สู่ชีวิตนิรันดร์-บทที่ 35 อัจฉริยะอันดับหนึ่ง

โดย  สำนักยุทธ

สู่ชีวิตนิรันดร์

บทที่ 35 อัจฉริยะอันดับหนึ่ง

บทที่ 4 มุ่งหน้าสู่จวนตระกูลเย่


นกกระเรียนสยายปีกกว้างขณะบินทะยานอยู่บนท้องนภา ด้วยความรวดเร็วของมันนี้ หมู่เมฆมากมายล้วนถูกพัดพาให้แหวกกระจายออก เงาของมันกลืนกินทิวเขาและธารน้ำ เสียงร้องดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ส่งผลให้เหลียงเฟยที่นั่งอยู่บนหลังนกกระเรียนยักษ์ตนนี้ดูสง่างามและทรงพลังราวกับผู้เปี่ยมด้วยบารมี ไม่เหมือนเด็กหนุ่มธรรมดาเลยแม้แต่น้อย


ร่างของกระเรียนยักษ์ว่ายผ่านนภาสูงอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มาถึงประตูเมืองหลวง หลังส่งหลิงเฟยถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ก็กล่าวร่ำลากันเพียงเล็กน้อยแล้วรีบทะยานกลับสำนักไปในทันที


ภายใต้การร่ำลาของทั้งสองฝ่าย สายตาของเหลียงเฟยเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมาย กระทั่งร่างของกระเรียนยักษ์ค่อย ๆ ลับตาไป เขาจึงได้สติกลับมา ม้วนผ้าไหมถูกนำขึ้นมาอีกครั้งเพื่อช่วยนำทางเขาจากประตูเมืองไปยังจวนตระกูลเย่ที่เป็นเป้าหมาย


เมื่อมาถึงจวนของตระกูลเย่ เหลียงเฟยก็อดที่จะอุทานขึ้นมาภายในใจไม่ได้ ‘ยิ่งใหญ่จริง ๆ!’


ทั่วทั้งเนินเขาว่อหลงมีเพียงจวนของตระกูลเย่เท่านั้น ที่ประตูมีป้ายไม้ไผ่แกะสลักตัวอักขระว่า ‘เย่’ เอาไว้ด้วยฝีไม้ลายมืออันงดงามและทรงพลัง แสดงให้เห็นถึงฐานันดรอันสูงส่ง ลายตวัดของอักขระนี้งดงามและมีเสน่ห์ เป็นหลักฐานยืนยันว่าช่างฝีมือผู้เขียนป้ายนี้ย่อมไม่ธรรมดา หลังคาสูงมุงด้วยกระเบื้องสีชาดแดงตกแต่งด้วยรูปปั้นมังกรและนกกระเรียน ทั้งยังมีเนินเขาลูกหนึ่งเป็นที่ตั้งของสวนหลังจวน อวดโฉมความยิ่งใหญ่ของตระกูลนี้อย่างชัดเจน จวนตระกูลเย่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขาและป่าเขียวชอุ่ม ดูลึกลับและมีเสน่ห์กลิ่นอายของชนชั้นสูง


นอกจากนี้ ยังมีเรือนรับรองอีกหลายหลังอยู่ข้าง ๆ ประตูทางเข้า เรือนเหล่านี้ก่อด้วยอิฐสีแดงและหลังคามุงด้วยกระเบื้องสีเขียว มอบความรู้สึกหรูหราอลังการไม่แพ้กัน สำหรับคนอย่างเหลียงเฟยที่ไม่มีความรู้เรื่องเงินทองสักเท่าไรเขาไม่สามารถประเมินได้เลยว่ามูลค่าที่ใช้ก่อสร้างจวนทั้งหลังนี้มันมากมายขนาดไหน


‘หากได้เป็นบุตรเขยของตระกูลเย่ ชีวิตจะต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน’


‘ไม่รู้ว่าท่านพ่อของข้าสร้างบุญบารมีอะไรมา จึงได้ให้ข้าแต่งงานกับตระกูลดี ๆ เช่นนี้ได้’


“เจ้า! เจ้าน่ะ! เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่?”


ขณะที่เหลียงเฟยกำลังเหม่อมองชื่นชมความรุ่งโรจน์ของตระกูลเย่อยู่นั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงเอ่ยเรียกทำให้ตื่นจากภวังค์ในทันที เมื่อหันกลับไปมองจึงได้เห็นว่าเจ้าของเสียงเรียกคือยามรักษาการณ์ของตระกูลเย่ที่ยืนถือกระบี่กันอยู่หลายคน


อันที่จริงยามรักษาการณ์เหล่านี้ จ้องมองเขามาพักใหญ่ ๆ แล้ว


บุรุษหนุ่มพยายามใจเย็นเขายิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “เฮ้! เฮ้! พวกเจ้าคือยามประจำตระกูลภริยาข้าในอนาคตสินะ ผ้าพวกนี้ไม่ใช่ไม่ใช่ผ้าฝ้ายหรือผ้าป่านธรรมดา แต่เป็นผ้าไหมราคาแพงที่บ่งบอกฐานะตระกูลได้ ไหนจะยังที่ยามทุกคนมีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความขึงขัง ดูทรงแล้วจะต้องเป็นผู้มีฝีมือไม่ธรรมดาทีเดียว”


ทว่าหัวหน้ายามรักษาการณ์กลับไม่ได้คล้อยตามเขา เจ้าตัวแสดงสีหน้าเหยียดหยามและไม่ให้ความสำคัญก่อนจะรีบไล่เหลียงเฟยกลับไป “รีบไปให้พ้น ๆ เสีย วันนี้ไม่มีข้าวเหลือให้แก่พวกเจ้าหรอกนะ!”


เหลียงเฟยหน้าเสียหลังได้ยินประโยคนั้น ใจเขาครุ่นคิดถึงอาภรณ์ที่ตนห่มมา ที่ซึ่งมันก็ไม่ได้ขาดรุ่ยอะไรนักหนา เหตุใดเล่าคนเหล่านี้จึงคิดว่าตนเป็นขอทาน


มีตาหามีแววไม่ เหลียงเฟยได้แต่ส่ายหน้า ขณะยืนเผชิญหน้ากับยามรักษาการณ์ที่หยามเกียรติตน ทั้งยังไม่สุภาพอีก เขาไม่รั้งรอและรีบเดินไปยังประตูทองสัมฤทธิ์บานใหญ่โตแทนทันที


แต่ยามรักษาการณ์เหล่านั้นกลับไม่คิดจะปล่อยผ่าน เมื่อเห็นเหลียงเฟยไม่คิดจะถอนหนี พวกเขาคิดว่าเหลียงเฟยต้องมาก่อกวนแน่ ๆ จึงรีบชักกระบี่ออกมาในชั่วพริบตา แววตาเย็นชาจับจ้องไปยังเป้าหมาย ต้ังท่าโจมตีดั่งทหารม้าที่รอทิ่มแทง


‘พวกนี้คิดจะสู้งั้นเหรอ?’


แม้จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอยู่เล็กน้อย แต่ดูจากสถานการณ์แล้วคงต้องได้มีประมือกันแน่ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว อาศัยรากฐานที่แข็งแกร่ง เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว แย่งกระบี่จากมือยามรักษาการณ์คนแรกมา ชั่วพริบตาก็สะบัดคมกระบี่ไปพาดที่คอของยามนายดังกล่าวโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้โต้กลับแต่อย่างใด “ต่อให้ข้าเป็นขอทานจริง ๆ คมกระบี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใช้กินประทังชีวิตหรอกนะ ข้ามาที่นี่เพื่อหาคน”


ทุกการเคลื่อนไหวของเขาไร้ซึ่งช่องโหว่ แม้ไร้ซึ่งไม้ตาย แต่ก็ทดแทนด้วยความคล่องแคล่ว เห็นเช่นนั้นยามรักษาการณ์หลายคนก็ต้องประหลาดใจ


สังเกตจากสีหน้าของยามเหล่านี้ เหลียงเฟยก็เริ่มมั่นใจว่าวิธีนี้ดูจะได้ผลดีกว่าประมือกันตรง ๆ


“หยุดเดี๋ยวนี้” เสียงก้องกังวานของชายวัยกลางคนดังขึ้น ดูจากใบหน้าแล้ว เขาน่าจะอายุราว ๆ สี่สิบถึงห้าสิบปี เสื้อผ้าหน้าผมถูกจัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อย ใบหน้าดูมีชีวิตชีวา สร้างความรู้สึกประทับใจแรกพบให้เหลียงเฟยพอสมควร ในยุคสมัยนี้ คนที่แต่งกายเรียบร้อยมีไม่มากนัก


ชายวัยกลางคนคนนี้น่าจะไม่ใช่คนทั่วไป เพราะเพียงแค่เอ่ยปากออกมาคำเดียว เหล่ายามรักษาการณ์ก็ไม่กล้าขยับตัวอีก ยืนนิ่งราวกับต้องมนต์สะกดไม่ขยับไปไหน สงัดนิ่งจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจ


“เอะอะเสียงดังอะไรกัน?” บุรุษวัยกลางคนจ้องมองเหลียงเฟยจากหัวจรดเท้าก่อนจะหันไปถามหาความจริงจากยามรักษาการณ์ที่อยู่ใกล้ ๆ


"ท่านลุงฮั่ว พวกข้าพบเจ้าหนุ่มคนนี้เดินเพ่นพ่านอยู่ที่นี่ จึงเรียกมาถามไถ่หมายจะช่วยเหลือ แต่เขากลับโจมตีพวกข้าเสียก่อนครับ!” หนึ่งในยามรักษาการณ์ที่ถูกเหลียงเฟยริบกระบี่ไปรีบแก้ตัวเสียงอ่อน


โชคดีที่ลุงฮั่วเป็นผู้มีสติรู้คิด ไม่เชื่อคำพูดของพวกยามรักษาการณ์ทั้งหมด หันมาถามเหลียงเฟยแทน “เจ้ามีธุระอะไรงั้นหรือ?”


สายตาคู่นั้น ทำให้เหลียงเฟยรู้สึกถึงอันตราย


‘ผู้นี้มีฝีมือสูงส่งนัก’ เหลียงเฟยตระหนักได้ชัดเจน


"ข้ามาหาคนผู้หนึ่ง" เหลียงเฟยกล่าว


"หาผู้ใด?"


“เย่เทียนฉง” ชายหนุ่มตอบ “ท่านพ่อบอกให้ข้ามาหาผู้ที่มีนามนี้”


“เย่เทียน…” ลุงฮั่วค้างไปชั่วครู่ ก่อนจะจ้องมองเหลียงเฟยอีกครั้ง แล้วถามเพิ่ม “เจ้าเป็นใคร? มาหาท่านผู้นั้นทำไม?” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสริมขึ้นในส่วนที่ขัดใจ “จริงด้วย! เจ้าควรเรียกเขาว่าท่านผู้นำตระกูลเย่ หรือท่านแม่ทัพเย่ต่างหาก เจ้าหนู เจ้าต้องหัดรู้จักมีมารยาทเคารพที่ต่ำที่สูงเสียบ้าง”


ในดินแดนแห่งนี้ ผู้ที่กล้าเรียกนามของท่านผู้นำตระกูลโดยตรงนั้นมีน้อยนัก แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับกล่าวชื่อนั้นออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาใด ๆ ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่ง


“ข้าแซ่เหลียง นามว่าเหลียงเฟย เป็นบุตรชายของเหลียงโหย่วกุ้ย ข้าขอรบกวนท่านช่วยไปแจ้งให้เขาทราบทีได้หรือไม่?” เหลียงเฟยพูดจบก็ชูม้วนผ้าไหมขึ้นมา


“แซ่เหลียง? เช่นนั้นเองสินะ ท่านคือบุตรชายของท่านเหลียงโหย่วกุ้ยผู้มีคุณูปการใหญ่หลวงนั่นเอง” แม้ในคราแรกลุงฮั่วจะมีสีหน้าประหลาดใจ แต่เมื่อได้เห็นม้วนผ้าไหมก็ถามด้วยความยินดียิ่ง


“คุณูปการใหญ่หลวง? เหลียงโหย่วกุ้ยผู้นั้นคือท่านพ่อของข้า” เหลียงเฟยกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม


แต่ในใจกลับไม่เข้าใจว่าท่านพ่อของตนช่วยเหลือสิ่งใดผู้นำตระกูลเย่ท่านนี้ไว้ ‘ทุกคนล้วนมีวันดีวันแย่ ดูเหมือนท่านผู้นำตระกูลเย่คนนี้คงประสบวิกฤตในอดีต แล้วท่านพ่อของเขาก็ได้ช่วยเหลือไว้ครั้งหนึ่ง ด้วยความกตัญญูรู้คุณ จึงยอมยกบุตรสาวให้แต่งงานกับข้าสินะ’


‘อืม…ดูเหมือนว่าการทำความดีย่อมได้รับผลบุญ เช่นนั้นการเป็นคนดีก็นับว่าถูกต้องแล้ว’


“เร็วเข้า! รีบตามข้ามาเถิด” พ่อบ้านอย่างลุงฮั่วรีบคว้าเอาสัมภาระของเหลียงเฟยขึ้นมาถือด้วยความเป็นมิตร เขาหันกลับไปพูดกับยามรักษาการณ์ที่มีสีหน้าอ้ำอึ้ง “ต่อไปจงระวังให้มากกว่านี้ หากมีแขกมาเยือนจงแจ้งให้ข้ารับรู้ก่อนจะลงมือใด ๆ”


“รับทราบแล้วครับ” ยามรักษาการณ์ตอบรับพร้อมกัน


“นายท่านกล่าวถึงนายน้อยเหลียงเฟยมาหลายครั้งแล้ว ในที่สุดท่านก็มาถึงเสียที นายน้อยเหลียงเฟย ครั้งนี้ท่านคงจะมาสู่ขอคุณหนูหลิวสินะครับ? ข้าได้รู้จักท่านครั้งแรก คือเมื่อครั้งที่ท่านยังอยู่ในครรภ์มารดาของด่าน ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าเพียงพริบตาเดียวท่านก็โตเป็นหนุ่มแล้ว วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจนข้าประหลาดใจ” ลุงฮั่วจูงมือเหลียงเฟยเดินเข้าไปข้างใน พลางพูดด้วยสีหน้าปลื้มปีติ


เหลียงเฟยหัวเราะรับคำ เมื่อเห็นลุงฮั่วให้การต้อนรับอย่างสุภาพเช่นนี้คงไม่มีปัญหาอะไรในการขอสู่ขอแม่นางเย่แน่นอน


แท้จริงแล้วในตระกูลใหญ่ ๆ ต่างก็จะมีขนบธรรมเนียมของตนเองอยู่


พ่อบ้านอย่างลุงฮั่วคิดว่าเหลียงเฟยคงรู้สึกประหม่า จึงเอื้อมมือไปแตะที่หลังมือของเหลียงเฟยพลางปลอบใจ “บุรุษเช่นท่าน เหตุใดจึงมีท่าทีประหม่ากังวลเช่นนี้? ท่านอย่าได้ห่วง นายท่านจะต้องสนับสนุนท่านแน่ ๆ เขาพูดถึงท่านหลายครั้งแล้วว่าอีกไม่นานท่านคงมา”


“ข้าเองก็คงต้องขอให้เป็นเช่นนั้น” แม้จะเป็นคำตอบ แต่นั่นก็ไม่ใช่คำตอบที่ถูกกลั่นกรองมาดีนัก


ภายใต้การนำทางของลุงฮั่ว ทั้งสองเดินผ่านสวนดอกไม้สองแห่งแล้วเดินขึ้นบันไดหินที่เชื่อมสู่ระเบียงยาว สิ่งแรกที่พวกเขาผ่านคือสระบัวที่มีเนินหินเทียมอยู่ในนั้น ทิวทัศน์สวยงามดูมีรสนิยม


ระหว่างเสาระเบียงมีประติมากรรมนูนสูงสี่ชิ้นที่สมจริงราวกับมีชีวิต และที่ริมสระยังมีกลุ่มประติมากรรมหินอ่อนสีขาวงดงามวิจิตรอีกด้วย จากฝีมือการแกะสลักและวัสดุที่ใช้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นผลงานของช่างฝีมือระดับเอก


ในเวลานี้พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นสู่จุดสูงสุดของท้องฟ้า สระน้ำสีมรกตเป็นประกายวาววับสะท้อนเงาของท้องฟ้าสีครามและก้อนเมฆสีขาว ส่องประกายระยิบระยับอย่างน่าหลงใหล


ทุกสิ่งทุกอย่างในจวนหลังใหญ่นี้ได้รับการดูแลอย่างเคร่งครัด ต้นไม้ทุกต้นได้รับการตกแต่งอย่างเรียบร้อยสง่างาม ทางเดินทุกสายได้รับการทำความสะอาดอย่างประณีต คนรับใช้ที่ผ่านไปผ่านมามีมารยาทสุภาพอ่อนน้อม แม้แต่รอยยิ้มของพวกเขาก็แย้มแต่พอดี เช่นเดียวกับรูปลักษณ์ภายนอกของจวนหลังใหญ่นี้ หรูหราแต่ไม่ฟุ้งเฟ้อ รวยรื่นแต่ไม่หยิ่งผยอง


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว