สู่ชีวิตนิรันดร์-บทที่ 2 คู่หมั้น

โดย  สำนักยุทธ

สู่ชีวิตนิรันดร์

บทที่ 2 คู่หมั้น

บทที่ 2 คู่หมั้น


เพียงแค่เห็นภาพวาดนั้น ก็ทำให้หัวใจเต้นรัว ช่างงดงามเหลือเกิน งามวิสุทธิ์ผุดผ่องดุจนางฟ้าที่อวดกายงามจากแดนสวรรค์


‘คิดแล้วก็ปวดร้าวในใจยิ่งนักที่ดอกไม้งามจะต้องตกอยู่ใต้โคลนตม!’ เหลียงเฟยบ่นในใจอย่างเจ็บแค้น รู้สึกว่าโลกนี้ที่ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย


ยามที่แม่สื่อหวงรับรู้ถึงความตกตะลึงและหลงใหลจากคุณชายโหลวและคนรอบข้างที่มีต่อสตรีงามในภาพวาด นางก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา “แน่นอนสิคุณชายโหลว! นางสวยกว่าในภาพวาดนี่เสียอีก ช่างเขียนภาพเองก็บอกแล้วว่านางผู้นั้นงามสง่ายิ่งนัก งามจนยากที่จะสื่อออกมาเป็นรูปภาพได้”


คุณชายโหลวพยักหน้าพอใจ พลางกล่าวขึ้น “ดี! จงไปแจ้งท่านพ่อของข้าให้เตรียมการสมรสให้ดี! หลังจากนี้อีก 2 วันข้าจะลงจากเขา อ้อ แล้วก็พาแม่สื่อหวงไปส่งให้ข้าด้วย!”


เฉิงหัวที่ได้ยินจำต้องยอมทำ แม้เขาจะรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องแบกหญิงรูปร่างน่าเกลียดอย่างแม่สื่อหวงลงจากภูเขา แต่นี่ก็ถือเป็นโอกาสที่คุณชายโหลวมอบให้แล้ว นั่นเพราะหากเขาส่งแม่สื่อหวงลงเขาไปได้อย่างปลอดภัย นางอาจจะแนะนำสตรีงามให้แก่เขาบ้างก็เป็นได้


ทางด้านของเหลียงเฟยที่เห็นแม่สื่อหวงกำลังจะจากไป เขากัดฟันแน่นแล้วก้าวเข้าไปขวางทาง โพล่งออกมาเสียงดังให้นางได้ยิน “แม่สื่อหวง! ท่านช่วยแนะนำสตรีให้ข้าด้วยเถิด ข้าไม่ได้มีข้อเรียกร้องใด ๆ มากนัก ไม่จำเป็นต้องงดงามหรือสุภาพอ่อนหวานได้ ขอเพียงแต่รักและหวงแหนข้าก็เพียงพอแล้ว”


พลันเมื่อฝูงชนรอบข้างได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างก็พาหัวเราะเยาะเสียงดัง ประชดประชันว่าเขาเป็นเพียงคนยากจนไร้ฐานันดร เป็นแค่ผู้ฝึกสัตว์อสูรของสำนักเซียนหยูฮั่วแต่กลับไม่เจียมตัว มองการณ์ไกลหวังสูงให้แม่สื่อช่วยหาสตรีให้ ในหัวเขาคิดแต่เรื่องนี้จนเสียสติไปแล้วหรือไร?


สุรเสียงรอบกายถูกเติมเต็มด้วยคำถามอันมากมายจนแยกที่จะไล่ทยอยตอบ


“เจ้ามีเงินหรือ?”


“มีสิ่งของเพื่อแลกเปลี่ยนกับแม่สื่อหวงหรือไง?”


“เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าหากลำพังเลี้ยงตัวเองยังไม่รอด ชีวิตคู่ของพวกเจ้าก็จะไปไม่รอดน่ะ??”


“เหตุใดแม่สื่อหวงจึงต้องแนะนำให้เล่า?”


“คิดจะให้สตรีผู้เลอโฉมที่หลงเสน่ห์เจ้าไปช่วยเลี้ยงอสูรด้วยหรือไร?”


“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” ท่ามกลางคำถามเหล่านั้น แม่สื่อหวงหัวเราะลั่น นางไม่ปฏิเสธเหลียงเฟยในทันที “ได้สิ หนุ่มน้อย ในเมื่อข้อเรียกร้องของเจ้าไม่สูงนัก ข้อเรียกร้องของข้าก็ไม่สูงเช่นกัน หนึ่งร้อยตำลึงสำหรับคำขอของเจ้า แล้วข้าจะหาสตรีในฝันของเจ้าให้”


เหลียงเฟยลูบกระเป๋าของตนเอง คำพูดในหัวกับเบี้ยเงินในกระเป๋านั้นว่างเปล่าไม่ต่างกันสักเท่าไหร่


“ไม่มีหรือ?งั้นห้าสิบตำลึงก็แล้วกัน… ยังไม่มีอีกหรือ งั้นถ้าเป็นสิบตำลึงล่ะ?…สิบตำลึงก็ไม่มีอีกหรือ? เอ่อ เช่นนั้นข้าจะยอมทำความดีสักครั้ง หนึ่งตำลึงสำหรับคำขอของเจ้า ตกลงไหม?” แม่สื่อหวงถามไม่หยุด แม้วาจาจะดูโอนอ่อนราวกับนางใจดี แต่แท้จริงแล้วนี่คือคำเยาะเย้ยที่มากด้วยการจิกกัดและถากถาง


เสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากผู้คนรอบข้างยิ่งดังขึ้นมากกว่าเดิม


คุณชายโหลวที่อยู่ไม่ไกลก็ร่วมวงสนทนาหยามเหยียดนี้ด้วย “ฮ่า ๆ ๆ น่าขันจริง ๆ แม้แต่หนึ่งตำลึงก็ไม่มี เจ้ายังคิดอยากจะมีสตรีให้โอบกอดหรือ? ฝันกลางวันอยู่หรือไง!”


ลำพังถูกแม่สื่อหวงเย้ยหยันนั้นก็มากพอแล้ว นี่ยังมาถูกคนอื่น ๆ ร่วมวงสอดประสานเสียงวิจารณ์ให้มากความไปอีก แม้เขาจะรู้ดีว่าตนไม่คู่ควรกับสตรีดังที่คนอื่นพูด แต่มันก็อดที่จะนิ่งเฉยไม่ได้ โดยเฉพาะยามที่คุณชายโหลวเข้ามาถากถางเขาด้วยอีกคน เหลียงเฟยกำหมัดแน่นจนเห็นเด่นชัด เขาเปล่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแล้วทะยานหมัดพุ่งเข้าใส่คุณชายโหลวโดยไม่สนใจอีกแล้วว่าจะชนะหรือไม่ ขอเพียงได้ระบายอารมณ์โกรธที่สั่งสมอยู่ก็พอ


คุณชายโหลวเอี้ยวตัวหลบแล้วเยาะเย้ยเขาต่อ “ผู้ฝึกสัตว์อสูรเช่นเจ้า แม้แต่สิทธิ์ในการเรียนวิชาก็ยังไม่มี แถมตัวเจ้ายังอยู่แค่ขอบเขตขัดเกลากระดูกขั้นสูงเท่านั้นยังจะกล้ามาสู้กับข้าผู้เป็นราชันยุทธ์ขั้นสูงอีกหรือ? น่าขันนัก!”


เหลียงเฟยยังคงพุ่งเข้าไป แม้จะรู้ว่านี่ไม่ได้ต่างอะไรกับการขว้างไข่ใส่ก้อนหิน แต่เขาก็ยังคงทำมันต่อไป ไม่ย่อท้อ


ถูกคนอื่นเยาะเย้ยขนาดนี้ หากไม่ตอบโต้เสียบ้างก็จะถูกมองว่าเป็นคนที่สามารถเหยียบย่ำได้ง่าย ๆ นานวันไปจะไม่สามารถชูคอขึ้นมาได้อีก เช่นนั้นแล้วเกิดเป็นคนย่อมต้องสู้คนเมื่อถึงเวลาที่จำเป็น!


มีคำกล่าวที่ว่า ‘แก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สาย’ แต่สิบปีผ่านไปแล้วฆ่าเขาตายก็ยังไม่สบายใจเท่ากับการซัดเขาสักสองสามหมัดให้สะใจเสียตอนนี้


ดูด้วยตาเปล่า แม้โหลวอวี้ตี๋จะไม่มีลูกน้องคอยช่วยเหลือคุ้มกัน แต่เพียงเขาคนเดียว เหลียงเฟยไม่ใช่ภัยคุกคามอะไรเลย ไม่ต่างกับมดปลวกที่เอาชนะได้ง่าย ๆ


ในแดนเสินอู่นี้ ขั้นสร้างรากฐานการบ่มเพาะนั้น แบ่งเป็น 5 ขอบเขต ได้แก่ กลั่นปราณ เสริมกำลัง ก่อกายา ขัดเกลากระดูก ผสานร่าง


จากนั้นจึงจะสามารถฝึกฝนวิถีเทพได้ เรียกว่า ‘ผู้ฝึกยุทธ์’ ซึ่งมีการแบ่งลำดับขั้นเป็น ปรมาจารย์ยุทธ์ ยอดยุทธ์ ราชันยุทธ์ จ้าวยุทธ์ ปราชญ์ยุทธ์ จักรพรรดิยุทธ์ เซียนยุทธ์ มหาเซียนยุทธ์ เทพยุทธ์


การขัดเกลาร่างกายในขั้นสร้างรากฐานทั้งห้าขอบเขตนั้น เป็นเพียงการเตรียมร่างกายให้พร้อมในการฝึกศาสตร์วิถีเทพเพื่อเป็นผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น เหลียงเฟยไม่ได้เกิดมาในตระกูลผู้ฝึกยุทธ์ มันทำให้เขาไม่มีโอกาสบ่มเพาะวิถีเทพ พลังภายในของเขาจึงอยู่ที่ขอบเขตการขัดเกลากระดูก และแม้เขาจะอยู่ในขั้นสูงสุดของขอบเขตนี้ แต่การจะเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นราชันยุทธ์ได้คงเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินไป


อย่างไรก็ดี แท้จริงแล้วเหลียงเฟยมีเหตุผลที่ทำตัวบุ่มบ่ามได้อย่างไม่เกรงกลัว แม้เขาจะไม่ได้ร่ำเรียนในวิถีเทพ แต่เขาก็ได้ค้นพบความลึกลับของพลังแห่งธรรมชาติ และคิดค้นศาสตร์บงการสวรรค์ขึ้นมาด้วยตนเอง ที่ซึ่งเป็นวิชาควบคุมวัตถุระยะไกล ไปจนถึงการควบคุมร่างกายและจิตวิญญาณของผู้อื่น


มีการแบ่งขั้นคล้ายกับวิถีเทพ โดยแยกได้เป็น 10 ขั้น ได้แก่ ญาณ ญาณสัมผัส ญาณบงการ ญาณจิต ญาณนิมิต ญาณนภา เทวะญาณ มหาเทวะญาณ สูญญาณ อภิญญาญาณ


เหลียงเฟยไม่รู้ว่าเขาจะสามารถบรรลุถึงขั้นสูญญาณและอภิญญาญาณอันถือเป็นขั้นที่เหนือกว่าอมตะมนุษย์อย่างเทพยุทธ์ได้หรือไม่ แต่ตลอดมาเขาก็พยายามอย่างสุดความสามารถ จนตอนนี้บรรลุถึงขั้นเริ่มต้นของญาณบงการได้แล้ว เขาสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุเล็ก ๆ ด้วยพลังจิต และมั่นใจว่าต่อไปในระดับที่สูงขึ้นก็จะสามารถควบคุมวัตถุขนาดใหญ่ได้


การประลองระหว่างสองศาสตร์วิชากำลังจะเริ่มต้นขึ้นเพื่อหาความเป็นหนึ่ง!


ทว่าทุกอย่างก็ต้องหยุดลงก่อนอย่างน่าเสียดาย เมื่อบนท้องฟ้าที่เคยเงียบสงัดกลับปรากฏร่างของผู้เฒ่าผอมซูบในชุดขาวกำลังทะยานลงมา กฎห้ามทะเลาะกันในสำนักนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อเหล่าศิษย์ตั้งแต่แรกที่ได้เข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นกฎข้อนี้ก็ยังคงเป็นกฎข้อที่ถูกละเลยอยู่เป็นประจำ มีเพียงการต้องเผชิญหน้ากับผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักเท่านั้น พวกเขาถึงจะยอมเคารพในกฎบัญญัติ


เมื่อคุณชายโหลวเห็นผู้เฒ่าชุดขาว เขาก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก แววตามากด้วยความอาฆาตกราดใส่เหลียงเฟยก่อนจะยอมถอยกลับออกไป


ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างพากันสงสัยว่าเหตุใดผู้เฒ่าชุดขาวถึงมาที่นี่ เพราะบุรุษสูงวัยผู้มีบารมีสูงส่งเยี่ยงนักบวชผู้ไร้มลทินท่านนี้ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากท่านอาจารย์เทียนอี้ผู้อยู่ในขั้นเซียนยุทธ์ระดับสูง ตามปกติแล้วเขามักจะไม่ค่อยปรากฏกายออกมาให้เห็นบ่อยนัก


ท่านอาจารย์เทียนอี้เดินตรงมาหาเหลียงเฟย เขาส่งภาพวาดและม้วนผ้าไหมให้ พร้อมคำชี้แนะ “เหลียงเฟยบิดาของเจ้าบอกข้าไว้ว่า เจ้าต้องเข้าร่วมพิธีหมั้นในเมืองหลวงกับตระกูลเย่ ดังนั้นเจ้าจงรีบลงจากเขาแล้วไปรับเจ้าสาวของเจ้าเสียเถิด รายละเอียดทั้งหมดถูกบันทึกไว้บนผืมไหมนี้แล้ว”


เหลียงเฟยรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขาตอบรับอย่างช้า ๆ ขณะที่มือค่อย ๆ คลี่ดูม้วนภาพวาด มันเป็นภาพของสตรีผู้มีใบหน้างดงามราวกับตัวนางนั้นคือเทพธิดาในความฝัน ขาวผ่องดั่งบุหงาเล่นแสงจันทร์ อวดรูปพรรณที่วิจิตรงดงาม


คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเหลียงเฟยต่างก็อ้ำอึ้งเมื่อเห็นภาพวาดไปตาม ๆ กัน พวกเขาต่างพากันครุ่นคิดถึงบุญวาสนาที่มากล้นของเจ้าหนุ่มคนนี้ เหตุใดจึงมีพิธีหมั้นกับสตรีผู้งดงามราวกับนางสวรรค์ได้


แม่สื่อหวงเองก็พินิจภาพวาดของสตรีงามด้วยแววตาประหลาดใจเช่นกัน นางเคยพบหญิงสาวมามากมายจากหลายเมือง แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังกล้าที่จะกล่าวว่านางในภาพนั้นเป็นผู้ที่มีสิริโฉมงดงามและมากด้วยเสนห์ที่สุดในบรรดาสตรีที่นางได้พบเจอ


ผิดกับคุณชายโหลวที่กำลังโกรธจัด เขาขบกรามแน่น แล้วย่ำเท้าเดินไปหาท่านแม่สื่อหวงทันที บุรุษหนุ่มแห่งตระกูลโหลวพูดพึมพัมราวกับว่ากำลังขอให้แม่สื่อหวงช่วยหาสาวงามนางอื่นที่งดงามกว่าคู่หมั้นของเหลียงเฟยให้ได้


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว