าลองหยั่งเชิง ดูปฏิกิริยาของหลานชายเมื่อได้ฟังชื่อของหญิงสาวที่ถูกจับให้เป็นว่าที่คู่ตุนาหงัน
“ไม่ดีกว่าครับ ยังอิ่มอยู่เลย”
“งั้นลองขนมจ๊อกดูหน่อยไหม...อร่อยนะ...”
ชวินทร์กระพริบตาถี่ๆมองขนมทรงพีระมิดสีทองอมส้มขนาดพอดีคำจัดที่วางเรียงอยู่ในจานกระเบื้อง
พอร์ซเลนด้วยความสนใจ
“ชื่อแปลกดีนะครับ”
พอลองตักใส่ปากเคี้ยวดูก็ให้ความรู้สึกนุ่มเหนียวกำลังดี
เข้ากับไส้หวานหอมอ่อนๆของมะพร้าวกับน้ำตาลปี๊บที่ผัดจนได้ที่ จนต้องมีชิ้นที่สองตามมา
“อร่อยใช่ไหม”
“ก็ดีครับ”
“ขนมนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อนะรู้ไหม”
ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วส่งชิ้นที่สามเข้าปากไปอย่างรวดเร็ว พร้อมรอฟังเฉลยคำตอบด้วยความสนใจ
“ขนม...นม...สาว”
ขนมที่เอ่ยชื่อถูกตักยื่นไปตรงหน้าชายหนุ่มช้าๆ และย้ำคำพูดเพื่อเน้นเสียงที่...ละ...คำ
“หนูเดือนเป็นคนทำ”ช้องนางยิ้มมีเลศนัย
คนที่เพลินกับขนมจนถึงชิ้นที่สามพาลนึกตามไปถึงสิ่งที่คนอธิบายบอก ทำเอาเจ้าตัวถึงกับสำลักไอจนหน้าดำหน้าแดงหลายที จนผู้เป็นย่าอดสงสารไม่ได้ต้องยื่นแก้วน้ำให้ดื่มตามลงไปทันที
“คุณย่าอยากจะพูดอะไรกันแน่ครับ”
“เอ้า!ขนมนมสาว อร่อยไหมละ”
เสียงกระแอมในลำคอ พร้อมกับการวางมาดขรึมของวิศวะกรหนุ่มดูจะยังไม่ใช่คำตอบที่ผู้เป็นย่าหวังเอาไว้
“อร่อยไหม...ย่าถาม”
สายตามองลอดแว่นนั้นจดจ้องพร้อมรอคำตอบที่น่าพึงพอใจกว่าเดิม แต่จนแล้วจนรอดก็ได้รับเสียงตอบรับมาเพียงว่า
“ก็...แปลกดีครับ”
“แล้วชอบไหม”
“โธ่!คุณย่าครับ ก็แค่ขนมธรรดาคุณย่าจะมาคาดคั้นอะไรกับผมล่ะครับ”
“ย่าหมายถึงหนูเดือน...แกชอบเขาไหม”
คราวนี้คนที่เคยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่งๆอย่างดร.ชวินทร์ถึงกับอึ้งกิมกี่...ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไร
“ผมกับเขาเพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง คงตอบไม่ได้หรอกครับ แต่ที่แน่ๆผมคิดว่าผมคงแต่งงานกับเขาไม่ได้”
ชายหนุ่มกล่าวเสียงหนักแน่น ดวงตามุ่งมั่นเช่นเดียวกับตอนทำงานที่ต่างประเทศ
หลังเกิดเหตุแท่นขุดเจาะระเบิดชวินทร์เองเป็นคนแรกๆที่พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรหลายอย่างไร และพยายามการวิเคราะห์ที่มาของปัญหาดังกล่าว
รวมไปถึงการตั้งข้อสันนิฐานและการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จนระแคะระคายถึงความไม่โปร่งใสบางอย่าง
การข่มขู่เอาชีวิตเริ่มขึ้น...
เริ่มต้นแค่เพียงกระดาษโน้ตใบเล็กๆใบหนึ่ง...จนมาถึงกระสุนปืน
“แกแอบมีเมียแหม่มอยู่ที่เมืองนอกใช่ไหม บอกย่ามา”
“ไม่มีครับ”
“งั้นทำไมกึงไม่ยอมแต่งงานกับหนูเดือน รู้ไหมว่าย่าคุยกับส่องหล้าไว้ตั้งนานแล้วว่าจะให้เราสองครอบครัวได้เกี่ยวดองเป็นเครือญาติกันจริงๆเสียที”
“ที่เป็นอยู่อย่างตอนนี้ผมว่าก็ดีอยู่แล้วนะครับ ผมไม่อยากมีห่วง ไม่อยากมีภาระ อยากอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ สบายใจดี”
นึกถึงตอนที่ถูกคัครางค์ตัดความสัมพันธ์ จู่ๆในใจที่เคยเข้มแข็งแล้วก็กลับเจ็บแปล๊บขึ้นมา ความทรงจำในอดีตเป็นเรื่องที่ผ่านมานานและจบลงไปแล้ว
ขนาดความรักที่บ่มเพาะขึ้นมาหลายปีระหว่างเขากับคัครางค์ ยังไม่สามารถเหนี่ยวรั้งความสัมพันธ์นั้นให้คงอยู่ได้ แล้วประสาอะไรกับเด็กกะโปโลที่เขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลย
ที่สำคัญ...เขาไม่ได้รักเธอ
นายช่างหนุ่มดึงสติกลับมาตรงหน้าได้อีกครั้งเมื่อผู้เป็นย่าท้วงขึ้นกับความคิดเห็นของเขา
“ตาวินทร์!แกจะให้ย่าถูกถอนหงอกอย่างงั้นหรือ?”
ช้องนางสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อก่อนไม่ว่าเธอบอกอะไรชวินทร์จะไม่เคยขัดใจสักครั้ง เพราะเขาเข้าใจดีว่าทุกอย่างที่ผู้เป็นย่าเลือกให้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดีและเหมาะสมกับตัวเขาทั้งสิ้น
ชายหนุ่มถอนใจ ไม่อยากให้ผู้เป็นย่าต้องมารับรู้เรื่องราวอันน่าปวดหัวไปกับเขาด้วย
“มีที่ไหนกันครับ ผมคุณย่ายังดำกริบอยู่ทุกเส้นแท้ๆ”
“อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่นๆนะวินทร์ น้องเขาเป็นผู้หญิงเขาจะเสียหายรู้ไหม”
เมื่อแม่น้ำทั้งห้าเริ่มถูกเชิญมาทำหน้าที่ ชวินทร์ก็ทำได้แต่เพียงยิ้มบางๆ ลุกขึ้นไปกอดคู่สนทนาทำราวกับไม่ได้ยินที่ผู้พูดต้องการสื่อสารออกมา
จากนั้นก็เดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าลงเข้าไปบริเวณด้านหน้าของบ้าน ซึ่งมีรถโฟร์วีลคันใหญ่จอดรอท่าอยู่แล้ว
ปล่อยให้ช้องนางงงเป็นไก่ตาแตก คิดแก้เกมหลานชายไม่ทัน
“โอ๊ย! แล้วฉันจะไปบอกส่องหล้าว่ายังไงกัน”
เสียงเครื่องยนต์รถที่ดังขึ้นเหมือนเสียงเริ่มต้นสตาร์ทการแข่งขันบางอย่างกำลังจะเริ่มขึ้น แต่เธอจะแพ้ตั้งแต่หน้าประตูแบบนี้ไม่ได้ มันต้องมีทางสิ...มันต้องมีสักทาง
ผู้สูงวัยเดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่นอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะปิ๊งไอเดียขึ้นมา
“สองหัวมันต้องดีกว่าหัวเดียวซิน่า”
เธอยิ้มเมื่อคิดได้ว่ายังมีอีกคนที่น่าจะพอช่วยคิดแก้เกมพ่อหลานตัวดีของเธอได้
...............................................................................................................................................................................................................................................................
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว