ลิขิตฟ้ามิอาจขวาง!-บทที่ 8 ฝืนใจยอมรับ! 8.2

โดย  chenworld

ลิขิตฟ้ามิอาจขวาง!

บทที่ 8 ฝืนใจยอมรับ! 8.2

“ฝ่าบาททรงสูดดมอู๋สือซานเข้าไปเป็นจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา” หมอทหารกราบทูล หลังจับชีพจรเมี่ยวหลงซื่อที่ยังมิได้สติมานานสามวันแล้ว เพราะจี้โจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงฉางโจวเกือบเจ็ดร้อยลี้ การเดินทางจึงต้องใช้เวลาครึ่งเดือนกว่าจะถึง

แต่ทางเดียวที่ไปถึงจี้โจวได้เร็วที่สุดคือทางน้ำซึ่งใช้ระยะเวลาเดินทางเพียงสองวันเท่านั้น แต่พวกนางต้องมุ่งหน้าไปยังเหอโจวก่อน แต่ถังสุ่ยเซียนไม่กล้าชะล่าใจที่จะไปขึ้นเรือที่ท่าเรือเหอโจว เพราะนางมั่นใจว่ายามนี้...พวกต้าอู่น่าจะยึดเมืองเหอโจวที่อยู่ห่างจากฉางโจวเพียงร้อยห้าสิบลี้ไว้ได้แล้ว

อีกทั้ง...หากเหอโจวยังไม่ถูกยึดครอง นางก็อาจจะถูกพวกของรุ่นชินอ๋องดักทำร้ายในเมือง เพราะเมืองเหอโจวคือถิ่นฐานในใต้บัญชาการของรุ่นชินอ๋อง

ถังสุ่ยเซียนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเจ็บใจ “จะต้องเป็นแผนการลอบสังหารฝ่าบาทของไอ้รุ่นชินอ๋องแน่นอน มันต้องการใช้ยาเร้ากำหนัดชนิดนี้ทำให้ฝ่าบาทหัวใจวายตายขณะร่วมค่ำคืนวสันต์กับสนมนางในเป็นแน่แท้!”

หมอทหารพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดบางสิ่งที่ทำให้หัวใจของถังสุ่ยเซียนแทบหยุดเต้น

“กระหม่อมเห็นด้วยกับที่ฮองเฮาตรัสพ่ะย่ะค่ะ แต่สิ่งที่กระหม่อมจะทูลต่อไปนี้ขอให้ฮองเฮาทรงทำพระทัยดีๆไว้นะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่ถึงเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“หมะ...หมายความว่าอย่างไร?”

“มีคนวางยาพิษหงอนกระเรียนคู่อย่างอ่อนๆให้ฝ่าบาทกินมานานเป็นปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ บวกกับสูดดมกลิ่นอู๋สือซานเข้าไปยิ่งเป็นตัวช่วยเร่งพิษ กระหม่อมจนปัญญา...ไม่รู้วิธีแก้พิษจริงๆพ่ะย่ะค่ะ”

ถังสุ่ยเซียนเข่าแทบทรุด ก่อนนางจะโบกมือให้หมอทหารออกไปจากห้องเล็กๆในอาศรมร้างที่นางพากองกำลังพยัคฆ์ขาวมาหยุดพักครึ่งชั่วยาม เพราะหมายจะให้หมอทหารตรวจสอบอาการของเมี่ยวหลงซื่อโดยเฉพาะ

เมื่ออยู่กันตามลำพัง ถังสุ่ยเซียนก็ช้อนศีรษะพระสวามีที่นอนราบกับพื้นมาหนุนตักตัวเอง น้ำตาหยดหนึ่งร่วงเผาะตกต้องผิวแก้มสากระคายแต่อีกฝ่ายก็ยังมิรู้สึกตัว

“อาซื่อ...ข้าขอโทษ ที่ระยะหลังข้าไม่สนใจไยดีเจ้า ปล่อยให้เจ้าถูกพวกสนมนางในคนของรุ่นชินอ๋องทำร้าย แม้แต่ขันทีข้างกายเจ้าก็คงถูกมันซื้อตัวไว้ด้วย!”

ถังสุ่ยเซียนลูบแก้มที่เต็มไปด้วยไรเคราอย่างเบามือ ก่อนจะยกนิ้วเกลี่ยน้ำตาตัวเอง

“เราสองคนตัดขาดทางโลก ไปใช้ชีวิตกันสองคนดีหรือไม่ อาซื่อ”

เมี่ยวหลงซื่อ “...”

“เจ้าคงมิได้รังเกียจที่ข้าแก่แล้วกระมัง?”

เมี่ยวหลงซื่อ “...”

“เอาเถิดๆ ข้าจะพาเจ้าไปจี้โจว ที่นั่นปลอดภัยที่สุด จากนั้นเจ้าอยากใช้ชีวิตกับข้าหรือไม่ ก็ให้เจ้าตัดสินใจเองเถิด”

แล้วถังสุ่ยเซียนก็วางร่างผ่ายผอมลงนอนกับพื้นอย่างนุ่มนวล ก่อนจะออกไปสั่งบัญชาการเดินทัพอีกครั้งอย่างรวดเร็ว


วันเดียวกัน...

ถังจงลี่ในชุดเกราะเหล็กช่วยหนานหลงเสี่ยวสวมชุดเกราะเงินอยู่ภายในห้องพักของนาง แม้แม่ทัพสาวจะรู้สึกเขินอายอยู่สักหน่อยแต่ในใจกลับฟู่ฟ่องเป็นอันมาก พลางฟังเขาพูดว่า

“เป็นไปตามที่สงเกาคาดการณ์และเขียนบอกทิ้งท้ายไว้ในจดหมาย ข้าคำนวณทิศทางลมแล้ว คืนนี้จะเกิดลมสลาตัน หากเราไปถึงท่าเรือได้ทันก่อนลมสลาตันจะมา เมื่อนั้นเราจะล่องเรือตามน้ำไปถึงท่าเรือเหอโจวภายในวันเดียว” ว่าจบ เขาก็ยื่นเกาทัณฑ์เหล็กของตนส่งให้ พลางพูดต่อว่า

“เจ้าใช้เกาทัณฑ์เหล็กของข้า ส่วนเกาทัณฑ์เหล็กของท่านพ่อ ข้าจะเป็นคนใช้เอง มันหนักเกินไป ถึงเจ้าจะเชี่ยวชาญการยิงเกาทัณฑ์ แต่ถ้าต้องถือเกาทัณฑ์หนักแปดสิบชั่งตลอดเวลา ในไม่ช้าเจ้าจะหมดแรงได้หากต้องต่อสู้กับไพร่พลที่ดาหน้าเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย!”

หนานหลงเสี่ยวยินยอมเชื่อฟัง รับเกาทัณฑ์เหล็กประจำตัวถังลงจี่มาเดาะในมือ พลางว่า “หนักสี่สิบชั่งได้กระมัง?”

“ถูกแล้ว เจ้านี่ฉลาดจริงๆ ข้าล่ะโชคดียิ่งนักที่ได้พบเจ้า ได้รักเจ้า!”

หนานหลงเสี่ยวถลึงตาใส่ พูดเสียงฉุนหน่อยๆว่า

“แค่รู้ว่าข้าเป็นสตรี ท่านก็รักข้าแล้ว ใจง่ายไปหน่อยกระมัง?”

ถังจงลี่หัวร่อฮาฮา หมายดึงร่างงามมาสวมกอดเอาอกเอาใจแต่อีกฝ่ายเล่นตัว ถอยเท้าหนีไปเสียห้าเชี่ยทีเดียว

“เจ้าเป็นสตรีเดียวที่ข้าเข้าใกล้แล้วไม่เกิดผดผื่นคันขึ้นตามตัว ท่านแม่บอกว่าสตรีผู้นี้คือคู่รักแท้ของข้า ข้าจดจำคำพูดนี้ของท่านแม่มาโดยตลอด อีกอย่าง...เจ้าเองก็ไม่มีท่าทีรังเกียจข้าแม้แต่น้อย มิใช่ว่าเจ้าเองก็มีใจให้ข้าแล้ว?”

นับเป็นความรู้ใหม่ที่หนานหลงเสี่ยวได้ตระหนักเกี่ยวกับวิธีตรวจสอบสตรีที่เป็นคู่รักแท้ของถังจงลี่ของถังฮูหยิน

หนานหลงเสี่ยวไม่พูดโต้ตอบ แต่กับเดินถือเกาทัณฑ์เหล็กกล้าหนักสี่สิบชั่งออกจากเรือนพัก ไม่สนใจถังจงลี่ที่ติดตามนางมาอย่างใกล้ชิด

พอคนทั้งสองก้าวพ้นประตูออกมา ก็ต้องตกตะลึงไปชั่วครู่ใหญ่เมื่อเห็นเมีย่วซื่อเชี่ยนจู่สวมชุดเกราะอ่อนยืนยิ้มหวานเคียงข้างหลี่หวนที่สวมชุดเกราะหมวกเกราะเตรียมพร้อมเดินทัพในอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยาม

“ข้าขอตามท่านแม่ทัพถังกับท่านแม่ทัพหนานไปร่วมต่อสู้กับพวกอู่ด้วยเจ้าค่ะ” เมี่ยวซื่อบอกอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักว่าจะได้รับความยินยอมเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย

ถังจงลี่มองเมี่ยวซื่อด้วยสายตาว่าอีกฝ่ายเป็นตัวเกะกะน่ารำคาญทำให้เมี่ยวซื่อใจฟ่อ รู้สึกน้อยอกน้อยใจสุดจะเปรียบแทบน้ำตาคลอทีเดียว

“ท่านหญิงไม่เคยจับกระบี่จับดาบมาก่อน จะสู้กับพวกอู่ได้อย่างไร?” ถังจงลี่ถามเสียงเข้ม

แต่คนที่ตอบกลับเป็นหลี่หวน “ข้าน้อยจะคอยดูแลท่านหญิงเองขอรับ และจะเป็นคนสอนวิชาการต่อสู้แก่ท่านหญิงด้วย...”

หนานหลงเสี่ยวกับถังจงลี่ต่างหันมาสบตากัน ก่อนหนุ่มสาวทั้งสองจะหรี่ตามองหลี่หวนอย่างจับผิด คนถูกจับผิดรู้สึกเก้อกระดาก หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

ถังจงลี่ตระหนักได้ทันใดว่าหลี่หวนชื่นชอบเมี่ยวซื่อเชี่ยนจู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นพะเรอเกวียนทีเดียว

“เอาอย่างงี้ดีกว่า...” ถังจงลี่พูดขึ้นมาด้วยสุ้มเสียงทุ้มต่ำ ฟังแล้วสบายใจ “พี่สาวข้า...ฮองเฮาแห่งต้าเหลียวกำลังนำทัพพยัคฆ์ขาวมุ่งหน้ามายังจี้โจวพร้อมฮ่องเต้ มิสู้พวกเจ้าสองคนคอยอยู่รอต้อนรับทัพของท่านพี่ข้า และคอยดูแลอารักขาฮ่องเต้กับฮองเฮามิดีกว่าหรือ?”

“แต่...” เมี่ยวซื่อเชี่ยนจู่ร้องทักท้วงขึ้นมา แต่ถังจงลี่ยกมือปรามนางพร้อมพูดแทรกว่า

“ท่านหญิง...บิดาท่านยังอยู่ที่นี่ คอยคุ้มกันดูแลเขาให้ดีจะดีกว่า ระหว่างนี้ก็คอยฝึกปรือวิชาการต่อสู้กับหลี่หวน รอจนข้าต้องการทัพเสริมค่อยตามมาดีหรือไม่?”

เมี่ยวซื่อมิใช่คนความรู้น้อย นางกล่าวเชิงตัดพ้อเล็กน้อยว่า “ท่านแม่ทัพถังกำลังจะนำทัพห้าสิบหมื่นนายลงเรือรบหนึ่งร้อยลำ และทิ้งกำลังพลอีกยี่สิบห้าหมื่นนายไว้ที่จี้โจว เห็นได้ชัดว่าท่านมีกองกำลังมากยิ่งกว่าทัพของไอ้อู่หยาง เช่นนี้แล้วท่านจะยังต้องการทัพเสริมอีกหรือ?”

“แม้ข้าอาจจะไม่ต้องการทัพเสริม แต่ชาวเมืองจี้โจวยังต้องการผู้นำคอยดูแลพวกเขาอยู่!”

หลี่หวนตะลึงงัน เข้าใจทันทีว่านายน้อยต้องการอะไร

“นายน้อย...เราสองคนมิกล้าอาจเอื้อม...”

“เฮ่ย...แค่เป็นตัวแทนข้าชั่วคราว ข้าไม่ถือสาหาความหรอก พอท่านพี่ข้ามาถึงเมืองจี้โจว เจ้าค่อยสับเปลี่ยนมือกับนางก็ได้”

“อีกอย่าง...” ถังจงลี่พูดต่อ “ เจ้าจะได้ดูแลท่านหญิงอย่างใกล้ชิด หากเจ้าดูแลท่านหญิงไม่ดี โทษของเจ้าหนักนะ หลี่หวน”

หลี่หวนฉีกยิ้มกว้าง รีบประสานมือคำนับปลกๆ “ขอบคุณนายน้อย...ที่ช่วยส่งเสริมข้าน้อยขอรับ”

เมี่ยวซื่อหันไปมองหลี่หวนที่ส่งยิ้มอบอุ่นให้นางด้วยอาการตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าแค่ดื่มชาท่ามกลางแสงจันทร์เพียงคืนเดียว หลี่หวนที่อกหักจากหนานหลงเสี่ยวจะกลับมามีใจให้นางเสียได้ ทำให้นางรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาเช่นเดียวกัน

“เอาล่ะ รีบออกเดินทางกันเถอะ” ถังจงลี่ว่า

เมื่อหนุ่มสาวทั้งสองไปถึงหน้าประตูจวน ก็พบกับกององครักษ์ทั้งห้าร้อยนายแห่งต้าหนานยืนขี่ม้าเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบสองฝั่งถนน ก่อนหนานหลงเสี่ยวจะยิ้มร่า ปรี่เข้าไปหาอาชาคู่ใจที่จิ้งเหอยืนจับบังเหียนรอส่งให้นาง

“เจ้าฟ้าลั่น!” นางยกมือลูบขนคอดกดำของมันอย่างแสนรัก ถังจงลี่ที่จูงเจ้าฟ้าร้องม้าสีหมอกของตนมาจากมือเด็กรับใช้ที่ยืนรอส่งม้าให้เขาด้านนอกจวนขมวดคิ้วนิ่วหน้า

“เจ้าตั้งชื่อม้าเจ้าว่าฟ้าลั่นอย่างงั้นหรือ เสี่ยวเอ๋อร์?”

“ใช่แล้ว เพราะหรือไม่?” หนานหลงเสี่ยวหันมาถามเขายิ้มๆ ดวงตากลมโตของนางเป็นประกายสุกใสเหมือนแสงดาว

ถังจงลี่หัวร่อเบาๆก่อนเย้าว่า “ม้าของข้าก็ชื่อว่าเจ้าฟ้าร้อง ดูท่าเราสองคนจะถูกลิขิตมาด้วยกันตั้งแต่วันแรกคลอดแล้วกระมัง!”

หนานหลงเสี่ยวค้อนประหลับประเหลือก พูดมึนตึงว่า “ถูกลิขิตแต่แรกที่ไหนกัน เพราะชื่อฟ้าร้องไม่เพราะ ชื่อฟ้าลั่นของข้าเพราะกว่า เฮอะ!”

เหล่าองครักษ์ทั้งฝั่งหนานหลงเสี่ยวกับถังจงลี่ได้แต่แอบเก็บสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจที่คนรักทั้งสองช่างชอบลับฝีปากกันเสียจริง ดูท่า...ถ้าองค์หญิงแห่งต้าหนานยอมแต่งงานกับแม่ทัพใหญ่ถังจงลี่จริงๆ คงลูกดกหัวปีท้ายปีแน่นอน...

หนานหลงเสี่ยวมิรอช้า รีบพลิกกายขึ้นขี่หลังอาชาคู่ใจซึ่งเป็นม้าชั้นยอด ...อาชาเหงื่อโลหิตจากแดนซีอวี้ แล้วนางก็หันไปมองถังจงลี่ที่กระโดดขึ้นขี่หลังเจ้าฟ้าร้อง ซึ่งยืนเคียงคู่กับม้าของนาง พลางบอกว่า

“เชิญท่านแม่ทัพถัง...นำทาง!”



รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว