องค์หญิงใหญ่ 长公主-ตอนที่ 5

โดย  โปรเจคพิเศษ by Hongsamut

องค์หญิงใหญ่ 长公主

ตอนที่ 5

เมื่อฮูจินสั่งเริ่มประลอง บนอัฒจันทร์ต่างกลับมาสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว สนามประลองเองก็เช่นกัน ที่คนทั้งสองได้แต่ยืนจ้องตากัน มิได้วิ่งเข้าใส่กันเหมือนคู่ก่อน ๆ


ด้านเฟิงป๋ายหยุ่นนั้นเห็นมากับตาแล้วถึงการรุกเข้าโจมตีใส่ตงเสวี่ยซานแบบไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี ผลนั้นจะลงเอยเช่นไร

ฮั่วพั่วที่เป็นคู่ประลองกับคนหน้าหยกคนนี้เมื่อวานนี้สภาพยับเยินขนาดไหน เฟิงป๋ายหยุ่นไม่อยากที่จะลงเอยเช่นนั้นจึงได้รอให้อีกฝ่ายรุกเข้ามาดูน่าจะรับมือได้ง่ายกว่า

ด้วยเหตุนี้ตัวของบุรุษจึงได้ยกดาบขึ้นมาตั้งรับพร้อมกับตรึงรั้งพลังปราณรอเอาไว้


ส่วนตงป๋ายซานนั้นยืนเอามือไพล่หลังอย่างสบายใจ อาวุธมันยังไม่ได้ชักออกมาเสียด้วยซ้ำ สายตาคนมองไปยังคนตรงหน้าอย่างดูถูก

“ได้ยินพวกมันพูด..หยิบยกเจ้าคนจากตระกูลชั้นรองมาเป็นตัวเต็ง เทียบเปรียบเสมอเรา” ตงเสวี่ยซานเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน สายตากวาดมองฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าก่อนที่สายตาสุดดูถูกนั้นจะกลับมาเหลือบมองไปที่ใบหน้าของคู่ต่อสู้ “เรารู้สึกไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย”


“แม้ตระกูลเฟิงของข้าจักมิใช่หนึ่งในตระกูลห้าเสาหลัก มิได้มีชื่อเสียงเทียบเสมอกับคนตระกูลตงของท่าน แต่กระนั้นในหน้าประวัติศาสตร์ชาติปัญจมิตร ก็ล้วนแล้วแต่มีชื่อของคนตระกูลเฟิงของข้าเคียงอยู่..คู่อาณาจักรนี้มาตั้งแต่ครั้งอดีต”

สายตาที่เคยมองตงเสวี่ยซานของเฟิงป๋ายหยุ่นอย่างเคารพนับถือนั้นพลันเปลี่ยนไป

ความนอบน้อมต่างสลายหายไปจนหมด ด้วยเหตุเพราะคนตระกูลเฟิงนั้นแม้มิใช่มีชื่อเสียงเกรียงไกรเช่นคนจากตระกูลทั้งห้า แต่กระนั้นตระกูลเฟิงก็ยังถือว่าเป็นตระกูลคู่บารมีของคนจากตระกูลห้าเสาหลักอยู่

ดูได้จากครั้งอดีตจวบจนถึงปัจจุบัน ที่คนตระกูลเฟิงมักได้รับตำแหน่งใหญ่โตในราชสำนักอาณาจักรปัญจมิตรมาตลอด อย่างบิดาของเฟิงป๋ายหยุ่น หรือ เฟิง หลันเทียน ตอนนี้ก็ดำรงตำแหน่งเลขาธิการแห่งสภาห้าผู้เฒ่า ยังไม่นับคนตระกูลเฟิงคนอื่น ๆ ที่มีตำแหน่งสูง ๆ ในราชสำนักปัญจมิตร จึงทำให้ตัวของเฟิงป๋ายหยุ่นนั้นมีความทะนงตนในชื่อชั้นตระกูลของตนเองอยู่บ้าง ไม่แพ้คนจากตระกูลทั้งห้า


“เจ้าเลยคิดว่าตนเองคือตระกูลอันดับหกรึ?” ตงเสวียซานแสยะยิ้มออกมา “แบบนี้คนตระกูลสุ่ย ตระกูลฮั่ว ตระกูลมี่และตระกูลเอิญคงโกรธาแย่แล้ว..”


“พวกข้าตระกูลเฟิงไม่เคยคิดเช่นนั้น.. อย่างน้อยท่านพ่อของข้าก็ไม่เคยสอนให้ข้าคิดเช่นนั้น..” ดาบยาวหนึ่งเมตรในมือของเฟิงป๋ายหยุ่นพลันเหยียดชี้ไปทางตงเสวี่ยซาน “แล้วต่อให้เจ้าเป็นคนตระกูลตง เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์หยามหมิ่นเกียรติตระกูลเฟิงของข้า!”


“เช่นนั้นก็ดี..” ตงเสวี่ยซานกล่าวในตอนที่ตั้งท่าเตรียมเข้าจู่โจม “ไหนลองทำให้เราเห็น.. ว่าเจ้าสามารถปกป้องชื่อเสียงของตระกูลเจ้าได้หรือไม่..”

ในทันที ตัวของบุรุษหน้าหยกก็ได้วิ่งตะบึงสับแหลกเข้าหาตัวของคู่ต่อสู้

ระยะสิบห้าเมตรที่ห่างกันก็ค่อย ๆ ล่นลงเหลือน้อยมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเมื่อเหลือระยะสองเมตร ร่างทั้งร่างของตงเสวี่ยซานได้หายไป

สายตาของคนดูบนอัฒจันทร์หลายคนมองตามความเร็วที่ระเบิดออกมาในช่วงสองเมตรสุดท้ายของตงเสวี่ยซานไม่ทัน กว่าที่จะเห็นร่างของตงเสวี่ยซานอีกครั้ง มันผู้นั้นก็ใช้มือขวาบีบอยู่ที่คอของเฟิงป๋ายหยุ่นเอาเสียแล้ว

“ไหน.. แสดงพรสวรรค์ฟ้าประทานในรอบสองร้อยปีที่ เฟิง ลู่ผิง โม้เหม็นเอาไว้ในเหลาสุราให้เราเชยชมดูสักครั้ง”

มือขวาของคนที่บีบคอหอยของเฟิงป๋ายหยุ่นอยู่พลันบิดเหวี่ยงร่างคนพร้อมดาบฟาดใส่พื้นสนามประลองเสียเต็มแรง


ทว่าคนที่ถูกทุ่มลงใส่พื้นกลับมิได้นอนกองด้วยความเจ็บปวดเฉกเช่นคนอื่นทั่วไป

ร่างของเฟิงป๋ายหยุ่นกลับกลิ้งตัวพร้อมดีดข้อเท้าส่งร่างพุ่งเข้าใส่ตงเสวี่ยซานด้วยดวงตาที่มุ่งมันและเปี่ยมไปด้วยความชิงชัง

“ดาบลมโชยตระกูลเฟิง!” ร่างทั้งร่างของเฟิงป๋ายหยุ่นต่างมีสายลมกรรโชกโอบล้อมไปทั่วร่าง ก่อนที่ดาบนั้นจะสะบั้นฟันใส่ตัวของตงเสวี่ยซานในทันทีเมื่ออยู่ใยระยะดาบ

ดาบคนต่างหอบเอาสายลมสุดเกรี้ยวกราดพวยพุ่งเข้าใส่เป้าหมายราวกับตัวของศาสตราคือตาพายุที่โหมกระหน่ำ


“ฝ่ามือมังกรหยกท่าที่ 4 ปราการเหมันต์!” มือซ้ายของตงเสวี่ยซานคงไว้ด้วยท่าไพล่หลัง แต่มือขวานั้นกับสะท้อนออกด้วยพลังปราณสีครามบริสุทธิ์จนเกิดเป็นกำแพงน้ำแข็งขนาดกว้างครึ่งเมตรสูงสองเมตรขึ้น


พลังธาตุวาโยที่เฟิงป๋ายหยุ่นปลดปล่อยออกมานั้นเข้าปะทะกับกำแพงน้ำแข็งนั้นของตงเสวี่ยซานโดยตรง

ทว่าแม้แต่น้ำสักหยก รอยขีดขวนสักรอยกลับไม่มีปรากฏขึ้นที่ปราการน้ำแข็งเลยทั้ง ๆ ที่ฝ่ายตงเสวี่ยซานรั้งตรึงพลังปราณออกมาโดยฉับพลันอีกปราการเหมันต์นั้นก็มิได้หนามาก


เฟิงป๋ายหยุ่นตอนนี้ใช่วิตก ในเมื่อวิชานั้นมิอาจทำอันใดปราการเหมันต์ได้ ตัวคนจึงได้ตรึงพลังปราณขึ้นมาใหม่ ดาบของคนเองก็พลันเหวี่ยงฟาดใส่กำแพงหนานั้นในทันทีทันใด “สลาตันสุดโกรธาตระกูลหยุ่น!”

ทั่วดาบของเฟิงป๋ายหยุ่นตอนนี้ต่างมีสายลมอาบทบ แถมสายลมเหล่านั้นต่างมิได้สะดับอยู่อย่างสงบ วายุเหล่านั้นต่างเคลื่อนที่ไปทั่วตัวดาบ ทำให้ดาบของคนนั้นไม่ได้ตัดผ่ากำแพงหินจนแตกกระเจิง แต่มันกลับค่อย ๆ ตัดกรีดใส่กำแพงน้ำแข็งนั้นประหนึ่งเลื่อยที่ใช้หันท่อนซุง


โผล๊ะ..! ปราการน้ำแข็งแตกสะบั้นออก ทว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของเฟิงป๋ายหยุ่นแต่อย่างใด แต่เป็นตัวของตงเสวี่ยซานเองที่ออกแรงใช้ฝ่ามือที่หน่วงพลังปราณของมันตบตีเข้าใส่กำแพงน้ำแข็งของมันจนเกิดเป็นเกล็ดน้ำแข็งที่มีความคมดุจมีดดาบชั้นนับสิบ ๆ อันพวยพุ่ง..มุ่งใส่ร่างของเฟิงป๋ายหยุ่น

เฟิงป๋ายหยุ่นต่างเห็นทุกอย่างชัดถนัด ด้วยเพราะมันในตอนนั้นได้หันประจันหน้ากับอดีตปราการน้ำแข็งอยู่ แต่ถึงจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เผชิญในระยะใกล้ ทว่าตัวคนกลับมิอาจถอยหนีได้ด้วยในตอนนี้ดาบของมันถูกนิ้วชี้และนิ้วกลางข้างซ้ายของตงเสวี่ยซานคีบหนีบเอาไว้อยู่

ทำให้ตัวคนได้แต่น้อมรับเกล็ดน้ำแข็งอันแสนคมเหล่านั้นมุ่งโจมตีใส่ร่างกาย


“นี่น่ะหรือพรสวรรค์ฟ้าประทานในรอบสองร้อยปี..” เมื่อเห็นโลหิตของเฟิงป๋ายหยุ่นหลั่งริน แผลน้อยแผลใหญ่ตามตัวของคู่ต่อสู้มีทั้งตื้นและลึก ตงเสวี่ยซานจึงสุดย่ามใจจึงได้เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสุดดูถูก “เอาไว้มีพรสวรรค์ฟ้าประทานครบห้าร้อยปีเมื่อไหร่จึงค่อยมาคุยกับเรา เจ้าแซ่เฟิง”

กล่าวจบประโยคนั้น นิ้วชี้นิ้วกลางของคนพลันบิดหมุน นำพาร่างบุรุษโน้มเอนเข้าหาตัวก่อนที่มือขวาที่ตรึงพลังปราณอยู่นานนมแล้วจะซัดใส่กลางลำตัวของเฟิงป๋ายหยุ่น “วิชาฝ่ามือหยกท่าที่ 5 ผลึกบรรพกาลเหมันต์!”


ป่ง..! ฝ่ามือที่ทาบลงบนตัวคนต่างค่อย ๆ แผ่ปราณธาตุวารีสุดเย็นยะเยือกไปทั่วร่างกายของเฟิงป๋ายหยุ่น กว่าที่บุรุษหน้าหยกจะปล่อยนิ้วที่คีบดาบของฝ่ายตรงข้ามออก ตัวของเฟิงป๋ายหยุ่นก็ถูกแช่แข็งไว้ทั่วทั้งร่างราวกับเศษซากของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่ดูสตาปเอาไว้ เหลือแต่เพียงส่วนหัวเท่านั้นที่ไม่มีน้ำแข็งปกคลุมร่าง

ใบหน้าของเฟิงป๋ายหยุ่นตอนนี้ไม่ได้แสดงออกด้วยความเจ็บปวด ด้วยน้ำแข็งก้อนยักษ์นั้นแช่ร่างของมันเอาไว้อยู่จึงทำให้ความเจ็บปวดจากบาดแผลต่าง ๆ นั้นด้านชา มีแต่ความรู้สึกอึดอัดหายใจลำบากเท่านั้นที่แสดงออกผ่านใบหน้า


ตัวของตงเสวี่ยซานก้าวย่างเดินเข้าประชิดมนุษย์น้ำแข็งที่ตนสร้างขึ้นด้วยท่าทางสบายใจไร้กังวล “ฝากไปบอกเฟิงลู่ผิงด้วย.. ว่าเรื่องทั้งหมดที่มันทำกร่างเอาไว้ที่เหลาสุรา ล้วนรู้ถึงหูพวกเราห้าตระกูล..”

“ส่วนต่อไปเป็นคำเตือนจากเราที่บอกเฉพาะเจ้า..” ตงเสวี่ยซานออกแรงเตะเบา ๆ ไปที่มนุษย์น้ำแข็งตรงหน้าจนทำให้ร่างที่ถูกแช่เอาไว้ล้มหงายหลัง

ตงเสวี่ยซานกระโดดขึ้นไปยืนบนก้อนน้ำแข็งนั้น สายตาเหลือบมองต่ำทั้ง ๆ ที่ขาเหยียบร่างของคนอยู่ “ไม่ว่าจักวันนี้หรือวันไหน ๆ ตราบจนชั่วนิตย์นิรันดร์ คนตระกูลเฟิงย่อมเป็นขี้ข้าของคนตระกูลตงอยู่วันยังค่ำ! จำใส่กะลาหัวเจ้าเอาไว้!”


โผล๊ะ..! ขาที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณและพละกำลังได้กระทืบลงใส่ร่างของมนุษย์น้ำแข็งอย่างเฟิงป๋ายหยุ่น

ครานี้เส้นประสาททุกเส้นต่างเลิกขี้เกียจและกลับมาทำงาน อีกน้ำแข็งที่แตกด้วยแรงกระทืบของคน ยังเกิดเป็นหนามเล็ก ๆ ทิ่มใส่ร่าง ตรึงร่างของเฟิงป๋ายหยุ่นเอาไว้กับพื้นสนามประลอง

แต่ถึงแม้จะเจ็บปวดสักเพียงใด แผลเหล่านั้นจะน่าหวาดหวั่นน่าสะพึงสักเพียงไหน ตัวของเฟิงป๋ายหยุ่นก็มิได้รู้สึกได้ถึงจากสติของคนที่ลอยลิบหายไปไกลแสนไกลจากอาการบาดเจ็บที่ประดังเข้าหา


“ผู้ชนะในรอบสุดท้ายของสายบนในรอบแรกได้แก่ ตงเสวี่ยซานจากบ้านตระกูลปีกมังกร! มันจักได้เข้าไปแข่งขันประลองกับอุสางิซากิในยามอู่ของวันมะรืน ส่วนผู้แพ้เช่นเฟิงป๋ายซานได้ตกลงไปยังสายล่างและจักได้แก่ตัวอีกทีในวันพรุ่ง” ฮูจินประกาศออกมาด้วยเสียงดังชัดเจน


คนบนอัฒจันทร์ทั้งหมดต่างเงียบงัน ไม่มีเสียงการร้องแสดงความยินหรือเสียงการพูดคุยกันแต่อย่างใด ด้วยภาพเหตุการณ์ตรงหน้านั้นมิใช่การประลองของรุ่นเยาว์อีกต่อไป

แต่มันคือการทารุณต่างหาก..


คนทุกคนต่างเกิดคำถามขึ้นในใจแต่ไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ย

ว่าเหตุใดการทารุณนี้จึงดำเนินมาจนถึงจุดจบได้

เหตุใดกรรมการเช่นฮูจินไม่เข้าระงับเหตุ

เหตุใดตงเสวี่ยซานจึงยังได้ผ่านเข้ารอบทั้ง ๆ ที่สิ่งที่กระทำต่อตัวของเฟิงป๋ายหยุ่นมันรุนแรงจนเกินขอบเขตเช่นนี้

และเหตุใด คนตระกูลตงจึงได้ปล่อยให้ลูกหลานของตนเองแสดงเรื่องอันโหดร้ายเช่นนี้ต่อสาธารณชน ไม่กลัวดูคำครหานินทาหรอกหรือ..


ไปที่อัฒจันทร์คนตระกูลซุน


“เจ้าคุณปู่ขอรับ..” ซุนโหวหวังเอ่ยพลันหันมองไปทางผู้เฒ่าวานรด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี “อ้ายตงเสวี่ยซานทำเช่นนี้มันไม่ดีต่อราชสำนักของเราเลยมิใช่หรือขอรับ อย่างไรท่านเจ้าคุณเฟิงหลันเทียนก็เป็นถึงเลขาธิการของสภาห้าผู้เฒ่า สมควรที่จะต้องให้เกียรติเฟิงป๋ายหยุ่นรวมถึงสกุลเฟิงด้วยมิใช่หรือ..”


“มันเป็นมติของสภาน่ะลูกหวัง..” ซุนต้าหลี่พลันเอ่ยตอบ สายตาของคนมองไปทางเฟิงป๋ายหยุ่นด้วยความสงสาร “เมื่อเดือนก่อน เฟิงลู่ผิงที่มีศักดิ์เป็นอาของพ่อหนุ่มสกุลเฟิงได้เมาแล้วพูดหยามหมิ่นเกียรติคนจากตระกูลชั้นรองคนอื่น ๆ โดยหยิบตัวของพ่อหนุ่มสกุลเฟิงมาอวดอ้าง ว่าพรสวรรค์ของหลานชายของเขานั้นสูงล้ำ มีสิทธิ์ที่จักทำให้สกุลของเขาก้าวขึ้นเป็นสกุลลำดับที่หก แล้วในงานนั้นต่างมีคนจากสกุลชั้นรองร่วมวงสุราอยู่หลายคน เรื่องจึงร้อน..เข้าไปในสภา ผลนั้นลงเอยด้วยคะแนนสามต่อสองเสียง มีมติให้บุตรหลานจากสกุลห้าเสาหลักที่ลงแข่งขันในรุ่นมัธยุทธ์กำราบพ่อหนุ่มสกุลเฟิงให้ยับเยินที่สุดเพื่อตัดความผยองที่อาจก่อรากอยู่ในสกุลเฟิงและเป็นสกุลชั้นรองสกุลอื่น ว่าอย่าได้ยกตนตีเสมอเทียบกับพวกเราห้าสกุล”

กล่าวจบตรงนี้ ซุนต้าหลี่พลันส่ายหัวไปมา

“ไม่น่าเลย.. ปู่ก็บอกอ้ายเฒ่าคนอื่น ๆ แล้วว่าไม่ควรนำการเมืองมายุ่งในการประลองของคนรุ่นนี้ ซ้ำเรื่องนี้..หาใช่พ่อหนุ่มสกุลเฟิงเป็นคนก่อ แทนที่จักตักเตือนต่อตัวต้นเหตุ แต่กลับเลือกวิธีตีคราดกระทบแคร่เช่นนี้ มันอาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดี..”

หัวที่ส่ายไปมาของผู้เฒ่าวานรได้หยุดส่าย สายตาของคนเฒ่าคนชราพลันเหลือบมองไปทางหลิวเจี้ยน

“แล้วนี่คือตัวอย่างของการถูกสภาห้าผู้เฒ่าเพ่งเล็ง ต่อให้เอ็งจะสนิทกับพวกเราสกุลพญาวานรสักเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็ยังมีอีกสี่เสียงที่สามารถออกความคิดเห็นได้” น้ำเสียงของซุนต้าหลี่ในตอนนี้เต็มไปด้วยความเป็นห่วงคละคลุ้งกับการติเตือน “สกุลนี้สกุลเดียวไม่เพียงพอที่จักปกป้องเอ็งได้หรอกหนา.. พ่อหนุ่มหลิว..”

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว