องค์หญิงใหญ่ 长公主-ตอนที่6

โดย  โปรเจคพิเศษ by Hongsamut

องค์หญิงใหญ่ 长公主

ตอนที่6

“มันจะมากเกินไปแล้วตงเสวี่ยซาน! เจ้ามีสิทธิ์อันใดถึงมาสอนสั่งข้า!” ความเดือดดาลที่มีมาก่อนการประลอง ยิ่งนานยิ่งร้อนกรุ่นจนยากจะดับเมื่อถูกวาจาที่เปรียบดั่งน้ำมันของตงเสวี่ยซานรดลง

ตงเสวี่ยซานมันเป็นใคร.. หน้าตาของมันเหมือนบุพการีของอุสางิซากิตรงไหน มันถึงได้วางมาดเป็นผู้หลักผู้ใหญ่เที่ยวสอนสั่งคนอื่นไม่เลือกหน้า แถมยังบังอาจพาดพิงถึงตระกูลของนางอีก


“สิทธิ์ที่เราเกิดก่อนเจ้าและกำลังทำให้เจ้าพ่ายแพ้อย่างอัปยศที่สุดอย่างไรเล่า..” ตงเสวี่ยซานกล่าวออกมาพร้อมกับออกตัววิ่ง “หากเจ้าไม่เชื่อ.. เราสามารถแสดงให้เจ้าได้ดูกับตาของเจ้าเอง”


“กระบวนที่หนึ่ง ขีดเขียนจันทร์!” เห็นคู่ต่อสู้วิ่งเข้าหา พัดหยกในมือของอุสางิซากิพลันโบกพัดออกไปด้วยพลังปราณสายหนึ่ง ซึ่งพลังปราณสายนั้นเป็นปราณธาตุวารีขนานแท้ที่มิได้ควบจนแข็งเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่มักทำให้แข็งจนเป็นเหมันต์

วารีสายนั้นค่อย ๆ เคลื่อนตัวรวดเร็วตรงเข้าหาตงเสวี่ยซาน ท่าทางของพลังปราณสายนั้นคล้ายงูเป็นอย่างมากที่สามารถเลื้อยผ่านกลางอากาศได้


“หึ!” เห็นสายวารีสายนั้นเลื้อยตรงเข้าหาตน ตงเสวี่ยซานก็ได้แต่เค้นเสียงในลำคอ มือขวาของคนเพียงกวาดออกไปด้วยพลังปราณของตนเอง

ในทันที สายน้ำสายนั้นของหญิงสาวก็แข็งตัวอย่างฉับพลันจนกลายเป็นน้ำแข็งอย่างทันทีทันใดด้วยพลังปราณธาตุของตงเสวี่ยซาน

งูที่เคยเลื้อยตอนนี้ต่างตกลงกระแทกพื้นจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ กลายเป็นเพียงก้อนน้ำแข็งที่ไร้ค่าที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นสนามประลองเท่านั้น มิอาจทำให้ตงเสวี่ยซานรู้สึกลำบากอันใดได้เลย


เห็นอีกฝ่ายสามารถกำราบวิชาของตนเองลงได้อย่างง่ายดาย อุสางิซากิจึงเลือกที่จะใช้ท่าร่ายของนางในการวิ่งถอยหลัง พัดหยกในมือเองก็ได้พัดโบกสะบัดขึ้นมาอีกครั้ง “กระบวนที่สอง ประกายจันทร์!!”

นี่เป็นวิชาเดียวที่เคยใช้กับคิมบีโฮ ทำให้เกิดก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ผ่านออกมาทางการโบกพัดของหญิงสาว ทันทีทันใดก็พุ่งตรงเข้าหาตงเสวี่ยซาน พร้อมที่จะใช้วิชานั้นอัดกระแทกใส่ร่างของมัน


ครานี้ตงเสวี่ยซานถึงกับต้องหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ แม้ด้วยความสามารถทางท่าร่ายมังกรเคลื่อนสมุทรของมันที่สามารถหลบก้อนน้ำแข็งก้อนยักษ์นี้นับว่าง่ายดายยิ่ง ทว่าจำนงของคนกลับบอกให้ยืนอยู่เพื่อรอรับวิชาสายนั้นของสตรีสาว

จนเมื่อถึงหนึ่งเมตรก่อนที่ก้อนน้ำแข็งก้อนยักษ์จะพุ่งชนเข้าใส่ตนเอง ตงเสวี่ยซานจึงได้ยื่นมือข้างขวาออกไปแบออก ปลดปล่อยพลังปราณที่ตึงรอรับเอาไว้แต่แรกออกไป

ในฉับพลัน ก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่นั้นผันแปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นสายน้ำที่ชโลมเข้าใส่ตัวของตงเสวี่ยซานโดยไม่ทำอันตรายอันใดนอกจากทำให้ตัวของบุรุษหน้าหยกปากยาวนั้นเปียก แต่ตงเสวี่ยซานก็สามารถทำให้ตนเองกลับมาแห้งได้ด้วยการใช้พลังปราณสลายสิ่งที่ชุ่มแฉะออกไปจนหมด

หลังจากทำให้ตนเองแห้งแล้ว ตงเสวี่ยซานก็ไม่ได้คิดที่จะวิ่งไล่อุสางิซากิแต่อย่างใด บุรุษหน้าหยกปากยาวได้แต่ชำเลืองมองหยาดน้ำที่เปียกพื้นเวทีก่อนที่จะช้อนสายตามองไปยังร่างที่หยุดห่างตนเองราวยี่สิบเมตร

“นี่เป็นสิ่งชี้วัดได้อย่างดี.. ว่าเจ้ากับเราต่างกันถึงเพียงไหน” ตงเสวี่ยซานกล่าวพร้อมก้าวอย่างเชื่องช้าไปหยุดตรงแอ่งน้ำ ก่อนจะใช้เท้าของมันเหยียบย้ำแอ่งน้ำซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นด้วยท่ามือไพล่หลัง “หากเจ้าเก่งกาจกว่านี้ หรือควบคุมปราณธาตุได้ดี วารีของเจ้าจะไม่มีวันถูกข้าทำให้แข็ง เหมันต์ของเจ้าจะไม่มีวันอ่อนยวบเช่นนี้..”

“ว่าที่ผู้นำตระกูลอุสางิกระจอกถึงเพียงนี้ เราก็ได้แต่เหนื่อยใจแทนคนตระกูลเจ้าในรุ่นหลังที่จะต้องทนมีตัวภาระอย่างเจ้าเป็นนายเหนือหัวของพวกมัน”


“ตกลงแล้วเจ้าจะมาประลองหรือมาพูดพล่ามปากมากกันแน่ตงเสวี่ยซาน!”


“ไอ้เราก็กำลังประลองอยู่.. มีแต่เจ้าเท่านั้นแลที่เอาแต่วิ่งหนีพร้อมใช้วิชาแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ออกมา นี่เรายังไม่ทันได้โจมตีเจ้าเสียด้วยซ้ำอุสางิซากิ แต่เจ้าใช้วิชาออกมาสองรอบแล้ว.. รอยถาก ๆ สักรอยเรายังไม่มีเลย มีแต่ทำให้เรารู้สึกรำคาญเท่านั้น.. รำคาญที่เมื่อไหร่.. เจ้าจักเห็นความต่างชั้นระหว่างเราและเจ้า..”


หากเป็นคนอื่นกล่าวเช่นนี่ อุสางิซากิคงได้พุ่งตัวเข้าหา ทว่าตงเสวี่ยซานนั้นแตกต่างกับคิมบีโฮที่นางเคยประลองด้วย แม้ทั้งสองจะมีฝีมืออยู่ในช่วงชั้นยุทธ์ระดับเดียวกัน แต่ฝ่ายบุรุษปากยาวหน้าหยกนั้นไร้ปรานีมากกว่า ดูได้จากเฟิงป๋ายหยุ่นที่เป็นคู่ประลองของมันเมื่อสองวันก่อน วันนี้บาดแผลของเจ้าคน..คนนั้นยังรักษาไม่หายเลย หากนางคิดที่จะพุ่งเข้าหาตงเสวี่ยซาน มันก็ไม่ต่างกับยื่นคอลงบนเขียง มีแต่รอเวลาให้ตงเสวี่ยซานสับมีดลงมาเท่านั้น


“อะไร? เราพูดขนาดนี้เจ้ายังไม่รีบเข้ามาหาเราอีก? แล้วแบบนี้ตอนเจ้าได้เป็นผู้นำตระกูล.. เจ้าจะมีพลังอะไรไว้ใช้ปกป้องชื่อเสียงตระกูลของเจ้า?” ตงเสวี่ยซานแสยะยิ้มออกไป สายตามองอย่างสุดดูถูกไปที่ตัวของอุสางิซากิ “ช่างน่าเห็นใจ.. ช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก.. มา..มา.. เราจะทำให้เจ้าเห็นว่าระหว่างคนที่เกิดมามีพรสวรรค์กับผู้ที่ได้พรจากฟ้าแต่ไร้พรสวรรค์ มันแตกต่างกันอย่างไร”

“วิชาฝ่ามือหยกท่าที่ 6 กรงเหมันต์นิรันดร์กาล!!”

ป่ง..! ตงเสวี่ยซานตบมือทั้งสองข้างจนเกินเสียงดัง แต่เสียงดังนั้นกลับถูกกลบด้วยเสียงของพลังปราณที่ปะทุออกมา

หลังจากตงเสวี่ยซานคลายมือออก มือข้างขวาของมันก็ได้มีก้อนกลม ๆ ก้อนหนึ่งปรากฏขึ้น ก้อนกลม ๆ นั้นเป็นสีฟ้าครามที่มีขนาดเท่ากับเปลือกหอยอันเล็ก

ตงเสวี่ยซานไม่รอช้า ตัวคนได้ขว้างก้อนกลม ๆ ที่ตนสร้างขึ้นไปทางที่อุสางิซากิยืนอยู่


ด้านอุสางิซากิแม้ไม่รู้ว่าวิชานั้นที่ตงเสวี่ยซานใช้ออกมานั้นเป็นวิชาเช่นไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะขว้างของบางสิ่งบางอย่างมาทางตน นางจึงรู้ว่าไม่ควรยืนหยุดอยู่กับที่ นางจึงได้เริ่มออกตัววิ่งอีกครั้ง

แต่การตัดสินใจที่จะวิ่งของหญิงสายนัยน์ตาน้ำแข็งนั้นช้าจนเกินไป ทันทีที่ของสิ่งนั้นตกกระทบพื้นสนามประลอง มันก็ได้บังเกิดกรงน้ำแข็งขนาดใหญ่ขึ้นมาทันตา ซึ่งกรงน้ำแข็งนั้นมันกว้างและใหญ่กว่า 20 x 20 เมตร กินพื้นที่สนามประลองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปจนหมด ซ้ำยังปิดทางด้านบนไม่เหลือที่ไว้ให้นางกระโดดหนีเลย

นี่มันคือกรงที่ใช้กักขังสุดสมบูรณ์แบบชัด ๆ


“จงบีบอัด!” บุรุษหน้าหยกปากยาวพลันขึงตามองไปที่กรงน้ำแข็งที่ตนสร้างขึ้นพร้อมออกคำสั่ง กรมน้ำแข็งนั้นค่อย ๆ หดขนาดเล็กลงทีละเล็กทีละน้อยตามที่เจ้าของวิชาเอ่ยสั่ง

“ไหน.. เจ้าลองละลายกรงน้ำแข็งของข้าดู.. แล้วข้าจะยอมรับในตัวเจ้า..อุสางิซากิ..” ตงเสวี่ยซานกล่าวอย่างย่ามใจ “แต่หากเจ้าทำไม่ได้.. กรงน้ำแข็งของเราจะบีบอัดจนทำให้เจ้าต้องอับอายขายขี้หน้าไปชั่วชีวิต”


อุสางิซากิได้แต่กัดฟันฟังคำดูถูกนั้นของตงเสวี่ยซาน พัดหยกในมือพัดโบกสะบัดพัดพาไอปราณของตนเองไปที่กรงน้ำแข็งด้านหนึ่ง หญิงสาวนัยน์ตาน้ำแข็งใช้ความสามารถทั้งหมดของนางในการควบคุมและพยายามบังคับให้ซี่กรงน้ำแข็งอันหนึ่งละลายกลายเป็นน้ำ ด้วยคิดว่าหากทำให้กรงซี่นั้นละลายได้ การแทรกตัวผ่านออกไปคงไม่ยากนัก

แต่ถึงแม้นางจะพยายามเท่าไหร่ ความมุ่งมั่นนั้นกลับไม่ประสบผล ไม่เพียงซี่ของลูกกรงน้ำแข็งนั้นไม่ละลาย ซ้ำกรงน้ำแข็งที่หดเล็กลงเรื่อย ๆ ยังทำให้พื้นที่..ที่นางสามารถขยับเคลื่อนไหวได้นั้นลดน้อยลงเรื่อย ๆ


“จงนิ่งสงบ” กว่าที่ตงเสวี่ยซานจะสั่งให้กรงน้ำแข็งของมันหยุดหดเล็กลง มันก็ไม่เหลือพื้นที่ให้อุสางิซากิขยับตัวได้แล้ว หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ เพราะนางทำได้แค่นั้น

“เห้อ.. เอ่ยยอมแพ้เถอะอุสางิซากิ..” ตงเสวี่ยซานกล่าวพร้อมมองไปที่หญิงสาวอย่างสังเวช ดูก็รู้ว่าโอกาสชนะของนางนั้นเท่ากับศูนย์ ต่อให้นางจะพยายามมากเท่าไหร่ ความพยายามนั้นก็มิอาจนำมาใช้ได้ในเมื่อนางนั้นไร้ความสามารถ..


“หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าไปซะ!” แม้พื้นที่..ที่เหลือให้นางขยับตัวนั้นเรียกได้ว่าเกินคำว่า 'จำกัดจำเขียด' ไปเยอะ แต่กระนั้นการที่จะให้นางเอ่ยยอมแพ้ต่อคนที่ดูถูกดูแคลนนางเช่นนี้ เป็นใครจะทำใจยอมรับได้กัน!


“เห้อ.. ช่างหัวรั้นยิ่งนัก... จงบีบอัด!!” ในทันที การหดตัวของกรงน้ำแข็งจึงได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง


“อึก..!” กำแพงน้ำแข็งที่บีบอัดเข้ามายิ่งนานยิ่งกดทุกส่วนในร่างกายของอุสางิซากิ แขนทั้งสองล้วนหมดสิทธิ์ขยับ แม้แต่หายใจ อุสางิซากิยังทำไม่ได้ด้วยแท่งน้ำแข็งที่กดอัดไปที่ทรวงอก แล้วแท่งน้ำแข็งเหล่านั้นไม่เพียงกดไปที่ทรวงอกของนางทำให้นางหายใจไม่คล่องเพียงอย่างเดียว ภูเขาทั้งสองลูกเองก็ได้ปลิ้นออกมานอกกรงน้ำแข็ง ช่างเป็นภาพที่ไม่น่าดูยิ่งนัก

สิ่งที่อุสางิซากิได้รับนั้นไม่เพียงเป็นความอัปยศอดสู ความอับอายที่นางได้รับ ไม่รู้ว่าชาตินี้นางจะทวงความยุติธรรมคืนได้หรือไม่ ยิ่งตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นมันผ่านสายตาของคนทั้งอัฒจันทร์รวมไปถึงทั้งอาณาจักรต่างเห็นสิ่งที่นางได้รับอยู่

ช่างเป็นเรื่องที่น่าอายจนคนที่ทะนงในชื่อเสียงของตนเองและตระกูลอย่างอุสางิซากิจะรับไหว นางไม่เพียงมีสถานะเป็นคุณหนูน้อยแห่งเมืองศศะจันทร์ ความงามที่นางมียังทำให้นางติดหนึ่งในสิบโฉมสะคราญแห่งอาณาจักร

ทว่าชื่อเสียงเหล่านั้นกลับป่นปี้ลงไปภายในงานประลองเพียงงานเดียว..


ฮูจินเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวไปมา สายตาคนพลันมองไปทางอัฒจันทร์ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก่อนที่คนที่อยู่บนบัลลังก์สูงสุดของอัฒจันทร์นั้นจะผงกหัวตอบกลับมา

“การแข่งขันรอบสี่คนสุดท้ายของสายบนในคู่สุดท้าย ผู้ชนะได้แก่..”


“ข้.า...ยั.ง...ไ.ม่...ย.อ.ม...แ.พ้...เ.สี.ย...ห.น่.อ.ย” เสียงที่เอ่ยอย่างลำบากกล่าวออกมาจากคนที่ถูกจองจำ แม้สภาพจะไม่น่าดู ใบหน้าจะลำบาก กรงน้ำแข็งนั้นแทบบีบร่างของนางแหลกออกตามช่องว่าง ทว่าสายตาของอุสางิซากิกลับแสดงออกอย่างไม่ปล่อยวาง


ฮูจินเหล่สายตามองไปคราหนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ “ผู้ชนะได้แก่ตงเสวี่ยซานแห่งบ้านตระกูลปีกมังกร มันจะได้เข้าไปชิงชัยกลับหลิวเจี้ยนจากสำนักสี่ขุนเขาในยามซื่อขอวันมะรืน ส่วนผู้แพ้..อุสางิซากิจักตกลงไปแก้ตัวในสายล่างในวันพรุ่ง” กล่าวถึงตรงนี้ ฮูจินจึงได้เอียงคอมองไปทางบุรุษหน้าหยกปากยาว “สลายวิชาของเจ้าได้แล้วหากไม่อยากถูกปรับตกรอบ..”


“จงสลาย..” ตงเสวี่ยซานพลันคลายวิชาของตนเองตามที่ฮูจินกล่าว ก่อนที่ตัวมันจะเดินลงจากสนามประลองไปโดยไม่สนใจคนที่มันยัดเยียดความอัปยศให้เลยแม้แต่น้อย..


ร่างของอุสางิซากิพลันร่วงหล่นลงคุกเข่า อกของนางต่างพองยุบเพื่อสูดอากาศ สายตาของสตรีหญิงเจ้าพลันมองไปยังร่างที่เดินจากไปอย่างโกรธแค้น ก่อนที่สายตาที่คลั่งไปด้วยความโกรธจะช้อนมองไปที่ฮูจิน ผู้ที่ตัดสินให้นางแพ้

“ข้ายังมิได้เอ่ยยอมแพ้ ซ้ำสติของข้ายังสมบูรณ์ครบถ้วนบริบูรณ์ เหตุใดท่านถึงได้ตัดสินให้ข้าแพ้มันได้!”


ฮูจินค่อย ๆ ร่อนร่างของมันลงเหนือพื้นสนามประลอง แววตาคนล้วนไม่ได้มีความสงสาร ซ้ำยังเต็มไปด้วยสายตาแห่งการตำหนิติเตียน

“การที่ข้าตัดสินให้เจ้าแพ้มัน เพราะข้าดูแล้วอย่างไรเจ้าก็ไม่มีทางเอาชนะตงเสวี่ยซานได้ ประตูที่เปิดแง้มรอเจ้าอยู่ในตอนนั้นมีเพียงสองบาน หนึ่งคือปราชัยด้วยความอับอายกับสอง ปราชัยด้วยความอับอาย..อัปยศและบาดเจ็บสาหัสพร้อมกับแผลทางใจที่ยากจะรักษา เจ้าลองกลับไปถามตัวของเจ้าเองเถิดว่าหากข้าไม่ตัดสินให้เจ้าแพ้มัน ประตูบานแรกที่ข้าว่ามันจะปิดกระแทกใส่หน้าเจ้าหรือไม่” กล่าวถึงตรงนี้ฮูจินจึงได้หันไปทางซุ้มที่เป็นที่พักของแผนกช่าง “เจ้ายังเยาว์นัก.. อนาคตของเจ้านับว่าเหลือมากกว่าข้าอีกหลายสิบปี อย่าได้ทำให้ตนเองจมปลักกับความอับอายไปมากกว่านี้เลย ไม่แน่อีกสักสองถึงสามปี.. เจ้าจักรู้สึกขอบคุณที่ข้าช่วยเจ้าไว้ในครานี้”

“พักซ่อมแซมสนามประลองครึ่งชั่วยาม!”

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว