ลิขิตฟ้ามิอาจขวาง!-บทที่ 3 ปีศาจหมู! 3.2

โดย  chenworld

ลิขิตฟ้ามิอาจขวาง!

บทที่ 3 ปีศาจหมู! 3.2

แม้ว่าเค้กจะน่ากินมากในความรู้สึกของหญิงสาว แต่พอเอาเข้าจริงๆ เธอก็ไม่สามารถจัดการมันให้หมดทั้งก้อนภายในคืนนี้ เพราะผ่านมาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงที่กินไปคุยไป ตาก็จ้องดูหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ตรงหน้า ที่ทางช่องนำละครซิทคอมตลกๆ มาฉาย และเธอก็อิ่มจนเผลอเอนหลังไปพิงโซฟาขณะที่นั่งอยู่ที่พื้น โดยชายเจ้าของบ้านยังคงนั่งอยู่ด้านบน

คนที่กินเค้กไปครึ่งก้อนถอนหายใจออกมาราวกับเหนื่อยอกเหนื่อยใจ ทว่าหาใช่เพราะเรื่องนั้นไม่ “อิ่มมากเลยค่ะ เหมือนหนังตาจะปิด” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่แขนเล็กๆ นั่นก็คว้าส้อมแล้วเอื้อมไปจิ้มสตรอเบอร์รีลูกใหญ่มาเคี้ยวตุ่ยๆ บ้างก็ชวนคุย บ้างก็หัวเราะเพราะสิ่งที่ดูอยู่

โทรทัศน์บ้านนี้มันสนุกจริงๆ เธอชักจะติดใจกับความมหึมาของขนาดจอที่ไม่ว่าจะเปิดอะไรก็น่าดูไปเสียหมด

ปราชญาธิปเหลือบตามองดูนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบเที่ยงคืน ด้านนอกก็ค่อนข้างหนาว เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวหญิงสาวก็ไม่ได้ปกคลุมอะไรมากนัก เธอใส่เสื้อยืดตัวเล็กกะทัดรัดเข้าคู่กับกางเกงขาสั้น คงเพราะเป็นชุดที่เพิ่งเสร็จจากร้องเพลงที่ร้านของคณพศ

แต่งตัวเปิดเผยเนื้อหนังเช่นนี้ไปขี่รถตากลมตอนเที่ยงคืนของหน้าหนาวมีหวังไข้ที่เพิ่งหายไปได้วนกลับมาทักทายอีกเป็นแน่

บ้านในโครงการนี้มีราคาเจ็ดหลัก สองหลังรวมกันทั้งบ้านเขาและบ้านน้องสาวก็ทะลุแปดหลักไปเสียแล้ว แน่นอนว่าบ้านราคาขนาดนั้นย่อมไม่มีเพียงหนึ่งห้องนอน ทว่าเขากลับอยู่บ้านหลังนี้เพียงลำพัง ห้องอื่นๆ จึงยังคงไม่ถูกใครจับจอง ถ้าจะให้ ‘แขก’ พักสักคืนคงไม่เสียหาย

“ตอนมาอากาศหนาวไหม” ปากที่ยังคงเคี้ยวสตรอเบอร์รีพยักขึ้นลงเพื่อตอบคำถามของเขาแทนการพูด “แล้วจะกลับยังไง นี่มันดึกกว่าขามาตั้งเยอะ เธอจะไม่ป่วยอีกเหรอ เพิ่งจะหายดีแท้ๆ”

คนที่นั่งอยู่ด้านล่างกลืนผลไม้ลงคอก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองคู่สนทนา “คุณโปรดมีเสื้อกันหนาวให้หนูยืมไหมคะ เดี๋ยวหนูซักมาคืน”

ชายหนุ่มชะงักกับคำตอบที่เป็นคำถามของอีกฝ่าย หน่วยตาดำเข้มกะพริบถี่ๆ เพื่อไล่ความไปไม่เป็นออกไป สมองประมวลถึงสิ่งที่ตนจะพูดต่อว่าควรเป็นประโยคไหนดีระหว่างตอบเธอไปตามตรง เขามีอยู่แล้ว เสื้อกันหนาวอะไรนั่น อย่าว่าแต่ซักมาคืนเลย ถึงไม่คือเขาก็ไม่ได้นึกหวงอะไรกับสาวเจ้าแม้แต่น้อย หรือจะโป้ปดไปว่าไม่มีของพรรค์นั้น ซึ่งก็เกรงว่าคนหัวรั้นจะไม่คิดตื้อที่จะสวมมันและขี่รถกลับบ้านทั้งสภาพนี้

มือหนายกขึ้นมาเกาบริเวณต้นคอด้วยมือไม้อยู่ไม่สุข “ไอ้มีมันก็มี แต่-”

“งั้นไม่เป็นไรค่ะ” เห็นท่าทีลำบากใจของชายหนุ่มเธอก็รีบโพล่งออกไปด้วยใบหน้าระรื่นราวกับไม่ได้คิดอะไร ทว่าภายในใจกลับก่นด่าตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน แค่เขาดีด้วยนิดๆ หน่อยๆ เธอก็ไม่เจียมตัว คนระดับเขาจะกล้าให้เธอยืมเสื้อผ้าราคาแพงเช่นนั้นได้อย่างเรา เพราะปราชญาธิปคงไม่ใส่เสื้อตัวละร้อยสองร้อยเป็นแน่ “หนูเซียนจะตาย เจออากาศแบบนี้แทบทุกวันอยู่แล้ว สบายมากค่ะ”

“ไม่ใช่แบบนั้น” พูดจบประโยคก็ลอบถอนหายใจออกมา จากนั้นจึงหันไปสบตากับคนที่มองมาด้วยความฉงน “ฉันแค่คิดว่าถ้าเธอจะรอกลับตอนเช้าอาจจะดีกว่า”

“ทำไมหนูต้องรอคะ”

คำถามนั้นไม่เพียงทำให้ชายหนุ่มชะงักไป มันรวมถึงเธอเองด้วยที่ใช้เวลาอันน้อยนิดหลังพูดจบขบคิดถึงประโยคเมื่อครู่แล้วรู้สึกว่าตนเองจะผิดประเด็นไปมากโข มันไม่ควรเป็นคำถามว่าเหตุใดต้องให้เธอรอตอนเช้า แต่เป็น ระหว่างรอเวลาเช้าเธอจะนอนที่ไหน บ้านเขาอย่างนั้นหรือ เพราะคนตรงหน้าคงไม่ใจร้ายให้เธอไปนั่งรอด้านนอกให้ยุงหามกระมัง

ความคิดนั้นทำเอาดวงหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อ รับรู้ถึงอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย จนต้องเบือนหน้าเพื่อหลบสายตาคมที่จ้องมอง เธอทำอะไรไม่ถูกและรู้สึกเหมือนจะอยู่ผิดที่ผิดทาง เห็นส้อมวางอยู่ตรงหน้าจึงหยิบมันขึ้นมาจิ้มไปที่สตรอเบอร์รีและตักมันเข้าปากเพื่อหาอะไรเป็นจุดสนใจแทนคนด้านบน ก่อนที่หัวใจไม่รักดีของเธอมันจะกระเด็นกระดอนออกมาจนด้านนอกเพราะความประหม่า

“ก็กลางคืนมันอันตราย หนาวด้วย” เขากล่าวอ้างไปเรื่อยด้วยท่าทีสบายใจ ต่างกับความรู้สึกจริงๆ ที่ตีรวนไม่ต่างจากหญิงสาว “บ้านฉันมีสี่ห้องนอน แต่ใช้จริงๆ แค่ห้องเดียว แค่คิดว่าถ้าเธอไม่อยากขี่รถตอนอากาศหนาวแบบนี้แล้วจะนอนที่บ้านก็ไม่ว่ากัน”

“หนูไม่มีชุดนอนค่ะ”

“ฉันมี” เขาตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าปกติที่คุยกัน เธอสะดุ้งตัวนิดหน่อยก่อนจะยิ้มแหยให้ชายหนุ่ม เขารีบปรับเสียงให้เป็นเหมือนเก่า “ถ้าเธอไม่รังเกียจฉันจะให้ยืม”

อัสมาที่โดนความประหม่าเล่นงานมาพักใหญ่ หลังได้ฟังประโยคนั้นจบถึงกับหลุดหัวเราะ “โอ๊ยคุณโปรด ใครมันจะกล้ารังเกียจคุณเล่า” เธอว่าขำๆ “แต่ชุดคุณจะใหญ่เกินไปไหมคะ คุณตัวใหญ่ออก”

“แค่ใส่นอน”

เขาแบ่งรับแบ่งสู้เพราะขนาดตัวของเขากับเธอต่างกันมาก มันแน่อยู่แล้วว่าต้องตัวใหญ่ แต่เขาคิดว่าเธอใส่ได้อยู่แล้ว แค่นอนไม่กี่ชั่วโมง ก่อนจะออกปากบอกให้สาวเจ้าไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย แล้วเขาจะเตรียมของไปให้ เดิมทีเธอก็รั้นเพราะเกรงใจ แต่พอเขาเริ่มพูดด้วยความจริงจัง เธอก็ยอมโอนอ่อนให้ แต่สายตายังคงรั้นเช่นเดิม

แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า ทั้งหมดอยู่ในมือของเขาก่อนที่ขายาวจะก้าวไปหยุดอยู่หน้าห้องน้ำภายในห้องนอนที่ถูกอัสมาจับจองในค่ำคืนนี้ เขาเคาะประตูอยู่ครั้งสองครั้งมันก็ถูกแง้มเป็นช่องเล็กๆ มือบางยื่นออกมาอย่างระแวดระวัง เมื่อรับรู้ถึงของที่อยู่บนมือก็รีบดึงมันเขาห้องน้ำแล้วปิดประตูในวินาทีถัดมา

ใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนักเธอก็ออกมาด้านนอกในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงที่ยาวจนต้องพับเอว เสื้อตัวนี้คล้ายกับตัวที่ปราชญาธิปใส่ ต่างกันที่พออยู่บนตัวเขามันเป็นเสื้อพอดีตัว แต่กับเธอนั้นมันใหญ่เสียจนเธอสามคนน่าจะใส่ได้พอดี แขนเสื้อทั้งสองข้างคลุมข้อศอก ชายเสื้อก็อยู่เหนือเข่าไม่มาก

เจ้าของบ้านไม่ได้อยู่ในห้อง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติ ถ้าเขาอยู่เธอคงรับมือไม่ไหว ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก ไฟที่ชั้นหนึ่งยังคงเปิดให้ความสว่าง เธอรู้ได้ทันทีว่าปราชญาธิปคงอยู่ที่นั่น ขาเสลาก้าวลงบันไดไปก่อนจะเจอเข้ากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่โซฟา เค้กและของทุกอย่างหายไปแล้ว ก่อนหน้าจะไปอาบน้ำเธออาสาจะทำความสะอาดก่อน แต่เขาไม่ยอม

หนุ่มเจ้าของบ้านหันไปทางบันไดเมื่อรับรู้ถึงการมาของใครบางคน เมื่อเห็นเธอในระยะสาตาเขาก็หลุดหัวเราะอย่างนึกขัน ทำเอาสาวเจ้าหน้างอเป็นปลาทูคอหัก ทว่าขาก็ก้าวไปหาเขาพลางทิ้งตัวลงนั่งพื้นที่ข้างๆ ที่ยังว่าง

“หนูบอกแล้วว่ามันใหญ่”

“ไม่เห็นเป็นไร”

คนตัวเล็กตวัดตามอง “ไม่เห็นเป็นไรแบบไหนคะ คุณยังไม่หยุดขำหนูด้วยซ้ำ”

“ก็มันตลก” ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่เขาก็พยายามกลั้นเสียงหัวเราะและพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “พรุ่งนี้เธอต้องไปทำงานหรือเปล่า”

“ทำค่ะ เวลาเดิม”

“อืม นี่ก็ดึกแล้ว ไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยออกไปหาอะไรกินที่ตลาด”

อัสมาพยักหน้ารับอย่างไม่คิดดื้อดึง เพราะเอาเข้าจริงเธอก็รู้สึกง่วงมากทีเดียว ร่างบางลุกขึ้นยืนก่อนที่ชายหนุ่มจะตามมาติดๆ เขามองไปที่เธอแล้วอมยิ้มให้กับ ‘ชุดนอน’ ที่ไม่เหมาะกับเธอเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงชอบใจนักที่ได้เห็น “ไว้พรุ่งนี้ฉันจะซื้อชุดนอนให้ เธอจะได้ไม่ต้องใส่ของฉัน”

เขาพูดออกไปตามใจคิด แต่อีกคนกลับคิดไม่ถึง “คะ” เธอเหลียวหลังไปมองเขา “หนูใส่แค่คืนนี้ เพราะคืนต่อๆ ไปหนูก็นอนที่บ้านหนูเอง”

“...”

“ไม่ใช่เหรอคะ”

“คืนนี้นอนดึกเหมือนกันแฮะเรา” พูดกับลมฟ้าอากาศจบก็จัดการปิดไฟก่อนจะเดินนำขึ้นไปชั้นบน อัสมาไม่คิดอยากรู้คำตอบที่พอจะเดาได้ว่าเขาคงไม่ตอบก็ได้แต่เดินตาม เมื่อมาหยุดอยู่หน้าห้องของเธอเขาก็ชี้มือไปที่ห้องห้องหนึ่ง “นี่ห้องฉัน ถ้ามีอะไรก็ไปเรียกได้”

“ที่นี่มีผีเหรอคะ” อัสมาตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อคิดว่า ‘อะไร’ ที่เขาเกรงว่าจะมีคือสิ่งที่มองไม่เห็น แต่กลับยิ่งนึกกลัวไปมากกว่าเดิมเมื่อเขาตอบกลับมาว่ามี “งั้นหนูไม่นอนแล้วค่ะ ให้หนาวกว่านี้หนูก็กลับบ้านได้”

ร่างเล็กหมุนตัวไปทางบันได แต่ก็ไม่ทันได้ก้าวเดินไปไหน ฝ่ามือหนาก็คว้าหมับเข้าที่คอเสื้อด้านหลังพร้อมกับเสียงทุ้มที่ดังตามมา “เข้าไปนอน ไม่มีหรอกน่า ฉันโกหก แต่ถ้าผีตัวไหนมันกล้ามาหลอกก็ไปนอนที่ห้องฉันแทนแล้วกัน”

ประโยคนั้นทำให้อัสมาหันมองด้วยแววตาที่บรรจุไปด้วยหลากหลายความรู้สึก “ตอนนี้คุณน่ากลัวกว่าผีอีก”

เขาแค่นหัวเราะ “ถ้ากลัวฉันขนาดนั้นแล้วหมาตัวไหนมันมาขอเป็นเด็กฉันกัน”

อัสมาจนคำพูด อ้าปากพะงาบๆ จะเถียงแต่ก็หลังชนฝาเสียแล้ว ความผิดนี้ติดตัวจนตายจริงๆ

“รู้หรือเปล่าว่าเด็กเลี้ยงเขาต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง” ไม่พูดเปล่า ร่างสูงยังขยับฝีเท้าไปใกล้ๆ จนแผ่นหลังบางชนเข้ากับประตูห้อง

“คุณบอกว่าคุณไม่เลี้ยงใคร เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องยกมาคุยกันนิคะ ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย”

“ฉันถามก็ตอบ”

เจ้าหล่อนได้แต่เม้มปากเป็นเส้นตรง เขามองแล้วอยากหัวเราะกับความอ่อนหัดที่ริอ่านจะทำเช่นนั้นของหญิงสาว แต่กลับต้องปั้นหน้านิ่งเพื่อข่มอีกฝ่าย ท่าทีของเธอทำเขานึกสนุก ก่อนที่ใบหน้าคร้ามคมจะโน้มลงไปใกล้ดวงหน้าหวาน เป่าลมหายใจรดลงอยู่หลายวินาที

“ไม่แน่จริงนี่หว่า” ก่อนจะผละออกไปพร้อมกำปั้นที่เขกลงบนหน้าผากอย่างเบามือ “ไปนอนได้แล้ว”

กล่าวจบแล้วเขาเองก็เดินเข้าห้องนอนโดยไม่คิดจะแกล้งหยอกล้อเธอต่อ เพราะเขาเองก็ไม่ได้แน่อะไรนัก อย่างน้อยๆ อาการคันยุบยิบที่หัวใจอาจเป็นหลักฐานได้

อุตส่าห์ไปแกล้งเขา ไยตัวเองถึงรู้สึกราวถูกแกล้งเช่นนี้

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว