องค์หญิงใหญ่ 长公主-ตอนที่ 11

โดย  โปรเจคพิเศษ by Hongsamut

องค์หญิงใหญ่ 长公主

ตอนที่ 11

ใช่แล้ว นี่คือแผนที่หลิวเจี้ยนคิดได้ แม้จะดูไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่มาดแมนเท่าไหร่ แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่หลิวเจี้ยนคิดออก หากไม่ใช่เพราะซุนโหวหวังยึดถือแนวทางไม่ตบตีสตรี หลิวเจี้ยนเองก็คงจะใช้วิธีอื่นที่ดูดีกว่านี้


ตอนนี้สตรีทั้งหกต่างอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ รอยขาดบนชุดล้วนแล้วแต่ไม่ได้เกิดจากรอยกระบี่ แต่มันคือรอยฉีกกระชากของมนุษย์ทั้งสิ้น

แผนของหลิวเจี้ยนนั้นเรียบง่ายยิ่ง มันใช้หมอกควันพรางตัวในขณะที่ใช้เนตรจ้าวมังกรสอดส่องราวกับใช้แว่นอินฟราเรดในการหาตัวของเป้าหมายของมัน แล้วเมื่อเห็นเป้าหมาย หลิวเจี้ยนที่คอยนำทางให้ซุนโหวหวังที่จับหัวไหล่ของมันอยู่และกระซิบบอกทิศทางจึงได้เริ่มปฏิบัติตามแผน โดยหลิวเจี้ยนจะตีกระบี่เพื่อหลอกล่อให้พวกนางยกดาบขึ้นมาปัดป้องในขณะที่ซุนโหวหวังแอบดึงกระชากตู้โตวของพวกนางออกมา

แต่ทว่าเจ้าบุรุษหน้าขนนั้นไม่วาย มันไม่เพียงดึงกระชากชุดเสื้อผ้าของพวกผู้หญิงตระกูลอุสางิ มือที่แสนจะซุกซนของคนกลับบีบคลึงไปที่หน้าอกของพวกนางด้วยจนทำให้เกิดเสียงวี๊ดว๊ายเมื่อก่อนหน้านั้นเอง

และแน่นอนทุกการกระทำของสหายล้วนอยู่ในสายของหลิวเจี้ยนทั้งหมดจนทำให้บุรุษคิ้วบางเกิดคำถามขึ้นมา ว่าสิ่งที่ซุนโหวหวังทำมันคือการทำร้ายอิสตรีที่มันบอกว่าจะไม่มีวันทำร้ายมิใช่หรือ?


“ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเลย..ข้าไม่เห็นอะไรจริง ๆ นะ” หลิวเจี้ยนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สุดแสนจะร่าเริงขี้เล่นในขณะที่ดวงตาของมันก็ทำเหมือนพยายามไม่มองไปทางพวกนางทว่าช่องตรงซอกนิ้วนั้นบอกได้เป็นอย่างดีว่ามันนั้นดูพวกนางอยู่


“แต่ฉันเห็น!! เห็นทั้งหกคู่เลย!! ฉันขวาคนขวานั้นถนัดมือสุด..”

ดวงตาของซุนโหวหวังตอนนี้หวานฉ่ำ เจ้าบุรุษหน้าขนต่างมองไปที่เนินอกของพวกนางทั้งหมดและเนื้อขาวใต้เสื้อผ้าที่ขาดเวิ่นอย่างไม่วางตา


ด้านสตรีทั้งหกที่ถูกซุนโหวหวังรังแกต่างพากันขดตัวใช้มือป้องปิดสิ่งสงวดอย่างกระเสือกกระสน แต่ทว่ารอยฉีกขาดบนเสื้อผ้าของพวกนางนั้นมันกว้างใหญ่เกินไป สิ่งที่พวกนางทำได้ก็มีแต่หมุนตัวหันหลังหลบเลี่ยงสายตาอันหยาบโลนของซุนโหวหวังเท่านั้น

“หากเจ้ายังไม่เลิกมองพวกนาง ข้าจะควักลูกตาของเข้ามาเหยียบย่ำเสียเดี๋ยวนี้!!” นามิตอนนี้โกรธจนลืมตัว นางตวาดพร้อมมองตรงไปยังซุนโหวหวังโดยลืมไปแล้วว่าคนที่นางข่มขู่มีสถานะทัดเทียมกับคุณหนูของนาง


“เลิกมอง? บ้าไปแล้วหรือแม่หญิงนามิ โอกาสแบบนี้ใช่มีมาบ่อย ๆ”

คนกล่าวไม่กล่าวเปล่า มันได้หยิบตู้โต้วอีกสี่ผืนที่มันมีขึ้นมา ผืนหนึ่งใช้โพกหัว ใช้สองผืนสวมใส่ราวกับมันเป็นอิสตรีมีหน้าอก ส่วนอีกสองอันใช้สูดดมสลับซ้ายขวาอย่างสุขสำราญ

“นับว่าแม่หญิงซากิเลี้ยงดูสาวใช้ได้ดีนัก กลิ่นตัวของพวกหล่อนมีแต่กลิ่นบุปผาที่หอมเย้ายวนกันทั้งนั้น... ซูด.....อ้าร์.... ห้อม..หอม”


“เปิดตาข้ายิ่งนักซุนโหวหวัง ตลอดมาข้าคิดว่าเจ้าเป็นเพียงบุรุษเจ้าสำราญธรรมดา ๆ แต่วันนี้เจ้าได้เปิดตาข้าแล้วว่าเจ้ามันก็แค่ไอ้คนโสโครกสันดานต่ำช้า!”

ดวงตาของอุสางิซากิตอนนี้ต่างสลัดคราบน้ำแข็งล่อนหลุดจนหมด นางที่ปกติทำตัวเย็นชาต่อทุกสิ่งบัดนี้กลับมีเพลิงลุกโชนอยู่ที่ดวงตาคู่งามคู่นั้น เพราะสิ่งที่ซุนโหวหวังกระทำต่อคนของนาง มันก็ไม่ต่างกับซุนโหวหวังเดินมาตบหน้านางฉากใหญ่ มันเป็นการหยามเหยียดกันจนเกินไปแล้ว


“เปิดตา..? ไม่เลยแม่หญิง..ไม่เลยแม่หญิงซากิ เป็นแม่ต่างหากที่ทำให้สายตาของฉันกระจ่างชัดขึ้น ฉันไม่เคยคิดว่าแม่และคนของแม่จะลอบทำร้ายฉันแบบเมื่อครู่... และสิ่งเดียวที่ฉันจะเปิดให้แม่..ไม่ใช่เพียงดวงตาเท่านั้น...”

ความหยาบโลนผ่านดวงตาของซุนโหวหวังเมื่อคนยิ่งพูด ความหื่นกระหายที่มันแสดงออกมาก็ยิ่งมาก

“แต่จะเป็นของภายใต้ตู้โตวของแม้ต่างหากที่ฉันจะเปิดดูด้วยหากแม่ไม่ยอมเลิกราต่อฉัน..” ซุนโหวหวังเลียริมฝีปาก “และฉันมั่นใจ.. ว่าของแม่คงนุ่มกว่าคนอื่น.. ฉันจะช่วยนวดแทนอ้ายหม่าเฟยเอง..”


“บังอาจ!! เจ้ากล้า..”


“หุบปาก!!”

นามิพยายามจะต่อว่าซุนโหวหวัง แต่ทว่ากลับถูกบุรุษหน้าขนตวาดสวนกลับมาด้วยเสียงที่ดังคำรามดั่งกับเสียงของสัตว์อสูร ตอนนี้ซุนโหวหวังโกรธจัดแล้วเช่นเดียวกัน

“นี่ฉันเห็นแม่ถูกเกลอของฉันลงมือแล้วจึงละเว้นแม่นะ..แม่หญิงนามิ แต่ถ้าแม่ยังไม่เลิกปากมาก..แยกแยะไม่ออกว่าใครคือนายใครคือบ่าว แม่เชื่อไหมว่าสิ่งที่แม่จะได้รับมันจะหนักหนากว่าการแค่ฉกตู้โตวมา...” ซุนโหวหวังยกนิ้วชี้ไปทางนามิ “ฉันบอกได้เลย.. แค่ฉันเอ่ยเพียงคำเดียวต่อท่านหญิงยูกิ.. แค่คำเดียวแม่เอ๋ย.. แม่คงรู้ว่าจักเกิดอันใดขึ้น”


ด้วยดวงตาที่เต็มไปตัวตัณหาของซุนโหวหวังที่สาดมองมา มันช่วยไม่ได้ที่ตัวของนามิจะรีบยกแขนซ้ายขวาขึ้นมาปิดทรวงอกเอาไว้แม้ว่านางจะยังคงมีเสื้อผ้าที่สมบูรณ์พร้อมก็ตามที

แล้วก็เป็นเช่นซุนโหวหวังกล่าว ไม่เพียงอุสางิยูกิ..แม่ของอุสางิซากิจะส่งนางให้ในทันทีที่ซุนโหวหวังร้องขอ เผลอ ๆ

นางคงได้นอนแผ่อยู่บนเตียงในบ้านตระกูลซุนเป็นเพียงแค่เด็กอุ่นเตียงขอมันแน่


“ซุนโหวหวัง!! คืนตู้โตวมา!!” อุสางิซากิกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นเหยียบขณะที่ดวงตาของนางจ้องมองไปยังบุรุษหน้าขนราวกับจะใช้ดวงตาคู่นั้นจ้องมองให้อีกฝ่ายถูกไฟแค้นที่ประดับอยู่ที่นัยน์ตาของนางแผดเผาจนตาย


“อ๊ะ..อ๊ะ..อ๊ะ แม่นางอุสางิ ของแบบนี้ได้มายากนัก จะให้คืนง่าย ๆ เพราะคำขู่ของเจ้า พวกข้าก็ขาดทุนแย่สิ” หลิวเจี้ยนที่เงียบมานานพลันเอ่ยขัดออกมา

มือขวาของคนที่แกล้งทำปิดตาเมื่อครู่ก็ได้ยื่นแบออกไปทางเบื้องหน้า “ตู้โตวหนึ่งชิ้นต่อแก่นปราณอสูรหนึ่งร้อยคะแนน”


มือของอุสางิซากิเกร็งกำแน่น

“เจ้าชื่อหลิวเจี้ยนใช่หรือไม่... เจ้าคงจะรู้ว่าข้าคือใคร หากเจ้ายังกล้าลองดีกับข้า แม้ข้ามิอาจทำอะไรได้ซุนโหวหวังได้แต่สำหรับเจ้า.. มันก็อีกเรื่องหนึ่ง!! เจ้ารีบ ๆ คืนตู้โตวมา..อย่าให้ข้าต้องเข้าไปเอาเอง!!”


“นี่..แม่นางอุสางิเผื่อเจ้าไม่รู้ แผนนี้ข้าเป็นคนคิด.. เจ้าคิดหรือว่าข้าที่เป็นคนคิดแผนนี้จะกลัวคำขู่ของเจ้า... ข้าพูดเลยนะ... ต่อให้อุสางิยูกิมาเอง ข้าก็จะไม่คืนของนี้ให้เจ้าจนกว่าข้าจะได้ของที่ข้าต้องการ!!”


ม่านตาของอุสางิซากินถึงกับเบิกกว้างเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายบอก “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนคิดกลอุบายนี้ขึ้น?”


“เย็บ (yep) ข้าเป็นคนคิด....”


ฟิ้ว!! คลื่นพลังปราณสีฟ้าสดใสพุ่งผ่านหน้าของหลิวเจี้ยนไป ในตอนนี้เรียกได้ว่าอุสางิซากิมิอาจสะกดอดกลั้นได้อีกต่อไป นางได้ใช้วิชาของตระกูลออกมาพร้อมพุ่งเข้าหาหลิวเจี้ยน นางต้องการที่จะฆ่าสังหารมันให้ตายสิ้น

ตู้โตวที่หมุนควงอยู่ในมือของหลิวเจี้ยนพลันหยุดลง บุรุษคิ้วบางกำและโยนของที่มันเคยควงอยู่ไปทางซุนโหวหวังพร้อมทั้งยกกระบี่ขึ้นมาตั้งรับการโจมตีของสตรีสาว

อาวุธของอุสางิซากินั้นคือพัดหยกสีขาวที่ดูแล้วไม่น่าจะอันตราย ทว่าเมื่อพัดอันนั้นอยู่ในมือของสตรีผู้โกรธจนคลั่ง สิ่งที่คอยพัดให้ความเย็นกลับไม่ต่างกับมีดดาบชั้นยอดเลยทีเดียว


หญิงสาวในตอนนี้ไม่สนแล้วเรื่องการทวงคือตู้โตว แต่เป็นหัวของหลิวเจี้ยนต่างหากที่นางต้องการ

อุสางิซากิวาดพัดในมือด้วยความว่องไว กระบี่ในมือของหลิวเจี้ยนเองก็เร็วรี่รับทุกกระบวนท่าของนางได้อย่างไม่ยากเย็นเสียเท่าไหร่ ยิ่งหลิวเจี้ยนรับพัดของนางได้หนึ่งครั้ง การวาดพัดของนางครั้งต่อไปจะยิ่งรุนแรงและหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น


ด้านหลิวเจี้ยนเองก็มิได้ตั้งรับการร่ายรำวิชาพัดของสตรีหญิงเพียงอย่างเดียว สายตาคนสอดส่องมองหาสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องอยู่บนตัวของหญิงสาว

'อยู่นั่นไง..'

และแล้วหลิวเจี้ยนก็หาสิ่งที่มันต้องการพบ สิ่งนั้นก็คือแหวนมิติของอุสางิซากิที่ตัวของแหวนมิตินั้นได้ถูกร้อยเป็นสร้อยคอสวมอยู่บนตัวของหญิงสาวนั่นเอง

เมื่อเห็นสิ่งที่ตนต้องการแล้ว จากคนที่ตั้งรับเพียงอย่างเดียวก็ได้เริ่มตีโต้ตอบกลับแล้ว


วิชากระบี่ถูกใช้ออก กระบี่ในมือคนร่ายรำไปมาด้วยความหนักหน่วงรุนแรง เพลงกระบี่ที่หลิวเจี้ยนใช้มีชื่อเรียกว่า 'เพลงกระบี่โบยสวรรค์' ซึ่งคือเพลงกระบี่ประจำสำนักของสำนักสี่ขุนเขา

วิชากระบี่โบยสวรรค์นั้น แบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือเพลงร่ายรำ ส่วนที่สองคือกระบวนท่า และส่วนที่สามคือการฝึกปราณ

ซึ่งการร่ายรำนั้นถือได้ว่าเป็นขั้นพื้นฐานที่ศิษย์ของสำนักในทุกสาขาจะได้มีโอกาสได้ร่ำเรียนแตกต่างจากกระบวนท่าและการฝึกปราณที่มีระดับขั้นในการสอนสั่ง

แต่แค่ขั้นพื้นฐานนี้จะบอกว่าเป็นระดับขั้นที่มีพลังน้อยสุดก็ว่าได้ ทว่ากระบวนท่าแรกนี้เองก็สำคัญที่สุด เพราะมันคือพื้นฐานของวิชากระบี่ทั้งคัมภีร์ หากผู้ใดฝึกขั้นแรกนี้ได้อย่างช่ำชองเชี่ยวชาญ กระบี่ในมือของพวกมันก็จะมีพลานุภาพที่สูงส่งเป็นที่สุด

และวิชากระบี่โบยสวรรค์นั้น ไม่เพียงเป็นวิชากระบี่ชั้นยอด มันยังเป็นเพลงกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า ในผืนแผ่นดินนี้ไม่เพลงกระบี่ใดอาจหาญกล้าทำให้สุดยอดเพลงกระบี่นี้ตกเป็นที่สองได้เลย..

ไม่มี..


“นี่มัน!! เพลงกระบี่โบยสวรรค์!! เป็นไปไม่ได้! เจ้ายังไม่ใช่ศิษย์สำนักนี้เลยเหตุใดถึงเป็นเพลงกระบี่นี้ได้!! เจ้าเป็นใครกันแน่หลิวเจี้ยน!” อุสางิซากิถึงกับเอ่ยออกมาเมื่อได้เห็นวิชากระบี่ที่ตีโต้ตอบกลับมา

ทุกท่วงท่าต่างหนักหน่วง ทุกการฟาดฟันต่างรุนแรงและหนักแน่น มันราวกับเป็นเทพสวรรค์ที่กำลังทุบเฆี่ยนตีใส่สามัญชนคนธรรมดา เพลงกระบี่นี้จึงได้รับชื่อนี้ไปด้วยเหตุผลนี้


เมื่อใช้ออกด้วยเพลงกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า เพียงแค่ครึ่งกระบวนท่าจากฝ่ายที่ตั้งรับก็กลายเป็นฝ่ายบุก และแน่นอน ฝ่ายที่เคยบุกย่อมกลายเป็นฝ่ายตั้งรับไปโดยปริยาย

ยิ่งรับมือกับเพลงกระบี่ของบุรุษ สตรีสาวยิ่งเสียเปรียบ นางไม่เพียงเป็นรองด้วยวิชาที่อีกฝ่ายใช้ แต่อีกฝ่ายกลับคล้ายว่ามีประสบการณ์การประลองแบบหนึ่งต่อหนึ่งมาอย่างโชกโชนกว่า ซึ่งก็แน่นอน เพราะตลอดสองปีมานี้ คู่ซ้อมกระบี่ของหลิวเจี้ยนก็คือช่างซื่อ ทำให้เมื่อหลิวเจี้ยนมาประฝีมือกับอุสางิซากิ การที่หลิวเจี้ยนจะเป็นฝ่ายกดดันนางได้ย่อมไม่ยากเย็นเลย


“คุณหนู!!” นามิตะโกนออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นฝ่ายคนเป็นนายเริ่มเสียเปรียบ

นางรีบกระโจนตรงเข้าไปหวังช่วยคุณหนูของนางแต่ทว่าทิศทางนั้นกลับมาซุนโหวหวังขวางทางอยู่


“ไม่เอาน่าแม่หญิงนามิ คนเขากำลังเข้าได้เข้าเข็มกัน เข้าไปขัดจังหวะเขาในเวลาแบบนี้ไม่ดีหรอกหนา..”

ซุนโหวหวังยื่นมือออกไปทำปางห้ามญาติ แต่ทว่ามือที่ควรแค่จะยื่นแบออกไปเฉย ๆ นั้นกับกำแบกำแบไปมาไม่หยุดโดยที่มือข้างนั้นยังจงใจให้อยู่ระดับเดียวกับหน้าอกของสตรีหญิงด้วย


“ถอยออกไป!! อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า!!”

คนกระวนกระวายถึงความปลอดภัยของคนเป็นนาย นามิจึงลืมเสียหมดสิ้นในทุกสิ่งอย่าง นางลืมแม้แต่การกลัวความตาย จนเผลอวาดดาบในมือฟันใส่ร่างของซุนโหวหวังอย่างสุดแรง


เคล้ง!!

ดาบที่ฟันใส่อย่างสุดแรงกลับร่วงหลุดกระเด็นไปตกที่ไหนก็ไม่ทราบจากฤทธิ์ของกระบองเหล็กดำของซุนโหวหวัง

แคว๊ก!!!

แล้วทันทีที่ไร้ดาบในการป้องกัน มือข้างซ้ายที่ว่างอยู่ของซุนโหวหวังพลันฉีกกระชากไปที่เสื้อผ้าของสตรีหญิงแล้วดูเหมือนซุนโหวหวังจะช่ำชองมากขึ้นจากการฉีกกระชากเสื้อผ้าสตรีเมื่อหกครั้งก่อนหน้า เพราะแค่การวาดมือคราวเดียวไม่เพียงแค่ทำให้เสื้อผ้าของนามิฉีกขาด ในมือของซุนโหวหวังกลับมีตู้โต้วของนามิติดกลับมาด้วย

ด้านนามิแม้จะรู้สึกขายหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าหัวจิตหัวใจของนางกลับกล้าแกร่งเกินกว่าสหายคนอื่นของนาง ในช่วงจังหวะที่บุรุษหน้าขนตรงหน้าขโมยตู้โต้ของนางไป นางมิได้เร่งยกมือขึ้นมาป้องปิดเนินเขาลูกน้อย ๆ ของนาง กลับเป็นขาขวาที่เรียวยาวขยับเตะสวนแรงโน้มถ่วง ตรงเข้าส่วนที่โตงเตงตรงกางเกงของซุนโหวหวังอย่างสุดแรง!!


อึก!!!

ร่างของบุรุษสะท้านไปทั้งร่าง แข้งขาของคนพลันอ่อนระทวย ร่างคนทรุดลงแนบติดพื้น ความเจ็บปวดเช่นนี้มีแต่บุรุษด้วยกันเท่านั้นที่จะเข้าใจ ตอนนี้ไม่รู้หวังหวังน้อยอาการเป็นเช่นไร หากซุนโหวหวังมิอาจสืบสกุลได้..คนตระกูลซุนทั้งตระกูลคงขาดทายาทสายหลักไปตลอดกาล


เมื่อจัดการคนขวางทางได้แล้ว นามิกลับยังเหมือนเดิม นางไม่ได้ห่วงที่จะปิดสิ่งที่ควรปิด นางเพียงเร่งมองไปตรงจุดที่คุณหนูของนางสัประยุทธ์อยู่

แต่เมื่อได้เหล่มองไป ตัวของสตรีหญิงก็เหมือนราวกับเห็นผี


หลิวเจี้ยนในตอนนี้กดดันให้อุสางิซากิไร้ทางหนี แผ่นหลังของหญิงสาวแนบชิดติดกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

ใบหน้าของสตรีหญิงตอนนี้เคร่งเครียดเป็นอย่างมาก เพลงกระบี่ของหลิวเจี้ยนรับมือยากเกินไป อีกทั้งกำลังกายของมันก็ดูเหมือนจะเหนือกว่านาง หากเป็นแบบนี้ต่อไปอีกสิบอึดใจ คงเป็นตัวของอุสางิซากิที่พลาดพลั้งเสียที

แต่ทว่าหลิวเจี้ยนใจร้อนไม่อาจรอได้ถึงสิบอึดใจ


จู่ ๆ หลิวเจี้ยนก็จงใจเปิดช่องว่างให้อุสางิซากิได้เห็น ซึ่งช่องว่างนั้นหากสตรีสาวโจมตีเข้าใส่อาจพลิกสถานการณ์จากร้ายกลายเป็นดีได้เลยด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ว่าตัวของอุสางิซากิกลับเกิดความลังเล

เขาว่ากันว่า คนทุกคนจะล่วงรู้ถึงนิสัยของคู่ต่อสู้ผ่านทางการประดาบประลองฝีมือ ตอนนี้อุสางิซากิไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้กล้าเปิดช่องโหว่ให้นางได้เห็น หญิงสาวจึงไม่กล้าที่จะตอบรับสิ่งที่อีกฝ่ายแบขายออกมาจนเกิดเป็นความลังเลนั่นเอง


หลิวเจี้ยนใช้โอกาสที่อีกฝ่ายไร้สมาธิมัวแต่สับสนอยู่ มือซ้ายที่ไร้กระบี่เร่งกำคว้าไปที่แหวนมิติของหญิงสาว ความเร็วมือของหลิวเจี้ยนนั้นว่องไวราวกับงูฉก

แต่ทว่าสตรีนั้นก็เร็วพอ ก้มตัวหลบจากมือข้างนั้นของหลิวเจี้ยนได้อย่างฉิวเฉียด แล้วนางไม่เพียงหลบอย่างเดียว ในจังหวะที่นางก้มหลบ ขาทั้งสองข้างพลันถีบเข้าใส่ต้นไม้ที่อยู่ทางด้านหลังจนหลุดรอดออกมาจากทางตันนั้นได้


'ก็เป็นถึงลูกหลานตระกูลห้าเสาหลักนิเนอะ.. ประมาทนางไม่ได้เลยจริง ๆ '

โอกาสในมือของบุรุษหายวับไปกับตาเพราะความใจร้อนของตัวมันเอง หากมันยังคงโจมตีกระหน่ำฟันแทงกระบี่ในมือเหมือนเช่นเคย อย่างไรเสียนางย่อมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปแล้วแท้ ๆ

หลิวเจี้ยนเร่งหมุนตัวอาศัยท่าร่ายวิ่งตามติดนางไป ด้านหญิงสาวเองก็เหมือนรู้ได้ถึงความห่างชั้นของตัวนางและบุรุษแล้ว นางจึงไม่คิดที่จะตอแยมัน ต้องรีบหนีออกจากเงื้อมมือของบุรุษชายให้จงได้

ฟิ้ว!!

ขณะที่หลิวเจี้ยนกำลังวิ่งกรวดไล่ตามหญิงสาวอยู่ จู่ ๆ ก็มีก้อนพลังงานสายหนึ่งวิ่งตรงมาที่ตัวมัน บุรุษคิ้วบางพลันตบเท้าซ้ายลงพื้นอย่างเต็มแรงส่งตัวหมุนกลางอากาศเพื่อหลบก้อนพลังงานสายนั้นได้อย่างทันท่วงที ขณะที่หลบ สายตาคนก็ได้มองไปยังผู้ปล่อยวิชาขัดขวาง แน่นอนว่าคนที่ช่วยเหลืออุสางิซากิก็คือนามิ

หลิวเจี้ยนเมื่อลงสู่พื้นอีกครั้งก็ไม่ได้รีบวิ่งไล่ตามไป ทางด้านอุสางิซากิในตอนนี้ข้างกายก็มีนามิสาวใช้ผู้ภักดียืนเคียงคู่


“อย่างไร พวกเจ้าจะเลิกตามราวีพวกข้าได้หรือยัง? หากยัง.. ตอนนี้เครื่องข้าก็ร้อนดะ..”


“โฮกกกกกกกกกกกกกกกกก”


ขณะที่หลิวเจี้ยนกำลังกล่าว จู่ ๆ ก็มีเสียงของสัตว์อสูรดังมาจากทิศทางของคลื่นพลังที่พลาดเป้าของนามิ ทุกคนในพื้นที่ต่างหันไปมองทางต้นเสียงกันในทันทีทันใด เพราะว่าเสียงนี้มันดังมาก ดูแล้วน่าจะเป็นสัตว์อสูรระดับสูงเป็นแน่แล้ว

ตึง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!!!

เสียงเท้าใหญ่มหึมาวิ่งตรงมาทางกลุ่มบุรุษชายหญิง ก่อนที่ป่าไม้ปราการสุดท้ายจะโค่นล้มลงพร้อมด้วยร่างของอสูรตัวใหญ่โตมโหฬาร

ร่างที่ปรากฏออกมา คือร่างของสัตว์อสูรที่ตัวสูงราวสองเมตรและมีลำตัวหนาป้อม ทว่าความหนาของมันนั้นมิได้หนาไปด้วยไขมัน แต่มันกลับมีกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ หุ่นเหมือนนักเพาะกายอย่างไรอย่างนั้น

ไม่เพียงมันมีรูปร่างคล้ายนักเพาะกาย มันยังมีปากที่ยาวยื่นเหมือนจระเข้ แผ่นหลังต่างเต็มไปด้วยหนามแหลมเหมือนเม่น อีกทั้งมันกลับยืนสองขาเหมือนจิงโจ้

หลิวเจี้ยนรีบใช้เนตรจ้าวมังกรออกไปตรวจสอบก่อนที่ดวงตาของมันจะรวมศูนย์หดเล็กลีบเท่าเมล็ดแมลงลัก สัมผัสที่ตรวจจับได้ มันคือสัมผัสของอสูรระดับสัมผัสปราณขั้นกลาง

แล้วไม่ใช่เพียงหลิวเจี้ยนที่สัมผัสได้ กลุ่มคนตระกูลอิสางิเองก็เหมือนจะรับรู้ถึงความห่างชั้นนั้น

ตอนนี้เจ้าสัตว์อสูรต่างวิ่งมุ่งหน้าตรงเข้าหากลุ่มคน ทั้งชายหญิงเองก็เหมือนกับผึ้งแตกรัง หญิงสาวทั้งหกที่อาภรณ์ไม่สมส่วนเองตอนนี้ลืมเรื่องความอับอายไปจนหมดสิ้น พวกนางรีบตะบึงเท้าสับแหลกวิ่งหนีออกจากเงามัจจุราชในทันที

ด้านหลิวเจี้ยนตอนนี้วิ่งหนีอย่างสุดชีวิต มันถึงขั้นลืมสหายของมันที่ศูนย์ถ่วงไม่สมดุลไป ขณะวิ่ง หลิวเจี้ยนมีแอบชำเลืองมองกลับไป ก็ได้เห็นเจ้าสัตว์อสูรวิ่งตามมันไปติด ๆ ดวงตาของคนตอนนี้ต่างลนลาน เท้าซ้ายขวาต่างสามัคคีสับแหลกไม่สนใคร

“ทำไมถึงวิ่งตามข้าคนมีตั้งเยอะแยะ!! ไอ้เจ้าอสูรXXX ไปไล่ตามพวกนางโน้น!! ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าเลย!! ไอ้XXX”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เจ้าอสูรหลังหนามถึงได้วิ่งตามบุรุษคิ้วบาง มันอาจเป็นเพราะเห็นหลิวเจี้ยนเป็นผู้แรก หรือไม่ก็เป็นเจ้าสัตว์อสูรที่ไม่ชอบบุรุษ หรืออาจเป็นเวรกรรมที่หลิวเจี้ยนกระทำต่อสตรีก็เป็นไปได้

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว