องค์หญิงใหญ่ 长公主-ตอนที่ 10

โดย  โปรเจคพิเศษ by Hongsamut

องค์หญิงใหญ่ 长公主

ตอนที่ 10

ซุนโหวหวังยืนกอดอกดูการต่อสู้นั้นด้วยความเงียบสงบ สายตาของตนแอบชำเลืองมองไปที่ปานแดงบนหลังมือของตงป๋ายซาน จึงได้รู้ว่าเจ้าคนหยิ่งผยองคนนี้นั้นเป็นร่างสถิตของ 'มังกรจ้าวบาดาลใต้' ระดับสี่ดาว

มังกรจ้าวบาดาลใต้นั้น เป็นหนึ่งในสี่พลังสถิตระดับสี่ดาวสูงสุดของปีนักษัตรมะโรงร่วมกับมังกรจ้าวบาดาลเหนือ..มังกรจ้าวตะวันออก..มังกรจ้าวดาลตะวันตก เป็นรองเพียงพลังพญานาคและจ้าววังบาดาลระดับสี่ดาวครึ่งและมังกรฟ้าระดับห้าดาว จึงไม่แปลกที่มันคนนี้จะถูกเรียกตัวเข้ามาในมหานครปัญจมิตร

และการที่ตงป๋ายซานคนนี้จะสามารถใช้ปราณธาตุวารีได้เร็วถึงเพียงนี้จึงไม่ใช่อะไรที่แปลก เพราะมันคือความสามารถของพลังสถิตมังกรจ้าวบาดาลทั้งสี่ตนอยู่แล้ว

'อายุน่าจะราว ๆ 18 - 19 ปี แต่ฝึกได้แค่เท่านี้หรือ..' ซุนโหวหวังคิดในใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายที่มีพลังสถิตระดับสูงแต่กลับต่อสู้กับสหายของตนที่มีระดับพลังฝึกปรือเท่ากับตนได้อย่างสูสีแบบนี้ 'ฉันว่าฉันเป็นคนขี้เกียจฝึกวิชาแล้วหนา.. แต่อ้ายตงป๋ายซานคนนี้กลับขี้เกียจเสียยิ่งกว่าฉันเสียอีก..'

คิดกับตนเองตรงนั้นจบ สายตาของซุนโหวหวังก็ได้เหลือบแลมองไปที่ปานมังกรบนหลังมือของหลิวเจี้ยนที่มันไม่รู้จัก 'ไหน..เกลอ... พลังสถิตของเจ้าพิเศษพอจะโค่นอ้ายตงป๋ายซานได้หรือไม่..'

ดูเหมือนนี่จะเป็นโอกาสที่ซุนโหวหวังได้ดูความสามารถของสหายของมันจากการต่อสู้จริงเป็นครั้งแรก แม้ว่าเมื่อครึ่งอาทิตย์ก่อนพวกมันจะช่วยกันต่อสู้กับอสูรของเจ้าสำนักลู่และคนตระกูลอุสางิมาได้ แต่ซุนโหวหวังยังไม่ได้เห็นฝีมือที่แท้จริงของหลิวเจี้ยนสักเท่าไหร่เลย

ซุนโหวหวังจึงอยากรู้ว่าคนที่เป็นร่างสถิตของพลังสถิตระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน

มันจะเก่งกาจหรือพิเศษกว่าคนอื่นมากมายขนาดไหน


กลับไปที่การประมือของคนทั้งสอง หลิวเจี้ยนได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายรุกไล่โจมตีเข้ามา หนึ่งก็เพื่อหาช่องว่างที่จะโจมตีสวนกลับไป สองก็เพื่อเรียนรู้ท่าร่ายรำวิชาฝ่ามือของฝ่ายตรงข้าม ไม่แน่ว่าวันหน้า มันคงได้มีโอกาสที่จะต้องประมือกับคนตระกูลตงอีกในอนาคตก็เป็นไปได้

ส่วนตงป๋ายซานนั้นยังคงแหวกว่ายร่ายรำวิชาฝ่ามือของมันไปเรื่อย ๆ แม้ว่าคู่ต่อสู้ของมันจะรับได้ทุกฝ่ามือรับด้วยทุกกระบวนท่าที่ตัวมันนั้นใช้ออก แต่บุตรชายตระกูลตงผู้นี้ก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถสยบอีกฝ่ายลงไปนอนกองได้ทุกเมื่อหากว่ามันนั้นต้องการ

แล้วเมื่อร่ายรำปะฝ่ามือกันมาเรื่อย ๆ ตงป๋ายซานก็ได้เห็นช่องโหว่ของวิชาฝ่ามือของคู่ต่อสู้ของมัน วิชาฝ่ามือของอีกฝ่ายนั้นมีดีแค่การใช้ฝ่ามือ ซึ่งแตกต่างกับวิชาฝ่ามือของตระกูลตงที่มีจุดเด่นเรื่องการใช้ฝ่ามือรุกไล่ด้วยความดุดันและใช้ฝ่าเท้าช่วยกดดันให้อีกฝ่ายแตกพ่าย คิดได้เช่นนั้นนอกจากฝ่ามือที่อุดมไปด้วยปราณธาตุวารีแล้ว ฝ่าเท้าของคนจึงค่อย ๆ ประเคนเตะอัดในบางช่วงที่มีโอกาส


เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มยกฝ่าเท้าขึ้นมาเตะบ้างแล้ว หลิวเจี้ยนก็แบบคิดลำพองอยู่ในใจคิดใช่ฝ่าเท้ากับอดีตนักฟุตบอลอย่างข้าเนี่ยนะ? ดูถูกอดีตเพลย์เมกเกอร์คนนี้ไปแล้วพวก’

คิดได้เช่นนั้น ฝ่าเท้าที่ปกติหลิวเจี้ยนใช้เป็นหลักในการถ่ายหนุนแรงแขนจึงเปลี่ยนเป็นท่าเท้าที่สุดจะพลิ้วไหวด้วยท่าร่ายภูติเงาเร้นกาย ซึ่งการเปลี่ยนท่าเท้าในครั้งนี้ ทำให้วิชาฝ่ามือหัตถ์ภูติสอดประสานเข้ากับท่าร่ายภูติเงาเร้นกายของมันได้เป็นอย่างดี แล้วเมื่อเปลี่ยนจากท่าเท้าปกติเป็นท่าร่ายสุดพลิ้วไหวแล้ว ครานี้เป็นถึงคราวที่หลิวเจี้ยนเป็นฝ่ายรุกบ้าง


ตงป๋ายซานยกยิ้มขึ้นด้วยความมั่นใจสุดใจ “เจ้าโง่!!”

พลังปราณธาตุวารีของบุตรชายตระกูลตงต่างเพิ่มพูนความเย็นเหยียบ เพียงวูบไหววาดผ่านร่างของหลิวเจี้ยนก็ให้ความรู้สึกราวกับลมเหมันต์ในฤดูหนาว “วิชาฝ่ามือตระกูลตง กรงเล็บมังกรหยก!!”

ฝ่ามือที่โอบอุ้มด้วยพลังปราณพลันซัดออก หวังประทับฝ่ามือสุดเย็นเหยียบไว้ที่กลางอกของหลิวเจี้ยน


ทว่าหลิวเจี้ยนสามารถยกมือขวาขึ้นมาต้านรับได้ทัน

เห็นคู่ต่อสู้รับฝ่ามือของตนได้ ตงป๋ายซานใช่หวั่นวิตก ตัวของบุรุษตระกูลตงยิ่งรู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น แม้ฝ่ามือของตนมิอาจซัดเข้าใส่เป้าหมายได้แต่การที่ผู้ใช้วิชาฝ่ามือยกฝ่ามือขึ้นมาต้านรับวิชาของตนนั้น อย่างน้อย ๆ ต้องมีกระดูกฝ่ามือหรือกระดูกนิ้วหักกันบ้าง หากว่ากระดูกมือหัก.. การจะใช้ฝ่ามือที่สองหรือที่สามซัดใส่ต่อย่อมง่ายดายยิ่งกว่าใช้มีดร้อนหันเนยเสียอีก


“คนโง่คือคนที่ลำพองใจคิดว่าตนชนะแล้วอย่างเจ้าต่างหาก.. เจ้าสวะตระกูลตง!!”

“หัตถ์ภูติ ฉวยยืม..คืนสนอง!!”

ไอปราณสุดหนาวเย็นของตงป๋ายซานต่างซึมซับเข้าสู่ร่างของหลิวเจี้ยนผ่านฝ่ามือนั้นของบุรุษคิ้วบาง ก่อนที่จู่ ๆ มือข้างซ้ายของหลิวเจี้ยนจะค่อย ๆ ถักทอจนเกิดความหนาวเย็นขึ้นที่ฝ่ามือข้างนั้น

“เอาความมั่นใจของเจ้า..! ซัดหน้าตัวเจ้าเองไปซะ..!”

ปัง!! หลิวเจี้ยนใช้ฝ่ามือซ้ายซัดใส่กลางอกของตงป๋ายซานเข้าไปเต็ม ๆ ไอความหนาวเย็นต่างคืบคลานไปทั้งแผ่นอกของตัวคน ก่อนที่ร่างของตงป๋ายซานจะพุ่งไปด้านหลังโดยมิอาจต้านทานได้


ร่างของบุรุษตระกูลตงนั้นต่างนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นตรงข้างรถม้าของมัน ตามร่างกายต่างมีบาดแผลคล้ายถูกเขี้ยวเล็บของอสูรเหมันต์ตนใหญ่ฉีกร่างพร้อมทิ้งแผลที่เต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งตามร่างกายเอาไว้


วิชาฝ่ามือที่หลิวเจี้ยนใช้ออกไปนั้นคือหนึ่งในหกวิชาฝ่ามือที่ช่างซื่อเป็นคนคิดค้น โดย หัตถ์ภูติ ฉวยยืม..คืนสนองนั้น เป็นวิชาฝ่ามือที่เอาไว้รับวิชาฝ่ามือโดยเฉพาะ คนที่ใช้วิชานี้จะสามารถสวนวิชาที่อีกฝ่ายใช้ออกมาคืนกลับไปด้วยแรงที่เท่ากันได้

ถือว่าเป็นท่าที่ร้ายกายมากสำหรับคนที่ใช้วิชาฝ่ามือ

แต่วิชาที่ร้ายกาจนี้ใช้ไม่มีข้อเสีย ข้อเสียหลัก ๆ ก็คือไม่อาจรับพลังปราณธาตุขั้วตรงข้ามได้ เช่นผู้ใช้วิชาฝ่ามือนี้มีปราณธาตุไฟ..ก็มิอาจใช้รับมือกับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีปราณธาตุวารีได้ ปราณธาตุปฐพีและปราณธาตุวายุเช่นกันที่ไม่อาจใช้ต้านรับกันได้


หลิวเจี้ยนยืนมองร่างสุดสะบักสะบอมของตงป๋ายซานด้วยสายตาเฉยชา ปากของคนพลันอ้ากว้างออกเตรียมกล่าวถ้อยคำถากถาง

ทว่าจู่ ๆ ขนตรงหลังต้นคอของหลิวเจี้ยนก็ลุกตั้งชูชัน มีจิตสังหารที่มากล้นสาดทับมาที่ตัวมันจนสุดหนัก

บุรุษหนุ่มเพียงหันหน้าไปทางที่ตนสัมผัสรู้ถึงจิตสังหารแต่ก็ไม่ทันกาล หลิวเจี้ยนไม่ทันได้ตั้งท่ารับมือร่างของมันก็ลงไปนอนกองแน่นิ่งอยู่ที่พื้นเสียแล้ว มีมือของคนผู้หนึ่งกดใบหน้าของมันอยู่

มือข้างนั้นปิดเกือบคลุมทั่วใบหน้าของหลิวเจี้ยน เหลือเพียงซ้ายตาข้างเดียวที่พอทำให้เห็นว่าเจ้าของฝ่ามือนั้นเป็นสตรีมากอายุนางหนึ่งที่ใบหน้าดูโกรธจัด และด้วยการสัมผัสร่างกายนั้น จึงทำให้หลิวเจี้ยนรู้ว่าสตรีหญิงตรงหน้านี้มีพลังในระดับสูง สูงจนการแตะสัมผัสกายไม่อาจบอกได้ว่านางนั้นมีพลังฝึกปรืออยู่ที่ช่วงชั้นหรือระดับใด

สตรีนางนั้นไม่เพียงออกแรงกดร่างของหลิวเจี้ยนจนพื้นทางด้านหลังยุบลงไป นางยังได้แผ่พลังปราณสุดเข้มข้นและหนาแน่นออกมาเสียจนทำให้พลังปราณในร่างของหลิวเจี้ยนสุดปั่นป่วน

พลังปราณที่กดทับลงมานั้นไม่เพียงทำให้ร่างกายทุกส่วนของหลิวเจี้ยนไม่อาจขยับได้ พลังกดดันนั้นยังทำให้จมูกและปอดของหลิวเจี้ยนมิอาจสูดหรือกรองอากาศเข้าไปในปอดได้

หลิวเจี้ยนในตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากปลาที่ถูกโยนลงไปในน้ำมันเดือด อยากจะสูดอากาศก็ทำไม่ได้ อยากจะขยับก็ยังทำไม่ได้อีก บุรุษคิ้วบางรู้สึกทรมานเป็นอย่างมาก


“วิชาฝ่ามือนั่น… ใครเป็นคนสอนเจ้า!!” เสียงของสตรีหญิงแก่ที่กล่าวออกมานั้นสุดเบาเหมือนเสียงกระซิบ ทว่าเสียงเล็กเบานั้นประหนึ่งเข็มนับพันนับหมื่นเล่มที่ทิ่มแทงเข้าใส่โสตการรับฟังของหลิวเจี้ยนจนสุดทรมาน มันดังชัดมากและยังรู้สึกเจ็บไปทั่วแก้วหูของคนเป็นที่สุด


หระ..หรือว่านางคนนี้คือศัตรูเก่าของยี่ฟู่!!’ หลิวเจี้ยนเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วที่เผลอใช้วิชาฝ่ามือหัตถ์ภูติออกไป มันลืมไปว่านี่เป็นถึงเมืองหลวง คนเก่งมากฝีมือน่าจะอาศัยอยู่อย่างเนืองแน่น


“เราจะถามเจ้าอีกครั้ง..เด็กน้อย… ผู้ใดสอนวิชาฝ่ามือนั่นให้กับเจ้า!!” เสียงที่เล็กเบาแต่สุดกดดันนั้นถึงกับทำให้รูหูของหลิวเจี้ยนมีเลือดไหลออกมาทั้งสองข้าง อีกตอนนี้ทางเบื้องหน้าของหลิวเจี้ยน สตรีหญิงแก่ได้ชูมือซ้ายขึ้นพร้อมมือนั้นได้หน่วงพลังปราณสุดเข้มข้นสีครามเอาไว้

ดูเหมือนว่านางพร้อมที่จะฆ่าสังหารหลิวเจี้ยนลงในตอนนี้หากไม่ได้คำตอบที่เหมาะสมหรือถูกใจนาง


เปลือกตาของหลิวเจี้ยนเบิกกว้าง รูม่านตาหดลงเล็กลีบ แน่นอนว่าหลิวเจี้ยนรู้สึกกลัว แต่ความกลัวนั้นก็มิอาจแงะหรืองัดความจริงออกจากปากของบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้


“ท่านหญิงตงชเว!!” ซุนโหวหวังด้วยเห็นสหายของมันเข้าตาจนก็ได้รุดเข้าหาสหายของมันในระยะที่ปลอดภัย ก่อนจะเงยหน้าประสานมือเพื่อให้อีกฝ่ายได้เห็นใบหน้าของตนเองได้ชัดสะดวก “ท่านหญิงได้โปรดละเว้นเกลอของฉันสักครั้งด้วยเถิด..”


ตงชเวเมื่อได้ยินวาจาและสำเนียงที่แปลกแต่คุ้นหูจึงได้หันไป พลังปราณที่เคยเค้นตรึงไว้ที่ฝ่ามือพลันสลายหายไปพร้อมกับความกดดันรอบตัวที่นางสร้างเมื่อครู่ “สำเนียงนั่น.. เจ้าเป็นคนตระกูลซุนรึ?”


“ใช่แล้วขอรับ.. ผู้น้อยคือซุนโหวหวัง.. เมื่อเจ็ดปีก่อนที่เมืองพยศอาชา.. ฉันเคยได้พบท่านหญิงหนหนึ่งที่เมืองนั้นตอนวันงานปลุกพลังสถิตของพ่อหม่าเฟย” ซุนโหวหวังรีบแสดงตนในทันที เพื่อหวังที่จะใช้สถานะของมันในการช่วยเหลือสหาย


“ซุนโหวหวังรึ.. บุตรชายของซุนต้าชิงหลานปู่ของ ซุน ต้าหลี่ ไอ้เด็กซนคนนั้น?” ตงชเวถามย้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อความแน่ใจ..


“ใช่แล้วขอรับท่านหญิง.. ขอได้โปรดท่านช่วยละเว้นเกลอของฉันสักครั้งด้วยเถิด.. อ้ายคนนี้ไม่ได้ทำเรื่องผิดอะไรเลย..”


“เห็นแก่หน้าท่านผู้เฒ่าวานร.. เราจะละเว้นมันสักครั้ง..” กล่าวจบตงชเวก็ได้ปล่อยมือออกจากใบหน้าของหลิวเจี้ยนในทันที


แล้วในตอนที่ตงชเวปล่อยมือ คนรถม้าของตงป๋ายซานก็ได้รีบวิ่งเข้ามาพร้อมคุกเข่าลงตรงหน้าของตงชเวในทันที

“ท่านเจ้าวัง... ได้โปรดช่วยทวงความเป็นธรรมให้นายน้อยของข้าด้วยเถิด..” คนรถม้าผู้นั้นรีบชี้นิ้วไปที่หลิวเจี้ยนที่กำลังนั่งไอสูดอากาศเข้าปอดอย่างอดอยาก “มันคนนั้นลงมือต่อนายน้อยจนบาดเจ็บหนัก.. ได้โปรดท่านเจ้าวังช่วยทวงความเป็นธรรมกอบกู้ศักดิ์ศรีของตระกูลด้วยเถิด..”

คนกล่าวจบสีหน้าที่เคยดูทุกข์ร้อนจากการกล่าวพลันเบี่ยงมองไปทางหลิวเจี้ยน เจ้าคนขับรถม้าคนนั้นได้แสดงสีหน้าอวดดีออกมาในขณะที่มองไปยังเจ้าคนคิ้วบาง


หมับ!!

มือข้างที่เคยใช้กดหน้าของหลิวเจี้ยนพลันบีบเข้าไปที่ต้นคอของคนขับรถม้า

“ทำเรื่องเสื่อมเสียให้กับตระกูลแล้วยังกล้าตีหน้าเศร้ามาขอร้องให้เราช่วยกอบกู้ศักดิ์ศรีให้ตระกูลรึ! หากเราโง่ปานนั้นก็คงไม่ได้เป็นอาวุโสของตระกูลหรอก!!”


คนขับรถม้าผู้นั้นดิ้นกระวนกระวาย มันอยากจะแก้ตัวใจแทบขาดแต่ด้วยแรงบีบของตงชเวนั้นทำให้มันไม่อาจกล่าวข้อความใด ๆ ออกมาได้ แค่จะหาอากาศเข้าปอดยังยากเลย


“ในฐานะผู้อาวุโสผู้คุมกฎแห่งตระกูลตง เราขอพิพากษาเจ้า.. ขับไล่เจ้าและครอบครัวออกจากตระกูลตง ห้ามย่างกายเข้ามาเหยียบมหานครปัญจมิตรและเมืองทางภาคตะวันออกทั้งครอบครัว!!”

มือข้างซ้ายที่ว่างอยู่พลันมีพลังปราณสายหนึ่งลุกโชนขึ้นมา ก่อนที่มือซ้ายข้างนั้นจะวาดลงตรงกลางหน้าผากของคนขับรถม้าจนเกิดเป็นตัวอักษรที่เกิดเป็นรอยเผาไหม้ขึ้น

ตัวอักษรตัวนั้นอ่านว่า 'ตง' ซึ่งมีความหมายว่าถูกเนรเทศโดยคนตระกูลตง


หลังจากประทับตราอันน่าอดสูลงบนศีรษะของคนขับรถม้า ร่างของมันผู้นั้นก็พุ่งชนใส่รถม้าที่มันเคยลากเคยจูงจนรถม้าทั้งหลังพังไม่เหลือชิ้นดีจากฝีมือของตงชเว

ทุกคนบนผืนแผ่นดินปัญจมิตรต่างรู้ดี การที่ถูกโทสะของคนตระกูลตงจนทำให้เกิดรอยแผลเป็นนี้ขึ้น ที่เหยียบยืนของมันผู้นี้ก็ไม่ต่างกับใช้ฝ่าเท้าเพียงข้างเดียวยืนอยู่บนปลายดาบ จะยืนต่อไปก็เจ็บ จะยกออกก็ร่วงหล่น แม้ว่าปากของตงชเวจะบอกว่าไม่ให้เข้ามาในตัวมหานครฯ และเมืองทางภาคตะวันออก

แต่ว่าใครจะกล้าคบค้ากับคนที่มีตราประทับแบบนี้กัน..


ทันทีที่ไร้ร่างคนอยู่ในมือ เจ้าวังยุทธ์ปัญจมิตรก็ได้ใช้พลังปราณของนางดึงร่างของตงป๋ายซานที่สะบักสะบอมอยู่แล้วเข้าหา ลำคอของคนที่บาดเจ็บก็ได้ถูกบีบเช่นเดียวกันกับบ่าวรับใช้ของมันแบบไม่มีผิด

“เจ้ามีอะไรจะแก้ตัว.. เจ้าเกล็ดเงินไร้ค่า!!” ด้วยครั้งนี้ตงชเวไม่ได้บีบคอของตงป๋ายซาน นางเพียงจับคอของมันเอาไว้เฉย ๆ ด้วยเห็นว่าตอนนี้เด็กชายในมือของนางนั้นบาดเจ็บอยู่แถมมันยังเป็นคนตระกูลตงอีก นางจึงไม่อยากจะทำร้ายมันให้หนักหนาสาหัสนัก


“ขะ..ข้าผิดไปแล้วท่านป้า.. ขะ..ข้า..”


“เป็นเพียงแค่เกล็ดเงิน.. ยังไม่ได้ถูกยอมรับในฐานะเกล็ดทอง.. เจ้ามีสิทธิ์กระไรเรียกหาเราด้วยสรรพนามเช่นนั้น..” เสียงที่ใช้กล่าวแม้จะฟังดูบางเบา ทว่าเสียงนั้นกลับอุดมไปด้วยพลังปราณจนทำให้แก้วหูของตงป๋ายซานสุดทรมาน


“ทะ..ท่านอาวุโสผู้คุมกฎ... ขะ..ข้าผิดไปแล้ว ขะ..ข้า..” แม้จะเจ็บและปวด แต่ตงป๋ายซานต้องรีบเอ่ยออกมาเพื่อหยุดยั้งการทรมานผ่านน้ำเสียงนั้นของตงชเว


ขณะที่ตงป๋ายซานกำลังแก้ตัวอยู่นั้น ซุนโหวหวังก็ได้รุดเข้าประคองร่างของสหายของมัน ใช้สายตาสังเกตดูผ่าน ๆ ก็พอรู้ว่าสหายของมันไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากจึงโล่งใจ

“อย่างไรเอ็ง.. ในแผนได้คาดคิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อนหรือไม่?”


“ใครมันจะไปคิดเรื่องนี้ได้ล่วงหน้ากัน.. ว่าแต่ยัย..เอ่อ.. ข้าหมายถึงนางเป็นใคร?” หลิวเจี้ยนหลังจากป้อนอากาศเข้าปอดจนอิ่มหนำก็ได้ถามสหายของมันตอบกลับไปในขณะที่พยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง


“นั้นน่ะหรือ.. เธอคือท่านหญิงตงชเว.. เป็นเจ้าวังยุทธ์ปัญจมิตรรุ่นปัจจุบันแล้วยังรั้งตำแหน่งอาวุโสผู้คุมกฎของตระกูลตงอีกตำแหน่ง อ้อ.. ยังมีข่าวเล่าข่าวลือว่าท่านหญิงตงนั้นเคยคบหาดูใจกับพ่อบุญธรรมของเอ็งอยู่ช่วงหนึ่งด้วย”


“หะ..ยัยแก่นั้นเคยเป็นแฟนกับยี่ฟู่ของข้า... ข้าหมายถึงนางเคยเป็นคนรักของพ่อบุญธรรมของข้าด้วยหรือ?” หลิวเจี้ยนแปลกใจมากที่ได้รู้ว่าสตรีหญิงโหดคนนี้เคยเป็นคนรักเก่าของพ่อบุญธรรมของมัน ตอนที่มันอยู่กับพ่อบุญธรรมของมันไม่เคยเห็นช่างซื่อเคยเล่าเรื่องของสตรีชื่อแซ่นี้ออกมาเลยสักครั้งเดียว


“ฉันเองก็ไม่แน่ใจนัก… มันเป็นเรื่องก่อนที่ฉันจะเกิดเสียอีก.. แต่เห็นเขาเล่า ๆ กันว่าความสัมผัสของคนทั้งสองได้สะบั้นลงไปตั้งแต่ท่านจอมยุทธ์ช่างเข้าร่วมกับพรรคมารฯ” ซุนโหวหวังเล่าสืบต่อ..


“เจ้าไม่สมควรใช่ชื่อสกุลตง!!” ในขณะที่สองสหายกำลังเม้าท์มอยเรื่องใต้เตียงของคนดังอยู่ จู่ ๆ นางเอกในเรื่องที่มันกำลังเล่าก็ได้ออกแรงทุ่มร่างของตงป๋ายซานลงพื้นเสียเต็มแรงจนพื้นหินตรงนั้นยุบลงแตกละเอียด

“เจ้าจงรีบกลับไปรอข้าที่วังยุทธ์ปัญจมิตร! หากว่าข้าไปถึงแล้วไม่พบเจ้า… ข้าบอกได้เลย..ตงป๋ายซาน ว่าต่อให้ตงเสวี่ยซานมาคุกเข่าขอร้องแทนน้องชั่ว ๆ อย่างเจ้า.. ข้าก็ไม่มีวันยอมยกโทษให้!!”


สิ้นคำตวาดของตงชเว ร่างที่เพิ่งกระแทรกลงพื้นอย่างจังของตงป๋ายซานพลันรีบกระเสือกกระสนลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าพร้อมกับก้มคำนับหัวกระแทกพื้นเสียเต็มแรง “ขะ..ข้าทราบละ..แล้ว..”

ร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตงป๋ายซานค่อย ๆ ลุกขึ้นมาอย่างอ่อนล้า ในขณะที่มันกำลังหมุนตัวอยู่นั้น ก็ได้มีเสียงดังมาจากด้านหลัง ซึ่งเป็นเสียงของตงชเว


“อ้อ.. ข้าห้ามเจ้าใช่ท่าเท้าวิ่งไปที่วังยุทธ์ของข้า.. อยากจะเป็นคนสูงศักดิ์มีคนนับหน้าถือตา.. เจ้าก็จงเรียนรู้ผลของการสูญเสียมันไปซะ!”

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว