ตะวันรึงรอน

6. ไฟฟ้าลัดวงจร /2

5

ข้าวใหม่ปลามัน

กลิ่นแบบนี้ข้าวผัดหรือเปล่า เขาไม่ค่อยกินอะไรหนักๆ มื้อเช้าด้วยสิคนทำจะเสียน้ำใจไหมถ้าถูกปฏิเสธ แต่นี่มันวันหยุด เมื่อคืนเสียพลังงานไปเยอะแถมยังตื่นสายอีก กินของหนักท้องหน่อยก็ดี...

คนขบคิดเรื่องที่ไม่เคยต้องคิดเดินปัดผมที่เริ่มยาวจนไร้ระเบียบลงมาตามขั้นบันได ที่ชั้นล่างประตูหน้าต่างทุกบานเปิดโล่งเพื่อรับแสงและระบายอากาศ หยิบกระเป๋าโน๊ตบุ๊คจากชั้นวางข้างบันไดตรงไปยังโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่ชิดมุมในห้องนั่งเล่นที่มีโซฟาเบดสำหรับนั่งๆ นอนๆ ชมโทรทัศน์จอยักษ์ เมื่อวางโน๊ตบุ๊คไว้แล้วก็เดินไปหยิบรีโมตเปิดดูข่าวภาคเช้าตามปกติ ยังไม่ทันนั่งก็เหลียวมองหลังเมื่อรู้สึกถึงความเคลื่อนไหว

ศิราภรณ์ยืนปั้นหน้าไม่ถูกแต่ยังพยายามยิ้มแล้วเอ่ยออกไป

“คุณตะวันจะรับอะไรเป็นของเช้าดีคะ ศิทำข้าวผัดไว้ แต่ถ้า…”

“อะไรก็ได้ กับกาแฟ” ตะวันทำหน้านิ่งตอบไป เมื่อหญิงสาวรับคำหันตัวกลับเขาแทบกลอกตาให้กับตัวเองที่ยังอุตส่าห์สังเกตเห็นท่าเดินที่ดูขัดตา ไปเพียงนิดของเธอ ไม่รู้ว่าอุปทานไปหรือเปล่า...

ศิราภรณ์ไม่จำเป็นต้องถามถึงกาแฟสูตรโปรด เพราะบนชั้นมีแบบซองปรุงสำเร็จอยู่ แสดงว่าตะวันชอบแบบนี้ กาแฟโรบัสต้ารสเข้มข้นเป็นสินค้ามีชื่อของชุมชนจังหวัดใกล้เคียง มันสะดวกทั้งคนชงคนดื่ม ไม่นานเธอก็ยกถาดที่มีกาแฟร้อนๆ ข้าวผัดหมูสับหอมๆ กับไข่ดาวหนึ่งฟองออกมาวางลงที่โต๊ะอาหารในโซนครัวฝรั่ง ซึ่งมีบาร์เครื่องดื่มกั้นกลางระหว่างห้องนั่งเล่นแทนผนังเพื่อความสบายตา มองเห็นเป็นพื้นที่ทั้งห้องอาหารและห้องนั่งเล่นทั้งหมด

“เอามาตรงนี้เถอะ ผมจะดูข่าวด้วย” คนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นไม่ต้องพูดเสียงดังก็ได้ยินชัด

“ค่ะ”

ทำตัวสบายๆ ให้เหมือนเขาสิศิ คุณตะวันไม่เห็นมีท่าทีอะไรเลย เขาไม่พูดถึง ไม่ข้องใจอะไรด้วยซ้ำและเธอยังจะหวังอะไร... หวังหรือ... ไม่หรอก เธอไม่กล้า แค่นี้ก็ดีหนักหนาแล้ว

“ในบ้านมีอะไรจำเป็นต้องซื้ออีกหรือเปล่า ผมให้คนเตรียมไว้ให้แล้ว แต่ถ้าคุณอยากได้อะไรเพิ่มก็จดมาแล้วกัน” ถามขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะผละจากไปหลังจัดอาหารไว้บนโต๊ะเตี้ยระหว่างโซฟากับชั้นวางโทรทัศน์

“ค่ะ เอ่อ... แต่ถ้าศิจะออกไปซื้อเองล่ะคะ”

ตะวันขมวดคิ้ว เอียงคอมองหน้าทันที

“ผมไม่ว่างพาไป” เขายกกาแฟขึ้นดื่ม ก่อนตั้งวางท่าจับช้อนแล้วนิ่ง เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดต่อ

“เอ่อ... ศิไปเองได้ค่ะ มีรถสองแถววิ่งผ่านหน้าหมู่บ้าน น้าอ้อยที่อยู่บ้านข้างหลังบอกว่ามีสายที่ไปโลตัสด้วย ศิอยากจะหาพวกเครื่องปรุงอาหารเพิ่มน่ะค่ะ มันค่อนข้างจุกจิก เลือกเองจะดีกว่า” เธอกล้าร่ายยาวเพราะเห็นเขายังไม่ลงมือกิน แต่พอเธอพูดจบกลับตักข้าวใส่ปากเฉย ทำเอาคนรอคำตอบเดาใจไม่ถูกว่าจะเป็นอย่างไรต่อ จึงได้แต่ยืนสงบนิ่งรอคอย

น้าอ้อยบ้านข้างหลังนั้นได้ทักทายกันตอนที่ออกไปสำรวจพื้นที่หลังบ้าน เพราะรั้วด้านหลังแบบปิดทึบสูงแค่หน้าอก ที่สูงขึ้นไปท่วมศีรษะนั่นเป็นแบบลูกกรงเหล็ก คล้ายจะให้เพื่อนบ้านได้สนทนาเห็นหน้าเห็นตากันบ้าง เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังตากผ้าอยู่จึงได้ยิ้มทักทาย และเมื่อถูกชวนคุยก่อนก็เลยได้เพื่อนเร็วและได้รู้อะไรต่ออะไรที่เป็นประโยชน์ด้วย การคบค้าสมาคมของคนต่างจังหวัดไม่ค่อยเหมือนคนในเมืองกรุง ที่ขนาดบ้านใช้ฝาผนังเดียวกันยังไม่เคยคุยกันเลย

ตะวันเคี้ยวข้าวพลางครุ่นคิด... มาแค่วันเดียวก็อยากออกไปเที่ยวเสียแล้ว และดูเถอะ เพิ่งมาก็รู้จักเพื่อนบ้านเร็วเหลือเกิน ขนาดเขาย้ายมาอยู่เกือบสามเดือนแล้วยังไม่รู้จักใครสักคน

“เอ่อ... ไม่ไปก็ได้ค่ะ ถ้าคุณตะวัน...”

“อยากไปก็ไป” ตะวันขัดขึ้น “เงินค่าใช้จ่ายในบ้านผมจะให้ไว้เป็นรายสัปดาห์ก็แล้วกัน แต่ไม่ต้องขนซื้อมามากๆ หรอกนะ อะไรที่ประหยัดได้ก็ต้องประหยัด ผมไม่ใช่คนรวย”

ศิราภรณ์หน้าตึงไปนิด ตะวันตั้งใจจะบอกอะไรเธอสำหรับการพูดแบบนั้น หรือเขาอาจจะยังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องการแบ่งมรดก ถึงเธอจะไม่รู้รายละเอียดแต่ก็พอรู้มาบ้างว่าเขาแทบไม่ได้อะไรเลยจากคุณหญิงดวงดารา แต่การที่เขาสามารถมาลงหลักปักฐานสร้างโรงงานที่นี่ได้ก็คงไม่ได้ใช้เงินทุนจำนวนน้อย

“ค่ะ ศิจะใช้จ่ายอย่างประหยัด คุณตะวันอยากทานอะไรเป็นพิเศษ ไหมค่ะ ศิจะได้หามาเตรียมไว้”

“ไม่หรอก อะไรก็กินได้ ทำที่คุณถนัดเถอะ”

“ค่ะ” หลังรับคำก็เดินกลับเข้าครัว ในใจรู้สึกโหวงๆ อย่างไรชอบกล

นี่หรือความสุขที่ต้องการ ความสุขที่เกิดขึ้นจากการได้อยู่ใกล้ชิดและคอยรับใช้อย่างที่เคยหวังไว้ ตอนนี้เธอกับคุณตะวันอยู่ด้วยกันในฐานะอะไร ผู้ยากไร้กับผู้สงเคราะห์ เจ้านายกับคนรับใช้ นายจ้างกับลูกจ้าง... หรือผู้ชายโสดคนหนึ่งกับเมียเช่ารายเดือน

เธอเคยวาดหวังถึงการมีครอบครัวที่อบอุ่น บ้านหลังเล็กๆสักหลังกับผู้ชายที่เธอรัก เราจะมีลูกด้วยกันสักสองสามคน เพราะเป็นลูกคนเดียวและอยู่กับแม่เลี้ยงที่เปลี่ยนหน้าสองครั้ง ทำให้ภาพลักษณ์ครอบครัวในฝันของเธอเป็นเหมือนปุยเมฆในอากาศ... คือได้แต่ฝันไปพร้อมๆ กับคิดว่าคงไม่มีวันเป็นจริง

แต่วันนี้ เศษเสี้ยวหนึ่งของความฝันนั้นก็พอจะเรียกว่าเป็นจริงได้แล้ว แม้ไม่ครบองค์ประกอบและมีเวลาจำกัดแค่สองเดือนเท่านั้นก็ตาม

ศิราภรณ์อาบน้ำแต่งตัวใหม่ด้วยชุดเสื้อยืดแขนสามส่วนเอวจั้มกับกางเกงยีนส์ ลงมาบอกคนนั่งทำงานหน้าคอมฯ ว่าเธอกำลังจะออกไปซื้อของ ตะวันเงยหน้าขึ้นจากงานแล้วพยักหน้าให้

“กระเป๋าเงินผมอยู่ในลิ้นชักข้างเตียง ไปหยิบมาที แล้วก็... ซื้อเครื่องนอนชุดใหม่มาเปลี่ยนด้วยก็แล้วกัน”

“ค่ะ”

ศิราภรณ์ดีใจที่เขาพูดแบบไม่มองหน้าในประโยคท้าย เธอจึงได้แต่เดิน หน้าร้อนขึ้นไปยังห้องที่ใช้เวลาอยู่ในนั้นเพียงไม่นาน เมื่อครู่เธอเข้ามาจัดเตียงให้เขาและเห็นแล้วว่ามันสมควรเปลี่ยนใหม่เพื่อเอาไปทำความสะอาดโดยเร็ว เธอไม่เห็นชุดเครื่องนอนสำรองจึงไม่ได้เปลี่ยนให้ ไม่แน่ใจว่าทำไมไม่มีเพราะธรรมดามันต้องมีสิ อย่างน้อยก็สองชุดเผื่อเปลี่ยนเวลาซัก แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าชุดที่สำรองไว้อาจเป็นชุดที่เพิ่งนำไปจัดในห้องของเธอ เพราะมันเป็นเตียงไซส์เดียวกัน สีและแบบคล้ายๆ กันคือโทนสีฟ้าขาวแถมยังเป็นของนอกยี่ห้อเดียวกันด้วย

กระเป๋าหนังแบรนด์ดังสีดำแบบพับไม่หนามากถืออยู่ในมือ ขณะที่หญิงสาวทอดสายตาไปยังจุดสีแดงจางๆ บนเตียง หลักฐานชิ้นสำคัญที่บอกว่าเธอเสียตัวให้เขาแล้ว... คุณตะวันเห็นหรือเปล่า ก็คงเห็น ไม่เช่นนั้นคงไม่พูดเรื่องการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนหรอก... เขาเห็นแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างไหมนะ

ศิราภรณ์ถอนใจเบาๆ หันหลังให้กับสิ่งที่ผ่านไปแล้วเพราะเธอไม่มีสิทธิ์อยากรู้อะไรที่เกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิดของเขา คนอย่างเธอไม่ควรอาจเอื้อม...

เมื่อกระเป๋าเงินถูกส่งให้ ตะวันจึงดึงธนบัตรสีเทากับม่วงรวมแล้วเป็นเงิน สี่พันบาทยื่นกลับไปให้ พลางบอก

“ผมพกเงินสดไม่มาก ถ้าไม่พอก็เอาบัตรไปกด” เขาหยิบบัตรสีเทาเงินส่งให้พร้อมบอกรหัส

“เท่านี้ก็พอค่ะ พวกเครื่องปรุงไม่กี่ตังค์หรอก แต่เครื่องนอนศิไม่แน่ใจว่าที่นั่นจะมีแบบที่คุณตะวันใช้อยู่หรือเปล่า”

ห้างร้านระดับกลางมักจะเข้าถึงความต้องการของคนในพื้นที่ ทั้งด้านคุณภาพและราคา ศิราภรณ์ค่อนข้างมั่นใจว่าของใช้บางประเภทที่วางจำหน่ายอยู่ที่นั่นไม่ได้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของคนที่อยู่ตรงนี้

“ทำไงได้ เลือกที่ดีที่สุดมาก็แล้วกัน” จะให้เขาถ่อไปซื้อถึงกรุงเทพก็เกินเหตุ ทนระคายหลังหน่อยเดี๋ยวก็ชินไปเอง คนส่วนใหญ่ยังอยู่กันได้แล้วทำไมเขาต้องกังวลกับเรื่องขี้ประดิ๋วพวกนี้ เขาอาจชินกับสมบัติพัสถานนอกกายที่ไม่เคยหามาด้วยตัวเอง พอออกมาอยู่แบบนี้จึงรู้ว่ากว่าจะได้อะไรมาสักอย่าง บางครั้งมันไม่ได้ง่ายแค่ชี้นิ้วสั่ง

หลังประตูรั้วเปิดและปิดลง ตะวันละสายตาจากงานตรงหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งอยู่ห่างไปด้านหลังชั้นวางโทรทัศน์ สนามหญ้าโล่งๆ กับรั้วปูนสีขาวแต่งกระเบื้องหินทรายสีอิฐ กับบ้านฝั่งตรงข้ามซึ่งยังไม่มีคนอาศัย... ชีวิตแบบเรียบง่ายแต่ไม่สบายนัก เมื่อก่อนตอนอยู่คนเดียว เขามีคนงานมาทำความสะอาดบ้านและซักรีดให้แบบวันเว้นวัน มันเป็นบริการจากคนของกำนันบัญชา

ก่อนตัดสินใจซื้อบ้านหลังนี้ ตะวันอยู่บ้านเช่าอีกโครงการหนึ่งกับพิชิตและเซอร์กี มันก็โอเค ทาว์เฮ้าส์สามชั้นสี่ห้องนอน เซอร์กีกับพิชิตยึดสองห้องที่ชั้นสอง และยกชั้นสามทั้งชั้นให้เขา ก็อยู่มาได้เป็นปีๆ แต่ครั้นถึงจุดหนึ่งจึงรู้สึกว่าผู้ชายโสดสามคนอยู่ด้วยกันมันค่อนข้างอึดอัดและผูกขาดเกินไป พิชิตกับเซอร์กีเริ่มเข้ากันได้กว่าเขา ซึ่งสองคนนั้นวางให้อยู่ในระดับที่สูงกว่า

พอเซอร์กีเริ่มพาผู้หญิงมาค้างที่บ้านพิชิตก็เอาอย่างมั่ง ตะวันรู้ตัวทันทีว่าเขาอยู่ไม่ได้อีกแล้ว เพราะอะไรน่ะหรือ...ไม่แน่ใจ เขาไม่ได้ถือสาเรื่องพวกนี้ เพราะตัวเองก็เคยทำมาแล้ว แต่ไม่ใช่ในรูปแบบนี้ คือไม่ได้เป็นคนพามาเอง ไม่ได้ปล่อยให้นอนค้างคืน และไม่ได้คบค้าสมาคมด้วย แค่เรียกมาหาเพื่อทำ กิจกามาโดยเฉพาะ ไม่เกินสามชั่วโมงก็เสร็จกิจ ส่งกลับ เขาไม่เคยนอนหลับร่วมเตียงกับผู้หญิงคนไหนเลย ไม่เคยเลยสักครั้ง

อาจเพราะอีโก้ที่ฝังอยู่ลึกๆ ในก้นบึ้งแห่งจิตใจก็ได้ ตะวันไม่ชอบที่ผู้หญิงเหล่านั้นของพิชิตหรือเซอร์กีชอบส่งสายตายั่วยวนให้เวลาพวกเธอเดิน ลงมาจากชั้นบนและเห็นเขานั่งทำงานอยู่ชั้นล่าง เขาไม่รู้จะยิ้มหรือจะทำหน้ายังไงเวลาพวกเธอชวนคุย ไม่ชอบได้ยินเสียงหยอกล้อเชิญชวนแบบส่อเจตนาของานพิเศษด้วยศัพท์แสลงสองแง่สองง่าม เขาไม่ชอบคุยกับผู้หญิงแบบนั้น มันพาลจะหงุดหงิดรำคาญใจอยู่ในที

แล้วกับศิราภรณ์ล่ะ ก็คงคล้ายๆ กัน เขาไม่อยากคุยด้วยมากเกินกว่าที่จำเป็น ถึงจะรู้ว่าเธอไม่ได้เป็นผู้หญิงแบบนั้นแต่เหตุผลที่เธอมาที่นี่ต่างหาก ที่ทำให้เขาไม่อยากแสดงท่าทีอะไรให้เธอเก็บไปคิด... เฉยๆ เสีย ปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามทางของมัน

สักวันก็ต้องจากกัน ถ้าศิราภรณ์หวังหรือคิดอะไรอยู่ในใจ เขารับรองได้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้...ไม่ได้ แน่ๆ!

เขาจะไม่เจริญรอยตามพี่ชาย หวังว่าศิราภรณ์คงไม่คิดที่จะจับเขาด้วยพรหมจรรย์ของเธอ

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว